บทที่ 17
คุณหนูสามผู้เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ
เมื่อปี้ฉุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็รีบถอยออกมาและมีสีหน้าที่บึ้งตึง นางนั้นได้เตือนคุณหนูรองไปแล้ว แต่นางก็ยังยืนยันที่จะเอาของคุณหนูสามไปอยู่ดี นางจึงคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคุณหนูสามของนาง
หลินซีเหยียนกับจิ่งชุนก็ได้นำสำรับอาหารจำนวนมากกลับไปยังตำหนักเชียนหยาน
“ท่านแม่” เทียนเอ๋อที่อยู่ตามลำพังที่ลานกว้างนั้น ก็ได้รีบมาหาเมื่อได้กลิ่นของของกิน แล้วจากนั้นก็มองไปที่อาหารเหล่านั้นอย่างน้ำลายไหล
จิ่งชุนก็ได้ทำการจัดวางจานชามและตะเกียบ เทียนเอ๋อที่รอต่อไปไม่ไหวก็ได้เริ่มลงมือทานทันที “อร่อยมาก”
หลินซีเหยียนก็มองไปที่แก้มของเจ้าตัวแสบที่ปูดออกมาขณะที่กำลังกิน นางจึงได้ลูบหัวน้อยๆของเขา “กินช้าๆก็ได้ ไม่มีใครมาแย่งเจ้าหรอก”
จากนั้นนางก็ได้มองไปที่จิ่งชุน ผู้ที่ยังยืนอยู่ข้างๆแล้วสั่งให้นางจัดเตรียมจานอีกชุดหนึ่ง ถึงแม้ว่าจิ่งชุนจะสงสัยแต่นางก็ยังทำต่อไป หลังจากที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้มองไปที่จิ่งชุนด้วยรอยยิ้ม จิ่งชุนจึงได้ถามออกไปอย่างสงสัย “คุณหนูมีอะไรจะสั่งอีกเหรอเจ้าคะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “นั่งลงแล้วกินด้วยกัน”
“คุณหนู จิ่งชุนเป็นแค่สาวใช้นะเจ้าคะ” จิ่งชุนรีบพูดเตือนนางอย่างรวดเร็ว แค่คุณหนูนั้นยังไม่ทิ้งนางไปนางก็ดีใจมากแล้ว
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวด สำหรับจิ่งชุนที่ให้ความสำคัญกับชนชั้นนายบ่าวแล้ว นางก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ จึงได้แกล้งทำเป็นโมโห “จิ่งชุน ทำไมเจ้ายังไม่ฟังข้าอีก?”
“ไม่ได้….ไม่ได้เจ้าค่ะคุณหนู จิ่งชุน….” จิ่งชุนที่พยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกักอยู่นั้น ก็ได้ถูกขัดโดยเทียนเอ๋อ
“ป้าจิ่งขอรับ นั่งลงโดยไวแล้วฟังที่ท่านแม่พูดเถอะขอรับ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ตามมามันจะหนักหนากว่านี้” เทียนเอ๋อที่วางชามข้าวของตัวเองแล้วหันมาพูดแนะนำแทน
จิ่งชุนจึงได้แอบหันมามองที่คุณหนูอีกครั้ง แต่คุณหนูนั้นไม่ได้หันมามองนางอีก นางจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีแล้วรีบนั่งลงด้วยสีหน้ายินดี
หลินซีเหยียนจึงได้ผงกหัวอย่างพอใจ แล้วนางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเหมือนกับเมื่อสักครู่ “เอ้า มากินกันเถอะ! จิ่งชุนกินโจ๊กพุทราแดงเยอะๆนะ”
จิ่งชุนก็ได้ตักโจ๊กกินอย่างเชื่อฟัง โจ๊กนี้อร่อยมากนางนั้นไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย
“นังโง่หลินซีเหยียน ไม่ใช่ว่าเจ้าออกจากที่นี่ไปแล้วหรอกเหรอ?” ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังกินอาหารกันอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงที่น่ารำคาญดังขึ้นมา
ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้ลุกขึ้นและออกไปที่หน้าประตู หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้เดินเข้ามาด้านในก่อน แล้วจากนั้นก็มองไปที่หลินซีเหยียนที่กำลังกินอยู่กับสาวใช้อย่างดูถูก
“นังโง่ เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องสั่งไปนานแค่ไหนถึงจะได้โจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาวนี้?”
“ข้าไม่รู้หรอก” หลินซีเหยียนแกล้งทำเป็นพูดอย่างใสซื่อแล้วก็ได้ถอนหายใจออกมาหลังจากที่พูดจบ นางนั้นก็แค่ต้องการกินอาหารอย่างสงบบ้างไม่ได้รึยังไงนะ?
“วันนึงเลยเชียวนะ ข้าได้สั่งให้คนครัวทำให้ข้าตั้งวันนึง แต่สุดท้ายก็กลับถูกเจ้าเอาไป….” แล้วนางก็พบโจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาวอยู่ในชามของจิ่งชุนก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างดุดันมากขึ้นกว่าเดิม “นี่เจ้ากล้าเอาให้สาวใช้กินอย่างนั้นเหรอ? นี่เจ้าไม่รู้เหรอว่าใส่ของบำรุงที่มีค่าลงไปมากขนาดไหนในโจ๊กหม้อนี้”
มือของจิ่งชุนก็ได้สั่นขึ้นมาแล้วรีบวางชามไว้บนโต๊ะ
หลินซีเหยียนก็ได้พูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนหรอกว่ามันจะมีค่ามากขนาดไหน เพียงแต่ข้าเห็นว่าจิ่งชุนนั้นผอมบางมากจำเป็นต้องได้รับการดูแลก็เท่านั้น”
“นังโง่ นังคนสุรุ่ยสุร่าย ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนท่านพ่อ” หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้สั่งให้สาวใช้ที่นางพามาจัดการสั่งสอนหลินซีเหยียน
บางที่อาจเป็นเพราะพวกนางนั้นเคยทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง พวกนางจึงดูชำนาญมาก แล้วทั้งสี่คนรวมคนถึงปี้ฉุ่ย โดยสองคนเข้าจับตัวหลินซีเหยียน ในขณะที่อีกสองคนกำลังจะเข้ามาสั่งสอนนาง
จิ่งชุนที่เห็นดังนั้นจึงได้รีบเข้ามาขวางปี้ฉุ่ยอย่างรวดเร็วพลางขอร้องคุณหนูสาม
“ปล่อยนางอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ เจ้าก็จะต้องโดนสั่งสอนเป็นรายต่อไปด้วย” หลินเสวี่ยเหยียนที่ก็ได้ยืนดูอยู่ข้างๆ และมองดูอย่างนึกสนุก
“ผู้หญิงน่ารังเกียจ กล้าทำร้ายท่านแม่ข้าเรอะ?” แล้วเทียนเอ๋อผู้ถูกทุกคนลืม ก็ได้ลุกออกมาจากม้านั่งแล้วพุ่งเข้าหาหลินเสวี่ยเหยียน
หลินเสวี่ยเหยียนนั้นไม่ทันได้ระวังเจ้าลูกชิ้นขาว เทียนเอ๋อจึงได้วิ่งไปที่ด้านหน้าของนางแล้วผลักนางอย่างแรงจนลงไปนั่งกับพื้น สายตาของนางเบิกกว้างและไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กแค่นั้นจะมีแรงมากมายขนาดนี้
“เป็นแค่สายเลือดชนชั้นต่ำบังอาจมาผลักคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหรอ?” คุณหนูสามลุกขึ้นยืนแล้วง้างแขนหมายจะตบตีเทียนเอ๋อ
แต่เทียนเอ๋อนั้นเร็วกว่าหนีไปได้ ทำให้คุณหนูสามโกรธจัดจนหน้าอกสั่นไหวขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะที่คิดที่จะจับเจ้าเด็กตัวแสบมาสั่งสอนอยู่นั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงร้องคนของนางทั้ง 4 คน
พอนางหันไปมองก็พบหญิงรับใช้ทั้ง 4 ลงไปนอนกองกับพื้นกันหมด แต่ละคนต่างก็เอามือกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา
หลินซีเหยียนที่เคยเป็นแค่นังโง่ที่ไม่กล้าตอบโต้หรือด่าใครในสายตาคนอื่นนั้น ไม่นึกเลยว่านางจะไปเรียนวิชามาบ้างหลังจากที่หายไปถึง 5 ปี
“หลินซีเหยียน ดูท่าเจ้าจะเรียนรู้การตอบโต้เป็นกับเขาบ้างแล้วสินะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วนิดหน่อยล่ะนะ” หลินเสวี่ยเหยียนพูดอย่างเสียดสี แล้วจากนั้นก็เดินไปหาหลินซีเหยียน แล้วคิดลงมือตัวด้วยตัวเอง
แต่ก่อนที่หลินเสวี่ยเหยียนจะลงมือ นางก็ได้พูดเสริมขึ้นมา “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องพี่เหวินจางว่าเจ้าเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้าย และข้าจะคอยดูว่าเขายังจะกล้าแต่งกับเจ้าอยู่ไหม?”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ ดูเหมือนว่ามหาเสนาบดีกับหลินหัวเยว่จะพยายามปิดข่าวเรื่องที่นางขอถอนหมั้นเอง เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง
หลินเสวี่ยเหยียนที่เห็นว่าหลินซีเหยียนไม่พูดตอบโต้อะไรก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างเยาะเย้ยที่มุมปาก ซึ่งในขณะที่นางกำลังจะลงมือนั้นเอง นางก็ได้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณเอวและลอยออกไปราวกับว่าวที่สายป่านขาด
“คุณหนูสาม” ปี้ฉุ่ยที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็ได้เมินเฉยต่ออาการปวดท้องของนางแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
หลินซีเหยียนก็ได้เดินออกไปอย่างไม่เร่งรีบ แล้วเดินไปตรงหน้าของพวกนางภายใต้สายตาที่หวาดกลัวของ หลินเสวี่ยเหยียนกับปี้ฉุ่ย แล้วหลินซีเหยียนก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ดวงตาของนางนั้นช่างเย็นชาอย่างสุดๆ “ไหนพวกเจ้าบอกจะสั่งสอนข้าไง?”
“หลินซีเหยียนฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อแล้วให้ท่านลงโทษเจ้า” หลินเสวี่ยเหยียนพูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลินซีเหยียนที่ได้ฟังก็หัวเราะ “เจ้านี่ช่างอ่อนหัดเสียจริงๆ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกนะ เพราะมหาเสนาบดีหลินก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อรักข้ามากจะตายไป” หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างดื้อรั้น ด้วยสายตาที่ดุดันของนางโดยไม่ปิดบัง
เมื่อเห็นว่าหลินเสวี่ยเหยียนนั้นไม่เชื่อนาง หลินซีเหยียนก็ขี้เกียจจะพูดต่อ จึงได้พูดขึ้นมาว่า “งั้นเรามาพนันกันไหม? ข้าพนันว่ามหาเสนาบดีนั้นจะไม่มา ถ้าข้าเดาถูกเจ้าต้องมาเป็นข้ารับใช้ของข้า 1 เดือน แต่ถ้าเจ้าถูก ข้าจะไปเป็นข้ารับใช้เจ้า ตกลงไหม?”
“ได้” มีหรือที่นางจะยอมถอยง่ายๆ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ตอบรับทันควันแล้วจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ปล่อยนางไป
กลับมาเข้ามาในตำหนัก แล้วทั้งสามคนก็ได้กินอาหารกันต่ออย่างมีความสุข
ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีใครเห็น อันซานก็ได้มาเปลี่ยนกับอันอี้
ณ พระราชวังรัตติกาล อันอี้ก็ได้ยืนอยู่ด้านหลังขององค์ชายเย่และรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่แม่นางหลินกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าอดีตของผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเช่นนี้” โดยไม่รู้ว่าทำไมเจียงหวายเย่ก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เขาได้เอามือทาบกับอกของตัวเอง แล้วเขาก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยแววตาที่มืดดำ “เปิ่นหวางอยากให้เจ้าเอาเรื่องที่แม่นางหลินเขียนหนังสือถอนหมั้นไปเผยแพร่ให้ทุกคนรู้พรุ่งนี้”
แล้วอันอี้ก็ขานรับแล้วถอยออกไปทันที แทบไม่ต้องเดาเลยว่าพรุ่งนี้ในเมืองหลวงนั้นจะต้องฮือฮามากเป็นแน่ อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องของ บุตรีคนที่สองที่แสนโง่ของมหาเสนาบดีนั้นได้ขอถอนหมั้นกับเฮอเหวินจางด้วยตัวเอง