บทที่ 25
คุณชายซางกวนขอแต่งงาน
“แตเปิ่นหวางชอบความสงบมากกว่า” หลังจากที่องค์ชายเย่กล่าวเขาก็ได้โบกมือ แล้วจากนั้นอันอี้ก็ได้มา“เชิญ”ซางกวนจิ่น ออกไป
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้แสดงความเห็นพ้องด้วยทั้งมือและเท้า ซางกวนจิ่นนั้นน่ารำคาญไปจริงๆ
มีอยู่แค่เพียงสามสิ่งที่สามารถทำได้ในงานเลี้ยงนี้: กิน, ดื่ม, พูดคุย
ดังนั้นหลินซีเหยียนจึงเริ่มเบื่อหลังจากที่กินเสร็จ แต่แล้วนางก็ได้หันหน้าไปมองเจียงหวายเย่แล้วพูดพึมพำเบาๆ “ท่านคิดว่าองค์ฮ่องเต้จะให้ใครมาแต่งกับท่าน?”
เมื่อได้ยินเสียงพูดพึมพำนี้ เทียนเอ๋อที่กำลังง่วนอยู่กับการกินก็ได้แอบเงี่ยหูฟังทันที
มองไปที่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาที่มีแววตาสนใจแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมาที่มุมปาก “แล้วถ้าเปิ่นหวางบอกว่าอาจจะเป็นแม่นางหลินล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หลินซีเหยียนที่ได้ยินก็รีบโบกมือปัดทันที “เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นพวกเราสองคน คนหนึ่งก็ถูกเกลียดโดยคนหมู่มาก ส่วนอีกคนก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนหมู่มาก จะไปเหมาะสมกันได้อย่างไร?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ก็พวกเราสองคน คนหนึ่งก็ทั้งเสียโฉมและพิการ ส่วนอีกคนก็บ้าผู้ชายและไร้ความสามารถ ทำไมจะไม่เหมาะสมกันล่ะ” ริมฝีปากบางๆของเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวอย่างมีเหตุผลมาก
หลินซีเหยียนก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา นางนั้นไม่อยากที่จะต้องมายอมรับอนาคตของนางโดยคนอื่นเช่นนี้
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ในตอนนั้นเองก็ได้มีคนคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านาง หลินซีเหยียนนั้นนึกว่าเป็นซางกวนจิ่นกลับมาอีกรอบ นางจึงได้กล่าวโดยที่ไม่ได้เงยหน้า “ท่านกลับไปเถอะ”
แล้วรอบๆก็พากันเงียบกริบชั่วขณะหนึ่ง ทันทีที่ หลินซีเหยียนเงยหน้าขึ้นมา นางก็เห็นเฉิงซินหรุ่ยที่กำลังมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าที่โศกเศร้า ราวกับกำลังบ่นในความหยาบคายของหลินซีเหยียนแบบเงียบๆ
เมินเฉยต่อดอกสาลี่ท่ามกลางสายฝนที่น่าหลงใหลและน่าสงสาร แววตาที่บึ้งตึงของเจียงหวายเย่ก็ได้กวาดไปมอง เฉิงซินหรุ่ย “มีธุระอะไร?”
ด้วยเสียงที่เย็นชาที่แฝงไปด้วยอำนาจของผู้สูงศักดิ์ ทำเอาหลินซีเหยียนถึงกับส่ายหัวเมื่อได้ยิน นางรู้สึกได้ว่า เจียงหวายเย่นั้นคงจะต้องโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตแน่
“ข้า….ข้าบอกกับท่านพ่อของข้าไว้ว่าข้าอยากที่จะแต่งงานกับท่านเจ้าค่ะ” เฉิงซินหรุ่ยตัวสั่นขณะที่กำลังพูดประโยคนี้ และหน้าแดงราวกับพระอาทิตย์ตก
เจียงหวายเย่ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับพูดอย่างเย็นชา “อันอี้ เปิ่นหวางไม่ชอบให้มีคนแปลกหน้าเข้ามาหา”
อันอี้ก็ได้ขานตอบแล้วเดินออกมาพร้อมกับ“เชิญ” เฉิงซินหรุ่ยให้กลับออกไป
เฉิงซินหรุ่ยก็ตาแดงขึ้นมาทันที แล้วนางก็กล่าวอย่างตัวสั่น “องค์ชายเย่ ข้าคือชายาในอนาคตของท่านนะเจ้าคะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินซีเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมา ขณะที่แอบดีใจว่าตำแหน่งพระชายานั้นไม่ใช่ตัวนาง แต่นางก็รู้สึกสงสารขึ้นมานิดหน่อยที่ชีวิตของนางกลับต้องมาผูกติดอยู่กับการแต่งงานทางการเมืองเช่นนี้
เจียงหวายเย่ไม่ได้พูดอะไร และเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจ เฉิงซินหรุ่ยต่อด้วย แต่แล้วแม่ทัพเว่ยหยวนก็ได้โผล่มา แล้วหลังจากที่ทำดื่มอวยพรให้กับเจียงหวายเย่แก้วหนึ่งแล้ว เขาก็ได้พาเฉิงซินหรุ่ยกลับไป
ระหว่างที่แม่ทัพกำลังพาเฉิงซินหรุ่ยกลับไปอยู่นั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าของเฉิงซินหรุ่ยนั้นไม่ดีเอามากๆ จนในที่สุดก็ได้ร้องไห้ออกมา
เป็นไปไม่ได้ พ่อของนางไม่ได้ขอให้องค์ฮ่องเต้ให้นางแต่งงานกับเขาหรอกเหรอ แล้วใครกันที่จะได้เป็นพระชายาเย่? ระหว่างทางเฉิงซินหรุ่ยก็ได้ร้องไห้และมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
ไม่นานนักงานเลี้ยงที่น่าเบื่อนี้ก็ได้มาถึงตอนท้ายของงาน ใครกันที่เป็นว่าที่ชายาขององค์ชายเย่? นี่คือคำถามที่อยากรู้กันมากที่สุดในเวลานี้
“ฝ่าบาทมีราชโองการให้บุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีผู้งดงามและเฉลียวฉลาดได้ทรงพระราชทานให้แก่องค์ชายเย่ในฐานะองค์หญิงแห่งรัตติกาล และบุตรีคนแรกของมหาเสนาบดีผู้มีคุณธรรมและซื่อตรงได้ทรงพระราชทานให้แก่ เฮอเหวินจางบุตรชายของกว๋อกงจิ่งหยางในฐานะภรรยา อีกสามเดือนให้หลัง องค์ฮ่องเต้จะเลือกวันมงคลเหมาะแก่การสมรสให้ จบราชโองการ” ขันทีได้อ่านราชโองการของฮ่องเต้
เหล่าแม่ทัพที่เคยติดตามเจียงหวายเย่นั้นเมื่อเห็นว่าองค์ฮ่องเต้ได้มอบผู้หญิงที่หนีตามคนอื่นไปจึงโกรธหูตาแดงขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะสงสารแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“กราบทูลฝ่าบาท ข้าเองก็อยากที่จะแต่งงานกับแม่นางหลินเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ซางกวนจิ่นลุกขึ้นยืนและคัดค้าน
นางสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ซางกวน ก็ได้ตื่นตระหนกกับคำพูดของหลานชายของนางแล้วดุเขา “จิ่นเอ๋อเจ้าอย่ามาก่อปัญหาเลย”
“ท่านน้า จิ่นเอ๋อไม่ได้ตั้งใจก่อกวนใดๆ จิ่นเอ๋อแค่อยากจะแต่งงานกับแม่นางหลินเพียงคนเดียวในชีวิตนี้” คำพูดที่น่าหลงใหลออกมาจากปากของซางกวนจิ่นผู้ที่ทำตัวนำสมัยอยู่ตลอดเวลานั้น ช่างทำให้รู้สึกแปลกๆนัก
ส่วนหลินซีเหยียนก็ขมวดคิ้ว และคาดไม่ถึงในคำพูดของซางกวนจิ่น แต่ถ้านางเลือกได้นางก็ไม่อยากจะแต่งงานกับทั้งคู่นั่นแหละ
ซางกวนจิ่นกล่าวและหันไปกะพริบตาให้กับ หลินซีเหยียน “ข้าปรารถนาที่จะมีรักเดียว แม้ความตายก็มิอาจพรากจากกัน”
แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้โต้ตอบอะไร องค์ชายเย่ที่นั่งเงียบก็ได้พูดขึ้น “ต่อแต่นี้ไปนางจะเป็นพระชายาของเราต่างหาก”
ซึ่งองค์ฮ่องเต้เองก็ตกใจ สาวงามที่อยู่ข้างกายเจียงหวายเย่นั้นคือหลินซีเหยียนหรอกเหรอ ไม่ใช่ว่าหลินซีเหยียนคือ นังโง่ไร้สมองหรอกเหรอ? ทำไมถึงไม่เคยมีใครบอกเขาเลยว่า หลินซีเหยียนนั้นเป็นสาวงามในล่มเมืองเช่นนี้
เดิมทีเขานั้นคิดที่จะใช้หญิงสาวที่เคยหนีตามคนอื่นไปเพื่อกลั่นแกล้งเจียงหวายเย่ แต่เขาไม่นึกเลยว่า……
เขานั้นรู้สึกผิดมาก แต่เขาจะต้องทำตามที่เขาพูด ต่อให้เขาผิดพลาดไปแล้วก็ปล่อยให้พลาดไปก่อน อย่างไรเสียเขาก็ยังหาทางหลอกให้นางมาเป็นของเขาได้ในอนาคตอยู่ดี “ข้าจะไม่เปลี่ยนในสิ่งที่ข้าได้พูดไปแล้ว”
ซางกวนจิ่นนั้นอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับถูกห้ามโดยนางสนมของฮ่องเต้ ซางกวนจิ่นนั้นแม้อยากจะคัดค้านแต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยต่อพระสนมซางกวนได้ เขาจึงทำได้แค่หุบปากแต่ในดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยไฟดื้อรั้น
เมื่อความวุ่นวายนี้สงบลง มหาเสนาบดีหลิน, องค์ชายเย่ และกว๋อกงจิ่งหยางก็ได้กล่าวพร้อมกัน “ข้าน้อยขอน้อมรับราชโองการ”
จากนั้นพอองค์ฮ่องเต้เสด็จกลับไป เหล่าขุนนางต่างก็พากันมาแสดงความยินดีกับมหาเสนาบดี
ส่วนบุตรีทั้งสองคนของมหาเสนาบดีนั้น คนหนึ่งกำลังตกใจส่วนอีกคนกำลังหวาดกลัว
หลินซีเหยียนนั้นไม่คิดว่าเจียงหวายเย่นั้นจะเดาถูก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางเป็นกังวลมากเท่าไร นางจะต้องสืบให้ได้ว่าแม่ของเจ้าของร่างนี้นั้นตายอย่างไร ภายในสามเดือนนี้มีเวลามากพอที่นางจะออกตามสืบให้พบได้อยู่ ซึ่งหลังจากที่สืบเสร็จแล้วนางก็คิดจะหายตัวไปอีกรอบ อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องของชื่อเสียงอยู่แล้ว
แต่หลินหัวเยว่นั้นไม่ได้โชคดีเหมือนกับหลินซีเหยียน ในเวลานี้เฮอเหวินจางรังเกียจนางมาก นางคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีแน่หลังจากที่แต่งงานไป
ในขณะที่นางออกจากงานนั้น หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงสายตาจำนวนมากมายที่จ้องมายังด้านหลังของนาง และดูเหมือนว่านางคงได้กลายเป็นหัวข้อพูดคุยในวันพรุ่งนี้เป็นแน่
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ถูกพามาส่งถึงจวนมหาเสนาบดีโดยองค์ชายเย่ ซึ่งการกระทำนี้ราวกับเป็นการประกาศถึงความชื่นชอบของเขาที่มีต่อบุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดี
เมื่อหลินซีเหยียนกลับมาถึงตำหนักเชียนหยานในสภาพอ่อนล้า นางก็พบว่าตำหนักเล็กๆของนางสว่างไสวขึ้นมาและนางก็นึกขึ้นได้ว่าเหล่าคนเก่าคนแก่ในตำหนักเชียนหยานนั้นได้กลับมากันแล้วในวันนี้
หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจและรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ทุกคนในตำหนักเซียนหยานที่พบว่าหลินซีเหยียนได้กลับมาแล้วนั้นต่างก็พากันออกมาและยืนนิ่งๆ
“เทียนเอ๋อ เจ้าเข้าไปนอนก่อนไป” หลินซีเหยียนลูบหัวของเทียนเอ๋อ
แล้วเทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวแล้วไปที่เตียงนอนอย่างเชื่อฟัง
“ข้าจำอะไรไม่ได้มากนักกับสิ่งที่ข้าทำในอดีต ข้าคิดว่าข้าอาจจะทำให้บางอย่างที่น่าละอายแก่พวกเจ้าทุกคนมาก่อน ข้าจึงได้อยากที่จะขอโทษทุกคนที่นี่ด้วย ข้าขอโทษนะ” หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ก้มหัวให้กับทุกคน
แล้วแม่นมจ้าวของหลินซีเหยียน ผู้ที่เป็นผู้นำความไม่พอใจในครั้งนี้นั้น เป็นคนที่เคยถูกกล่าวหาว่าขโมยของของหลินหัวเยว่มาก่อน ซึ่งเจ้าของร่างเดิมได้โบ้ยความผิดนั้นให้แก่นาง จึงทำให้นางต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ดีหลินซีเหยียนก็ยังเป็นเจ้านายของนางอยู่ดี นางจึงได้ยกโทษให้หลินซีเหยียน
เมื่อเห็นว่าแม่นมจ้าวยกโทษให้แล้ว คนอื่นๆเองก็ได้ยอมใจอ่อนตาม หลินซีเหยียนรู้ดีว่าพวกเขาเองยังไม่เชื่อใจนางเท่าไร แต่หลินซีเหยียนก็ได้ไม่คิดที่จะบังคับใคร
“ข้ามีอะไรบางอย่างจะถามพวกเจ้าทุกคนพรุ่งนี้ ตอนนี้ทุกคนไปพักได้แล้วล่ะ” หลินซีเหยียนก็ได้ให้พวกเขาได้ไปพักผ่อนหลังจากที่กล่าวจบ
จนกระทั่งสามวันผ่านไปหลังจากวันงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ ในสามวันมานี้หลินซีเหยียนนั้นได้เป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากในเมืองหลวง ผู้คนต่างก็พูดถึงนางกันเกือบทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นนางจึงทำได้แต่หลบซ่อนอยู่ในตำหนัก เชียนหยาน
ชีวิตในช่วงนี้น่าเบื่อมาก ในวันนี้นางก็กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้และนั่งจิบชาอย่างเช่นทุกวัน แต่แล้วนางก็พบนกเขียวที่มีแต้มจุดสีขาวที่หัวของมันเข้า
นางจึงได้รีบลุกขึ้นยืน ซึ่งนกตัวนี้เป็นนกส่งจดหมายมาจากคนสนิทของนาง นางจึงออกไปรอให้นกบินลงมาและหยิบเอาม้วนกระดาษขึ้นมาอ่าน: “แย่แล้วหมอผี รีบมาพบด่วน”