บทที่ 26
โรคที่ยากจะรักษา
“ในที่สุดก็มีงานให้ทำเสียที” หลินซีเหยียนลุกขึ้นยืน และแต่งตัวเป็นผู้ชายจากนั้นก็มองหาเทียนเอ๋อ แต่ทว่ากลับไม่เจอเจ้าลูกชิ้นน้อยที่ไหนเลย
ไม่น่าแปลกใจ ต่อให้เป็นนางก็ยังรู้สึกเบื่อถ้าต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน หลินซีเหยียนจึงได้เลิกคิดที่จะออกตามหาเทียนเอ๋อที่แอบหนีออกไปแล้ว เมื่อนางเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ออกไปข้างนอกตามลำพัง
นางออกไปยังโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อแห่งหนึ่ง ทันทีที่นางเข้ามานางก็ได้โชว์กำไลที่ข้อมือของนางให้ดู แล้วจากนั้นก็มีเด็กน้อยเดินมาหานางแล้วพานางไปยังห้องชั้นบนที่ดูหรูหรา
ทันทีที่หลินซีเหยียนเข้ามาในห้องนั้น นางก็ได้ถูกกอดโดยคนในชุดสีแดง ซึ่งกลิ่นของแป้งก็ได้ตลบอบอวลรอบจมูกของนาง ซึ่งทำให้นางพยายามขัดขืน
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหนรู้ไหม เจ้าเล่นขาดการติดต่อไปนานมากเลย” คนคนนั้นกอดหลินซีเหยียนแบบไม่ยอมปล่อย
“หลงเยว่ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าน่ะเป็นถึงรองเจ้าสำนักพิษของเรา หัดรักษาภาพพจน์ตัวเองหน่อย” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
หลงเยว่ที่ได้ยินก็เบ้ปากแล้วบ่นออกมา “แล้ว เสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่คิดถึงข้าบ้างเหรอ?”
“ตัวตนของผู้ป่วยและอาการ” หลินซีเหยียนก็พูดด้วยทีท่าราวกับนักธุรกิจ
“เป็นชายคนที่ทั้งตัวตนและชื่อยังไม่ทราบ แต่ติดพิษร้ายแรงมาก”
คำตอบของหลงเยว่ทำเอาหลินซีเหยียนถึงกับเม้มปากแล้วกล่าว “ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้มั่นใจนะว่าจะไม่ถูกหลอกน่ะ?”
“ก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่พวกเขายอมจ่ายเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นค่ารักษา” หลงเยว่กล่าว
แน่นอนว่าเมื่อหลินซีเหยียนได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับหูผึ่งทันที “เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นพวกต้มตุ๋นหรือไม่ แต่ข้าจะรับงานนี้เอง”
มองไปที่สีหน้าของผู้ที่ชื่นชอบเงินอย่างหลินซีเหยียนแล้ว หลงเยว่ก็ได้ยิ้มออกมา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้แลกเปลี่ยนข่าวสารกัน แล้วหลินซีเหยียนก็ได้กลับออกมา หลังจากที่ออกมาได้ไม่นาน นางก็พบกับคนที่นางไม่อยากพบหน้ามากที่สุดในเวลานี้
“คนงาม พวกเราพบกันอีกแล้วนะ” หลังจากที่เก็บตัวถึงสามวัน นางก็เจอกับซางกวนจิ่นอีกจนได้
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพนั้น หลินซีเหยียนไม่อยากจะเชื่อว่าซางกวนจิ่นนั้นจะหลงรักนางหัวปักหัวปำขนาดนี้
ซางกวนจิ่นก็ได้พูดมากมาย แล้วพอพบว่าหลินซีเหยียนนั้นไม่ได้สนใจเขาเลย เขาก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าเมินข้าทำไมกัน?”
มองไปที่ซางกวนจิ่นที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ หลินซีเหยียนก็ได้กระแอม “คุณชายซางกวน ได้โปรดสำรวมตัวเองด้วย”
เหมือนว่าคำพูดหมางเมินของนางนั้นไม่ได้ทำให้ความกุลีกุจอของซางกวนจิ่นลดลงเลย จนกระทั่งมีใครบางคนโผล่ขึ้นมาขัด
“คุณชายซางกวนนี่เอง ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้” ผู้พูดนั้นถือร่มกระดาษในมือของนาง จึงทำให้หลินซีเหยียนมองหน้าผู้พูดได้ไม่ชัดนัก แต่รู้ว่าจะต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ
ซางกวนจิ่นที่ได้ยินก็ได้ตอบกลับอย่างคุ้นเคย “แม่นางฉินหลงมาทำอะไรที่นี่?”
เสียงของฉินหลงนั้นงดงามมาก ราวกับเป็นน้ำแร่ที่อยู่กระแสน้ำลึก ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกผ่อนคลาย “บังเอิญว่ากระดาษหิมะของที่หอหมด ข้าจึงได้ออกมาหาซื้อน่ะเจ้าคะ”
กระดาษหิมะนั้นคือกระดาษเซวียนจื่อที่ดีที่สุด มันมีชื่อเสียงมากเพราะความขาวราวกับหิมะที่ไร้ริ้วรอยของมัน ซึ่งไม่ต้องบรรยายเลยว่าราคามันจะแพงมากขนาดไหน แต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านางนี้กลับดูธรรมดามาก หรือว่านางจะเป็นลูกเศรษฐีกันนะ?
หลินซีเหยียนมองไปที่ฉินหลงพลางคิดว่านางควรจะสนิทกับคนรวยเช่นนี้ดีไหม……
ฉินหลงที่รู้สึกได้ถึงสายตาของหลินซีเหยียนที่จ้องมาที่นาง นางจึงได้หันมาจ้องหน้ากับหลินซีเหยียน “ซางกวนจิ่น ไม่ทราบว่าท่านนี้คือใคร?”
“ให้ข้าได้แนะนำนะ แม่นางผู้นี้คือหลินซีเหยียนบุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีน่ะ” ซางกวนจิ่นสะบัดพัดในมือของเขาเบาๆแล้วสายตาก็จับจ้องไปที่หลินซีเหยียน
พอฉินหลงได้ยินสายตาของนางก็เต็มไปด้วยความสนใจ อย่างไรเสียบุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีนั้นกำลังเป็นที่พูดถึงในเมืองหลวงขณะนี้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่นาง หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด กลับกันนางก็ได้เปิดริมฝีปากแดงของนาง “แม่นางฉินหลง จะไม่แนะนำตัวท่านเองหน่อยเหรอ?
ฉินหลงจึงได้เม้มปากของนาง จากนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างน่าหลงใหล “ไม่ทราบว่าแม่นางหลินรู้จักหอเหวินชิวหรือไม่?”
หลินซีเหยียนผงกหัว “ข้าทราบมาว่าหญิงสาวของที่นั่นล้วนแต่มีความสามารถ และพวกนางก็ขายแต่งานศิลปะแต่ไม่ได้ขายบริการใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น” ฉินหลงได้ตอบอย่างภูมิใจ โดยไม่ได้มีความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวตนของนางเลย
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วอย่างซาบซึ้ง นางนั้นชอบหญิงสาวเช่นนี้มาก แต่นางก็นึกขึ้นได้ว่านางนั้นยังมีอย่างอื่นต้องไปทำ “แม่นางฉินหลงข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปสะสาง เอาไว้ข้าจะไปหาท่านสักวันหนึ่ง”
ซางกวนจิ่นนั้นอยากที่จะอยู่กับหลินซีเหยียนต่อแต่เขาก็ไม่ไป ซางกวนจิ่นนั้นคือผู้ที่ชื่นชมดอกไม้งามอยู่ตลอดเวลา และรู้ดีว่านางอาจจะเบื่อเขาได้หากเขากดดันนางมากเกินไป เขาจึงคิดพอแค่นี้
แล้วสายตาของฉินหลงก็ปรากฏความสงสัยขึ้นมาเมื่อนางเห็นภาพเช่นนี้ “คุณชายซางกวนก็ลังเลเป็นด้วยหรือ?”
ด้วยรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติบวกกับตาหงส์ไฟและไฝใต้ตา ให้ความรู้สึกน่าหลงใหลราวกับปีศาจไม่ว่าจะมองไปทางไหน แต่ในเวลานี้เขากลับลังเล “ฉินหลง เจ้าเชื่อเรื่องรักแรกพบบ้างไหม?”
ชายผู้นี้ที่ปกติจะยิ้มและมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายเสมอ แต่ในเวลานี้มันได้หายไปแล้ว ซึ่งทำให้ฉินหลงสงสัยว่าเขาเป็นอะไรไป แต่เป็นเพราะรักแรกพบเช่นนั้นเหรอ?
ฉินหลงก็ได้ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มของนางนั้นงดงามมากทำให้ผู้คนรอบตัวนางต่างก็หยุดมองดู “ไม่รู้คุณชายจะเชื่อข้าหรือไม่? แต่ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องเช่นนั้น”
“จริงสิวันนี้ข้าไม่มีอะไรทำ ดังนั้นข้าจะไปซื้อกระดาษเป็นเพื่อนแม่นางฉินก็แล้วกัน” แล้วซางกวนจิ่นก็ได้ลบใบหน้าที่หดหู่ของเขาไป กลับกลายเป็นสดใสร่าเริงแบบแต่ก่อน
ส่วนหลินซีเหยียนที่แยกทางกับพวกเขาไปนั้น ก็ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดผู้ชายและเปลี่ยนรูปโฉมของนาง แล้วยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่
บรรยากาศของโรงเตี๊ยมแห่งนี้แปลกประหลาดมาก ไม่มีลูกค้าอยู่เลยทั้งๆที่เป็นร้านใหญ่ขนาดนี้ หรือว่ามันจะถูกซื้อไปโดยใครบางคนเพราะว่านางจะมาที่นี่กันนะ?
“เอาเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงินจริงๆ” หลินซีเหยียนถอนหายใจและเดินเข้าไปข้างใน
ทันทีที่หลินซีเหยียนเข้ามาข้างใน ประตูโรงเตี๊ยมก็ปิดสนิท เสียงปิดประตูที่ดังลั่นทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ทราบว่าท่านคือหมอผีที่มีชื่อเสียงใช่หรือไม่?” มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เมื่อหลินซีเหยียนเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับใบหน้านิ่งๆของอันอี้
หรือว่าผู้จ้างวานในครั้งนี้จะคือองค์ชายเย่? มันทำให้นางรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เจียงหวายเย่นั้นบอกอย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อมือนาง แต่ไม่คิดว่าเขากลับแอบไปมองหาการรักษาจากที่อื่นอีกเช่นนี้
“ท่านขอรับ?” เมื่อเห็นว่าไม่ตอบกลับมา เขาก็ได้ถามย้ำ
หลินซีเหยียนที่รู้สึกตัวก็ได้ดุตัวเองที่เกือบทำงานพลาดเสียแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ถูกจับได้หลินซีเหยียนก็ได้ทำเสียงของตัวเองให้ดูทุ้มๆ เสียงของนางนั้นแหบห้าวราวกับคนใกล้ตาย “ข้าเองแหละ แล้วผู้ป่วยอยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงของหลินซีเหยียนนั้นแย่มาก แต่อันอี้ก็ไม่ได้สนใจ อย่างไรเสียคนที่มากความสามารถนั้นมักจะชอบมีพฤติกรรมแปลกๆอยู่แล้ว
“ได้โปรดตามข้าน้อยมา” แล้วอันอี้ก็ได้เดินนำทางไป ส่วนหลินซีเหยียนก็ได้เดินตามเขาไปอย่างเชื่อฟัง
แล้วอันอี้ก็ได้เปิดประตูบานหนึ่งให้หลินซีเหยียนได้เข้าไปข้างใน แล้วจากนั้นก็เห็นอย่างชัดเจนว่ามีชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่รถเข็นพร้อมกับหน้ากากหยกขาวบนใบหน้าของเขา “เขาคือผู้ป่วยสินะ?”
โดยไม่รอให้คนอื่นได้ตอบ หลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้าไปหาเจียงหวายเย่อย่างโกรธๆ และคิดว่าน่าจะทำให้เขาเจ็บสักหน่อยจากการรักษานี้
“หยุดก่อน” ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังเดินเข้าไปใกล้องค์ชายเย่ ก็ได้มีเสียงที่เคร่งขรึมดังเข้าหูของนาง
หลินซีเหยียนจึงได้ตอบกลับด้วยความโมโห “ถ้าท่านไม่ให้หมอเข้าใกล้ตัวท่าน แล้วจะรักษาท่านได้อย่างไร”