บทที่ 20
สมรู้ร่วมคิด
ถูกไล่ออกมา? หงเสวี่ยและเหลียนเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้หันหน้ามามองกันเองแล้วได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีความเห็นร่วมกันแล้ว “ในเมื่อองค์ชายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วเดี๋ยวพวกเราสองคนจะกลับมาเยี่ยมใหม่”
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดและหันไปมองหลังของพวกนางที่กำลังเดินออกไป นางนั้นรู้สึกไม่อยากจะเชื่อที่ทั้งคู่นั้นจะยอมออกไปง่ายๆเช่นนี้ นางอยากให้ทั้งสองคนนั้นอยู่ด้วยก่อนแท้ๆ!
องค์ชายเย่ที่จ้องมองไปที่หลินซีเหยียนราวกับไม่อยากพลาดทุกช่วงอารมณ์บนใบหน้าของนาง เมื่อเห็นใบหน้าที่เสียดายของนางแล้ว เขาจึงได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ดูเหมือนแม่นางหลินจะหวังให้ตำหนักในของเปิ่นหวางลุกเป็นไฟสินะ?”
เมื่อได้ยินทำนองหยอกล้อภายใต้น้ำเสียงที่เย็นชาของของเขา หลินซีเหยียนจึงได้รีบส่ายหัว “องค์ชายก็คิดมากเกินไปแล้ว ไฟในหลังบ้านของท่านนั้นมันไม่ดีต่อข้าเลยแม้แต่น้อย”
หลังจากที่พูดจบ นางก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางก็ได้พูดกับเจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าว่าองค์ชายควรจะรีบหาสมุนไพรมาให้ได้เร็วที่สุดจะดีกว่านะเจ้าคะ”
เขานั้นรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี เจียงหวายเย่จึงไม่ได้ถามอะไรมากนักและผงกหัวอย่างครุ่นคิด
“เทียนเอ๋อกับจิ่งชุนน่าจะยังอยู่ที่ร้าน ดังนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” หลินซีเหยียนก็ได้เดินออกไปทันทีที่พูดจบ
เมื่อนางกลับมาถึงร้านน้ำชาแล้ว จิ่งชุนกับเทียนเอ๋อก็ไม่อยู่แล้ว แทบไม่ต้องคิดหลินซีเหยียนก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะ หลินเทียนชื่อแน่ๆ เจ้าเด็กตัวแสบนั่นจะต้องพาจิ่งชุนออกไปเดินในเมืองแน่ๆ
หลินซีเหยียนจึงได้เดินออกจากร้านน้ำชาเพื่อตามหาทั้งคู่
“เดี๋ยวก่อนแม่นาง ได้โปรดอยู่ก่อน”
เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนาง หลินซีเหยียนก็ได้หันกลับไปมองแล้วก็พบกับชายในชุดสีเขียว เมื่อนางเห็นใบหน้าของผู้ที่เดินมาหานางชัดๆแล้ว นางก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาคือพ่อหนุ่มหลงตัวเองเมื่อวานหรอกเหรอ? ถ้านางจำไม่ผิดน่าจะชื่อว่าซางกวนจิ่น
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังก้มหัวครุ่นคิด ซางกวนจิ่นก็ได้เดินเข้ามาใกล้หลินซีเหยียน “แม่นางหลินเป็นท่านจริงๆด้วย พวกเราคงต้องมีวาสนาต่อกันแน่ๆ!”
“ก็แค่เรื่องบังเอิญเจ้าค่ะ แล้วข้าก็มีธุระที่จะต้องไปแล้วด้วย” หลินซีเหยียนได้เคยพูดอย่างชัดเจนแล้วและไม่คิดจะพูดซ้ำอีก แต่ซางกวนจิ่นนั้นก็หาได้ลดละง่ายๆไม่
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเราน่าจะหาที่ดีๆพูดคุยกันสักหน่อยนะ” ซางกวนจิ่นก็ได้ตามติดหลินซีเหยียน แบบสลัดไม่หลุดราวกับขนมเหม่งทึ้ง
“แม่นางหลินเป็นคนเขียนจดหมายขอถอนหมั้นสินะ ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินักที่ได้อ่าน ช่างเป็นคนมีความสามารถอะไรเช่นนี้” ซางกวนจิ่นพูดจ้อไม่หยุด
เพราะซางกวนจิ่นนั้นมีรูปโฉมที่หล่อเหลา หลินซีเหยียนจึงรู้สึกได้ถึงรังสีอาฆาตแผ่ออกมาตลอดการเดินทางของนาง นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และรู้สึกโชคร้ายนักที่มาเจอกับคนพูดมากเช่นนี้ แต่ทว่านี่กลับยังไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุดที่นางเจอในวันนี้
ในเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมหน้ากำลังเดินอยู่กลางถนน แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ ซึ่งพอหันไปก็พบคุณชายที่กำลังพูดอยู่กับคนที่เขารู้จักเสียด้วย “นังสารเลวหลินซีเหยียน เจ้าบังอาจใช้ยาพิษกับข้าแล้วยังมีหน้าจู๋จี๋กับผู้ชายอีก อย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาถอนหมั้นกับข้า?”
หลินซีเหยียนที่ได้ฟังก็หรี่สายตาลงทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาขบขัน “ข้าก็ว่าท่านคือใคร? ที่แท้ก็คือบุตรชายคนโตของกว๋อกงจิ่งหยางนี่เอง”
แล้วผู้คนรอบๆต่างก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล พวกเขาจึงได้หยุดแล้วพากันมามุงดู ซึ่งแต่ละคนต่างก็มองด้วยสายตาดูหมิ่นทิ่มแทงไปยังเฮอเหวินจาง อย่างไรเสียเรื่องของจดหมายถอนหมั้นของหลินซีเหยียนนั้นก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งในเมืองนอกเมืองหมดแล้วเพราะฝีมือของใครบางคน แม้แต่เด็กก็ยังรู้ข่าวนี้เลย
เฮอเหวินจางก็ได้กระแอมแล้วมองด้วยสายตาขู่ไปยังเหล่าผู้คนที่ซุบซิบนินทากัน พวกเขาจึงได้พากันเงียบเพราะพวกเขานั้นไร้ซึ่งพลังและอำนาจจะสู้ด้วย
“หลินซีเหยียนเจ้าเก็บเอาจดหมายถอนหมั้นของเจ้ากลับไปแล้วขอโทษข้าเสีย แล้วข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้และแต่งงานกับเจ้า” เฮอเหวินจางก็ได้เปิดผ้าคลุมหน้าแล้วพูดราวกับว่าไม่เคยมีใครปฏิเสธเขามาก่อน
มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกขึ้นมา และรู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางนี้หมดหวังจะเยียวยาแล้ว “คุณชายเฮอ ข้านั้นไม่อยากที่จะปีนป่ายเข้าบ้านจิ่งหยางอีกแล้ว บางทีถ้าท่านไปตายเสีย บางทีข้าอาจจะยอมเปลี่ยนใจแต่งงานก็ได้”
ผู้คนรอบๆที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะทำปากย่นกลั้นหัวเราะ เพราะพวกเขาต่างก็คิดว่าคุณชายเฮอนั้นทะนงตัวมากเกินไปจริงๆ
เฮอเหวินจางก็รู้สึกตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินจากพ่อของเขามาบ้างแล้วว่าหลินซีเหยียนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อและไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง “ในเมื่อเจ้าไม่ปรานีกับข้าก่อน ก็อย่ามาโทษข้าที่ไม่ปรานีกับเจ้าละกัน”
หลังจากที่เขาพูดจบเฮอเหวินจางก็ได้ตบมือของเขาแล้วเหล่าข้ารับใช้ของเขาเดินขึ้นมาด้านหน้า “พวกเจ้าจับนางเอาไว้แล้วพาไปที่ศาล ข้าจะฟ้องนางข้อหาพยายามจะฆ่าข้า”
“ขอรับ” แล้วเหล่าข้ารับใช้ก็พากันมาล้อม
หลิงซีเหยียนนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งความกลัว ดวงตาของนางนั้นเป็นประกายขึ้นด้วยแววตาที่ชั่วร้าย “คุณชายเฮอคงจะหายดีแล้วสินะ และลืมแม้กระทั่งรอยแผลเป็น ถึงได้กล้าที่จะมาหาเรื่องข้าเช่นนี้”
หลังจากที่พูดประโยคนี้มาเฮอเหวินจางก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ซึ่งรอยแผลเป็นก็ไม่หายไปง่ายๆด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ออกมาโดยที่มีผ้าคลุมหน้าหรอก
ซางกวนจิ่นที่ถูกทุกคนลืมในเวลานี้ก็ได้เดินออกมาด้านหน้า มันเป็นเวลาของคนกล้าที่จะต้องออกมาปกป้องหญิงงามแล้ว ถึงแม้ว่าหญิงงามคนนั้นจะไม่ได้ต้องการให้เขาช่วยเลยแม้แต่น้อยก็เถอะ
“เฮอเหวินจาง ทุกคนต่างก็รู้เรื่องของการถอนหมั้นของเจ้ากับแม่นางหลินแล้ว ดังนั้นการที่แม่นางหลินกับข้าจะสานสัมพันธ์ต่อกันนั้น มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเหรอ?”
เฮอเหวินจางก็พบว่าชายคนที่ตามจีบหลินซีเหยียนอยู่นั้นก็คือซางกวนจิ่น ผู้ที่เป็นปรปักษ์กับเขาตลอดเวลานั่นเอง ทำให้เขามีสีหน้าที่ไม่ดีขึ้นมาทันที “ซางกวนจิ่น อย่าคิดนะว่าเจ้ามีน้าเป็นถึงสนมของฮ่องเต้แล้วข้าจะกลัวเจ้าน่ะ อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้จะดีกว่า”
“ก็ข้าอยากจะยุ่ง และตอนนี้ข้าก็โกรธเจ้ามากด้วย” ซางกวนจิ่นก็ได้หยิบพัดออกมาด้วยท่าทางที่เพียบพร้อม ทำให้เหล่าสาวๆพากันจ้องเขม็งไปที่เขา
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ตบหน้าตัวเองเบาๆ และถอนหายใจ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”
“นังคณิกา วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปศาลให้ได้” เฮอเหวินจางพูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ล้วนรักราษฎรเหมือนกับลูก ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงไม่เห็นด้วยกับเจ้าที่ปรักปรำแม่นางหลินแน่” ซางกวนจิ่นกล่าวถึงจดหมายในวันที่นางถูกปรักปรำโดย เฮอเหวินจาง
ซางกวนจิ่นก็ได้พุ่งฝ่าวงล้อมข้ารับใช้และโจมตี เฮอเหวินจางอย่างต่อเนื่อง เฮอเหวินจางโกรธมากและให้เหล่าข้ารับใช้รุมทำร้ายเขา
แล้วหมาหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น
มองไปที่ผู้ที่พุ่งเข้ามาหา หลินซีเหยียนก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่จะได้ยืดเส้นยืดสายเสียที แต่ก่อนที่นางจะได้เคลื่อนไหว ซางกวนจิ่นก็ได้พุ่งเข้าไปก่อน
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เป้าหมายของนางโดนแย่งไป แต่การที่มีคนมาช่วยนางสะสางปัญหาให้นางเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกดีเหมือนกัน แต่ทว่าก็ได้มีบางอย่างที่ทำให้ใครหลายคนต้องตาเหลือก นั่นคือซางกวนจิ่นถูกทำร้ายโดยข้ารับใช้คนนั้นโดยที่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้เลย
หลินซีเหยียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก หรือว่าผู้กล้าคนนี้จะมีดีแค่คุณธรรมเท่านั้นกันนะ?
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนที่กำลังตกตะลึง เหล่าข้ารับใช้ก็ได้พากันลอบเข้าโจมตี ในขณะที่พวกเขากำลังพุ่งเข้าหา หลินซีเหยียน ก็มีผงสีขาวโปะเข้าหน้าพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็ได้ลงไปนอนกองกับพื้นราวกับผักกาดขาวที่เพิ่งเก็บขึ้นมา
ด้วยความกลัว เหล่าข้ารับใช้ที่เหลือก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อ
ซางกวนจิ่นลุกขึ้นมา โดยมีเลือดติดอยู่ที่มุมปากของเขา และมีรอยช้ำสีม่วงเขียวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้รูปโฉมของเขาเสียไปเลย แต่ออกจะเพิ่มความกล้าหาญเข้าไปด้วยหน่อยนึง ซึ่งทำให้ดูน่าประทับใจในสายตาของนาง
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดขึ้นมา ก็ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขากลับไปแบบเดิมทันที “ข้าเจ็บเหลือเกิน เจ้าช่วยปลอบข้าหน่อยสิ”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาด้วยสายตาเวทนาและกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ได้หันหน้ามาหาเฮอเหวินจางที่กำลังจะหนี หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มเยาะขึ้นมาและสั่งให้ดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางออกมา: บัวแดง, หน่อเขียวจับเขาเอาไว้ อย่าให้เขาหนีรอดไปได้
จากนั้นดวงแสงสีขาวที่มองไม่เห็นสองลูกก็ได้พุ่งไปที่ขาของเฮอเหวินจางทันที