บทที่ 142
ไม่พบแม่ทัพเยี่ย
ราวกับมีมีดมาจ่ออยู่ที่คอของนาง นางนั้นสามารถที่จะถูกฆ่าได้ตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงได้ระวังตัวอยู่ตลอดและมองหาโอกาสดีๆหนี
แต่ถ้าไม่มีโอกาสนั้นเลยล่ะ นางจะทำอย่างไรดี?
ในเวลานี้นางจำเป็นต้องใช้หัวของนางแล้ว เพราะคนที่ฉลาดนั้นจะไม่มัวแต่มองหาโอกาส แต่จะต้องสร้างโอกาสขึ้นมาเองด้วย
แล้วก็มีสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา พาดผ่านผมสีดำของหลินซีเหยียนไป แล้วมุมปากของนางก็ได้ขยับเล็กน้อย ราวกับว่านางพอจะมีความคิดดีๆในใจแล้ว
“ในเวลานี้เราจะต้องหาทางติดต่อกับจี๋เฟิงให้ได้ก่อน” หลินซีเหยียนพูดบ่นพึมพำให้ลอยไปตามสายลมแล้วก็ตัดสินใจเริ่มออกตามหาจี๋เฟิง
ไม่นานนักก็เริ่มมืด หลินซีเหยียนนั้นหาจี๋เฟิงไม่พบแม้แต่เงา และไม่รู้ด้วยว่าจะไปพักที่ไหน นางจึงได้เดินไปรอบๆแต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงไก่ขันดังเข้าหูของนาง นางก็ได้มองหาแล้วแววตาของนางก็สว่างขึ้นมา
จี๋เฟิงนั่นเอง ดูเหมือนจี๋เฟิงจะเป็นฝ่ายที่พบนางก่อน
หลินซีเหยียนก็ได้ระงับอาการดีใจของตัวเองก่อนแล้วก็มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่น่าจะมีใคร นางก็ได้ทำท่าทางให้จี๋เฟิง ซึ่งหมายความว่านางนั้นถูกพบแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ท่าทางของนางนั้นดูแปลกๆทำให้จี๋เฟิงนั้นไม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ๆ เขาจึงได้แต่คิ้วขมวดและไม่กล้าที่จะผลีผลามเข้าไปหา
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังคิดจะพาจี๋เฟิงไปยังที่ปลอดภัยอยู่นั้นเอง นางก็ถูกตบเบาๆจากด้านหลัง แล้วขาของหลินซีเหยียนก็ได้สั่นอย่างอ่อนแรงทันทีทันใด
“นี่ เจ้ามาทำบ้าอะไรอยู่แถวนี้? ปล่อยให้ข้าตามหาซะตั้งนาน” มีเสียงที่ฟังดูแข็งกระด้างและดังสนั่นขึ้นมา ทุกคำพูดของเขานั้นทำให้หูของคนอื่นถึงกับขี้หูสะเทือน
หลินซีเหยียนก็ได้พยายามระงับความกลัวเก็บเอาไว้ในใจของนาง แล้วก็ทำเป็นเขินๆแล้วถูจมูกของเขาและกล่าว “แล้วพี่ชายตามหาข้าทำไมเหรอ?”
“ก็ลูกพี่ใหญ่เรียกให้เจ้าไปหาน่ะสิ” แล้วชายคนนั้นก็ได้จ้องมองมาที่ชายร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างดูถูก “ข้าไม่รู้เลยเจ้าไปโชคดีมาจากไหนกัน แต่เจ้ากลับได้เป็นที่ชื่นชอบของลูกพี่ใหญ่ซะอย่างงั้น”
“แหะๆ จริงด้วยสิ บางที่ลูกพี่ใหญ่ก็อาจจะตาถั่วก็ได้นะ” มองไปที่สายตาที่ดูถูกของฝั่งตรงข้ามแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้แอบกลอกสายตาของนาง แล้วพูดบ่นในใจขึ้นมา: ใครจะไปอยากได้ความชอบจากเขากัน!
เดิมทีประโยคนั้นหลินซีเหยียนยังพูดไม่จบดี แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ได้พูดขึ้นมาก่อนราวกับว่าหลินซีเหยียนไปจิ้มโดนแผลของเขา
“ลูกพี่ใหญ่น่ะทั้งฉลาดและมีสายตาแหลมคมต่างหากล่ะ!”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงะ แล้วดวงตาสีดำของนางก็ได้จ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามที่พูดคำชื่นชมออกมาอย่างจริงจังและฟังชัดแล้ว นางก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่านางจะพูดบ่นแม้แต่คำเดียวก็ได้ไม่ได้ นี่มันช่างไร้สิทธิมนุษยชนจริงๆ!
“ข้าไม่มีเวลามาพูดอะไรไร้สาระกับเจ้าแล้ว เจ้าก็รีบไปเร็วเข้าเถอะ อย่าปล่อยให้ลูกพี่ใหญ่ต้องคอยนาน” หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามพูดจบแล้ว เขาก็ได้เดินจากไปโดยไม่ให้กลับมามอง หลินซีเหยียนแม้แต่น้อย
หลินซีเหยียนก็ได้ทำเสียงขึ้นจมูก แล้วเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเดินจากไปแล้ว นางก็รู้สึกเศร้าใจในใจของนาง
แล้วพอนางเดินไปยังมุมหนึ่งแล้ว จี๋เฟิงก็ได้โผล่ออกมาอย่างเหมาะเจาะ เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วกล่าว “พระชายา ข้าน้อยไม่พบท่านแม่ทัพเยี่ยในห้องใต้ดินนั้นขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางลง ในเมื่อเยี่ยจุนเจี๋ยไม่ได้อยู่ในชั้นใต้ดิน หากนางอยากจะพบเขาแล้วล่ะก็ ก็เกรงว่านางจำเป็นจะต้องมองหาผ่านทางอู๋จื้อเฟิงเสียแล้ว
“จี๋เฟิง เจ้าไปหาที่ซ่อนตัวก่อน ข้าเกรงว่าข้าคงจะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
แต่พระชายา ที่นี่มันอันตรายเกินไปนะขอรับ ท่านจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นะขอรับ” จี๋เฟิงก็ได้เกลี้ยกล่อมนาง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เจอกับคุณชายในชุดจีนโบราณคนนั้นที่มีสายตาที่สามารถขุดคุ้ยผู้คนได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ในเวลานั้นจี๋เฟิงรู้สึกได้ถึงความโหดร้ายและกระหายเลือดจากตัวเขา ถ้าหากพระชายานั้นเกิดมีอันตรายขึ้นที่นี่ เขาคงไม่รู้ว่าจะอธิบายให้องค์ชายฟังยังไงดีแน่
จี๋เฟิงเองก็พอที่จะเข้าใจความคิดของนางอยู่ และคิดว่าหลินซีเหยียนนั้นคงจะเป็นห่วงเยี่ยจุนเจี๋ยมาก อย่างไรเสีย เยี่ยจุนเจี๋ยก็เป็นถึงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านตากับยายของนาง และยังเป็นพี่ชายที่ดีของหลินอวิ๋นเซวียนอีกด้วย นางคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆด้วยเหตุผลแค่นี้แน่
“จี๋เฟิง ข้าได้ตัดสินใจเรื่องนี้เอาไว้แล้ว”
ด้วยเสียงที่สงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ขึ้นลงแล้วทำให้เขารู้สึกท้ออย่างบอกไม่ถูก จี๋เฟิงที่อยากจะกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล่าวออกไปเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของพระชายาแล้ว เขาก็ได้ยอมแพ้
“ข้าน้อยจะใช้ชีวิตของข้าน้อยเองเพื่อปกป้องพระชายาขอรับ” หลังจากที่จี๋เฟิงกล่าวจบ เขาก็ได้ลุกขึ้นยืนและซ่อนตัวในความมืด
หลินซีเหยียนจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเปลี่ยนกลับไปเป็นสีหน้าที่ขี้ขลาดอีกครั้งแล้วกลับไปยังบ้านไม้ไผ่ นางได้เดินขึ้นไปยังชั้นบนแล้วยืนอยู่หน้าประตู ในห้องนั้นเงียบมากทำให้นางสงสัยว่ามีใครที่อยู่ข้างหรือเปล่า แล้วนางก็ได้ยกมือขึ้นมาแล้วเคาะประตูห้องเบาๆ ก๊อกๆ
“ลูกพี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังตามหาข้าอยู่เหรอ?”
อย่างที่คาดไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ซึ่งทำให้ หลินซีเหยียนนั้นต้องนิ่งคิดอย่างช่วยไม่ได้ แล้วนางก็ได้ตะโกนอีกรอบแล้วจากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆ
ด้วยดวงตาสีดำและสงสัยของนาง เมื่อมองเข้าไปด้านในก็พบคุณชายที่สวมแต่ชุดชั้นในกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ
“….” หรือว่าเราจะถูกรู้ตัวจริงแล้ว? ไม่หรอกน่า!
อู๋จื้อเฟิงก็ได้วางแก้วชาในมือลง แล้วดวงตาที่แหลมคมมากของเขาก็ได้จ้องมาที่เขา “ไม่มีใครบอกกับเจ้าเหรอว่าห้ามเข้ามาในห้องของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้รีบทำเป็นสำนึกผิดและผงกหัวปลกๆแล้วกล่าว “ที่ข้าน้อยเข้ามาเพราะข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังเรียกหาข้าอยู่”
ภายนอกหลินซีเหยียนนั้นแสดงสีหน้าที่นอบน้อมออกมา แต่ในใจนั้นนางก่นด่าว่าเขาให้ไปตาย
“ต่อจากนี้ไปเจ้าอาศัยอยู่ในห้องชั้นล่างนะ” อู๋จื้อเฟิงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอยู่พักใหญ่แล้วก็กล่าวออกมา
หลินซีเหยียนก็ได้ถามออกไปโดยไม่ได้คิด “ทำไมเหรอขอรับ?”
ทันทีที่นางพูดเช่นนั้นออกมา หลินซีเหยียนก็รู้สึกคิดผิด เพราะนางนั้นได้ถามอะไรโง่ๆออกไปเสียแล้ว มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นจะต้องจับตาดูนางทุกฝีก้าว
อู๋จื้อเฟิงก็ได้จ้องไปที่นาง แล้วก็กล่าวอย่างมีความหมายแอบแฝง “ข้าเห็นว่าเจ้านั้นอ่อนแอ ข้าจึงให้เจ้าอยู่ใกล้ๆข้าจะได้ปกป้องได้”
แค่จะปกป้องเหรอ? หลินซีเหยียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่นางก็ได้เริ่มคิดหาวิธีว่าจะหาเยี่ยจุนเจี๋ยอย่างไรดี
“ลูกพี่ใหญ่ฮะ แต่ที่เขาพูดกันว่าจะจับโจรให้จับหัวหน้า ท่านก็ควรจะจับหัวหน้าของศัตรูให้ได้ก่อน แล้วอย่างข้าจะมีอันตรายอะไรเหรอขอรับ?” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่อู๋จื้อเฟิงด้วยดวงตาและคิ้วที่เจ้าเล่ห์
อู๋จื้อเฟิงก็ได้โบกมือของเขาราวกับว่าไม่อยากที่จะคุยกับหลินซีเหยียนอีก
หลินซีเหยียนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำอย่างเร่งด่วนแล้ว นางจึงได้ถอยออกไปแต่โดยดี
ที่บ้านไม้ไผ่หลังนี้นั้นมีทั้งหมดสองชั้น และที่ชั้นล่างนี้มีห้องว่างๆอยู่มากมาย หลินซีเหยียนจึงได้ถือวิสาสะเลือกห้องที่ดูดีที่สุดเข้าไป แต่ในขณะที่นางกำลังจะพักผ่อนอยู่นั้นเอง
ก็มีคนหนึ่งได้บุกเข้ามาในห้องนั้น คนคนนี้แต่งตัวชุดสีดำและสวมหน้ากากสีดำบนใบหน้า เขานั้นมีบรรยากาศที่โหดร้ายแผ่ออกมา และทันทีที่เขาเดินเข้ามาหาหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านนี่ช่างเย็นชาจริงๆ” หลินซีเหยียนก็ได้ลูบจมูกของตัวเองแล้วมองไปที่รูปร่างที่คุ้นเคยตรงหน้านาง
เจียงหวายเย่ก็ได้ถอนหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเทพแห่งความโกรธ หลินซีเหยียนก็ได้จ้องมองไปที่เขาอย่างสนใจกว่าปกติ อย่างไรเสียก็มีชายหล่อหน้าตาดีอยู่ตรงหน้านางทั้งที ถ้านางไม่มองไปที่เขาแล้วจะให้ไปมองใคร
“กลับไปกับข้า” เจียงหวายเย่ก็ได้ดึงกระชากตัวของ หลินซีเหยียนออกไป
ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็มีสีหน้าไม่ยินดีขึ้นมา นางก็ได้จ้องด้วยสายตาหงส์ไฟของนางแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าจะไม่ไปจนกว่าข้าจะพบเยี่ยจุนเจี๋ย”
“เปิ่นหวางจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้ารีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่เบาๆ และแฝงไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง