บทที่ 45
คมมีดที่แหลมคม
แม่ทัพเฒ่าก็ได้พูดขึ้นมา “ถ้าแม่ทัพใหญ่อย่างข้าไม่สามารถรักษาครอบครัวเล็กๆของข้าเอาไว้ได้ จะไปปกป้องใครได้ ข้าจะดูว่าใครกันที่จะกล้ามาทำร้ายตระกูลเยี่ยของข้า”
คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยพลังนี้ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ควบคุมทหารนับพันกำลังฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งอย่างแหลมคม
ทันทีที่เยี่ยจุนเจี๋ยกลับมา เขาก็ได้ยินคำพูดที่บ่งบอกถึงการทรยศ หากองค์ฮ่องเต้ไม่ใจกว้างเช่นนี้ พวกเขาก็มีแต่จะต้องตอบโต้หากว่าพวกเขาถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่เข้าตาจน
“เหตุการณ์ยังไม่ถึงจุดนั้น ท่านผู้อาวุโสยังไม่ต้องรีบร้อนเช่นนี้ก็ได้” หลินซีเหยียนมองไปที่ทั้งสองคนที่เหมือนกำลังจะเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จึงได้พูดอย่างอ่อนโยนเพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายลง
“การวางแผนควรทำเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อสร้างมาตรการรับมือ พวกเราถึงจะมีชัย” แม่ทัพเฒ่ากล่าวอย่างหนักแน่น
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มองไปที่ปู่ของเขาแล้วกระซิบกระซาบ “ท่านปู่ขอรับ หลานคิดว่าพวกเราน่าจะย้ายไปเข้ากับองค์ชายเย่นะขอรับ”
เมื่อพูดถึงเจียงหวายเย่ขึ้นมา แม่ทัพเฒ่าก็มีท่าทางแก่ขึ้นมาทันที “องค์ชายเย่มิเพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะไร้พ่ายแล้ว แต่ยังมีชะตากรรมที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่น่าเสียดายที่เขาต้องได้รับบาดเจ็บเพราะคนทรยศและต้องพิการไป นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ช่างเศร้าใจยิ่งนัก”
หลินซีเหยียนกะพริบตาของนาง นางไม่คิดว่าท่านตาของนางนั้นจะประเมินค่าเจียงหวายเย่ไว้สูงเช่นนี้ แล้วนางก็สงสัยขึ้นมาว่าเขาคิดอย่างไรกับตัวนางบ้างจึงได้ถามออกไป “ถ้าข้าจำไม่ผิด หลานสาวของท่านได้เป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายเย่”
หลังจากที่หลินซีเหยียนได้พูดเตือนเขา แม่ทัพเฒ่าก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังมีหลานสาวอยู่หนึ่ง เขาจึงได้ถอนหายใจแล้วกล่าว “ลูกสาวตัวน้อยของข้านั้นจู่ๆก็มาจากไป หัวใจของข้านั้นแทบจะแหลกสลาย จนข้าลืมเรื่องของซีเหยียนไปพักหนึ่ง แต่พอข้าจำได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ในเวลานี้ซีเหยียนถูกสั่งสอนโดยคนของมหาเสนาบดีให้กลายเป็นคนขี้ขลาดไปเสียแล้ว และปฏิเสธที่จะติดต่อกับตระกูลเยี่ยของพวกเราด้วย”
“แต่ข้าได้ยินมาว่านางนั้นมีชีวิตลำเค็ญ อีกทั้งยังไม่มีทั้งอาหารและเสื้อผ้า” หลินซีเหยียนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงและอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง
แม่ทัพเฒ่าก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่สงสัย “เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ส่งคนไปที่จวนมหาเสนาบดีเพื่อคอยตรวจดูอยู่ตลอด”
หลินซีเหยียนก็ได้เข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของร่างเดิมเคยมีชีวิตที่สุขสบายอยู่พักหนึ่ง แต่นางก็ยังรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของแม่ทัพเฒ่านัก
“ท่านแม่ทัพ แล้วตอนที่หลานสาวของท่านที่หายตัวไปกลับมา ทำไมท่านถึงไม่นึกเป็นห่วงเป็นใยบ้าง?”
หลินซีเหยียนควบคุมตัวเองไม่ได้ นางนั้นได้ต่อว่าจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อว่าทำไมถึงไม่สนใจใยดีหลินซีเหยียนบ้าง
“อวิ๋นเซวียน ท่านปู่ของข้าเองก็เป็นห่วงเด็กคนนั้นมากกว่าที่เจ้าคิดนัก และเขานั้นอยากที่จะเลี้ยงนางด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่มหาเสนาบดีหลินกลับปฏิเสธ และบอกว่าเด็กคนนั้นใช้ชื่อแซ่หลินไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมายุ่ง” เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมคำถามของหลินอวิ๋นเซวียนนั้นเกรี้ยวกราดนักแต่ก็ต้องเข้าไปขัดอย่างช่วยไม่ได้
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจากนั้นก็กล่าวขอโทษที่เสียมารยาท
แม่ทัพเฒ่าก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างพิจารณาแล้วถาม “ทำไมเจ้าถึงได้ใส่ใจเรื่องของซีเหยียนนัก หรือว่าเจ้า….”
“ข้าเคยพบกับหลินซีเหยียนโดยบังเอิญ แต่ข้าก็รู้สึกสงสารนางนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางถูกรังแก แต่นางยังถูกกีดกันและช่วงชิงเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของนางไปจนหมด แล้วยังต้องตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน และยังถูกไล่ล่าต้องหนีตาย จนสุดท้ายนางต้องหนีออกจากบ้านเกิดตามลำพัง”
แม่ทัพเฒ่าดูเหมือนว่าจะยังไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ทำกับเด็กคนหนึ่งได้ถึงขนาดนั้นแล้วกล่าว “เจ้าหนู หากข้าพบว่าที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริง ข้าจะไม่ปล่อยให้ซีเหยียนตกอยู่ในครอบครองของบ้านมหาเสนาบดีแน่”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “อวิ๋นเซวียนมีธุระอื่นต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อน”
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้เดินออกมาตามถนนที่พลุกพล่าน แต่พวกสิ่งที่นางเพิ่งทำไปเมื่อสักครู่ ทำให้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ระหว่างทางกลับนางจึงเลือกเดินเส้นทางที่เปลี่ยว แต่แล้วนางก็เจอโจรจนได้
“ข้าเดินไปตามถนนเส้นนี้ ข้าปลูกต้นไม้ต้นนี้….”
บทกลอนด้นสดนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนางก็ได้โปรยผงยาเต็มมือไปข้างหน้า ทำให้พวกโจรต้องลงไปนอนกองกับพื้นเย็นๆ
แต่น่าเสียดายที่สวรรค์นั้นไม่สวยงามเสมอไป ต้นไม้ที่เงียบกริบแต่กลับมีลมพาดผ่านเข้ามา ในสถานที่ที่เปลี่ยวไร้ผู้คนก่อนหน้านี้ กลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่แต่ละกองกำลังก็ได้เปิดเผยลูกสมุนของตัวเองออกมา
เจ้าคือหมอผีอย่างนั้นเหรอ?” คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ
หลินซีเหยียนนั้นไม่อยากที่จะเสวนาด้วยและเดินไปตามทางของนางต่อ
ดูท่าทางที่เหมือนอารมณ์ไม่ดีและเย่อหยิ่งเช่นนี้ ข้าว่าใช่แน่ๆ” ผู้นำที่ดูแปลกๆคนหนึ่งก็ได้ยืนยันตัวตนของหลินซีเหยียนโดยอาศัยจุดเด่นเพียงสองจุดเท่านั้น
หลินซีเหยียนก็นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง
“พี่น้อง ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยพิษ พวกเราจะต้องระวังให้มาก” อีกคนหนึ่งก็ได้พูดเตือนขึ้นมา
หลินซีเหยียนมองดูผู้คนจำนวนมากอีกทั้งยังมีผู้นำอีกหลายคน นางจึงได้คิดหาวิธีต่อต้านและพูดออกมาเสียงดัง “ข้าเอาชนะพวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้ พวกเจ้าตัดสินใจกันเองก็แล้วกันว่าจะให้ข้าไปกับใคร”
“แน่นอนว่าจะต้องไปกับพวกเรากลุ่มหลานอวี่” ชายหนุ่มคนหนึ่งถือพัดในมือของเขา เป็นชายหนุ่มผู้สง่างามใส่ชุดสีฟ้าพูดขึ้น
กลุ่มหลานอวี่นั่นมันอะไรกัน ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ชายคนที่ดูเหยาะแหยะและไม่เข้าที่เข้าทาง ซึ่งเมื่อมองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็บ่งบอกได้ว่าเป็นอันธพาลพูดขึ้นมา
แล้วชายในชุดดำและผอมบางก็ได้กล่าวโดยไม่แสดงความอ่อนแอของตัวเองให้เห็น “ใครที่มาแย่งเขาไปจากข้า ตาย!”
หลินซีเหยียนรู้สึกสนใจคนคนนี้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่การแต่งกายรัดกุมแล้วยังพูดจารัดกุมอีกด้วย
หลินซีเหยียนจึงได้นั่งลงและมองดูทั้งสามกลุ่มทะเลาะกัน จนสุดท้ายไม่มีใครยอมใครพวกเขาก็ได้ทะเลาะกันเอง ในตอนแรกกลุ่มสีฟ้าเหมือนจะเหนือกว่าแต่ก็ถูกกลุ่มอันธพาลจัดการอย่างรวดเร็ว แต่ในท้ายที่สุดกลุ่มชายชุดดำเป็นฝ่ายชนะ
กลุ่มชายชุดดำนั้นเอาชนะอีกสองกลุ่มมาได้อย่างท่วมท้น แต่ก็มีสีสันจากรอยช้ำหลากหลายบนใบหน้าของเขา แล้วเขาก็ได้เดินมาหาหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “หมอผีตามข้ามา”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วปัดฝุ่นตามตัวของนางด้วยความสงบ
ภายในมุมมืดมีคนสองคนที่รู้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ด้วย พวกเขาคือหน่วยอันที่ถูกส่งมาโดยเจียงหวายเย่ให้มาคุ้มกัน หลินซีเหยียน
“จี๋เฟิง เจ้าไปรายงานองค์ชาย ส่วนข้าจะคอยตามพระชายาต่อไป” ชิงอวี่กล่าวด้วยเสียงเบาๆ
จี๋เฟิงผงกหัวอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นกังวล แต่เขาก็ยังไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง
หลินซีเหยียนก็ได้ตามชายชุดดำไปยังกระท่อมเก่าๆหลังหนึ่ง ซึ่งมีเสียงไอดังขึ้นมาจากในนั้น
“รักษาคนที่อยู่ข้างใน” ชายชุดทำพูดอย่างห้วนๆแต่ก็พอเข้าใจได้
หลินซีเหยียนก็ผงกหัวแล้วเข้าไปข้างในกระท่อม พบว่าคนที่ไออย่างอ่อนแรงนั้นคือป้าเฉินผู้ที่เคยช่วยเหลือนางตอนเด็กนั่นเอง นางจำได้ว่าป้าเฉินนั้นเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ถูกส่งมาโดยมหาเสนาบดีหลินให้คอยดูแลลูกนอกสมรสของเขา
หรือว่าชายชุดดำคนนั้นจะคือเด็กน้อยที่ถูกทิ้งและโดนรังแกเช่นเดียวกับนาง
ถึงแม้ว่าคำถามนี้จะสำคัญมากสำหรับนาง แต่ชีวิตของผู้ที่อยู่ตรงหน้านางนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน นางจึงได้หยิบเอาเข็มเงินที่นางพกติดตัวออกมาแล้วพยายามอย่างมากเพื่อทำการคลายเส้นลมปราณที่ติดขัดอยู่ของป้าเฉิน
อาการป่วยของป้าเฉินนั้นน่าจะสะสมมาอย่างยาวนานแล้ว ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ในชั่วข้ามคืนแน่ หลังจากที่หลินซีเหยียนทำให้อาการของนางทรงตัว นางก็ได้มองหาพู่กันกับกระดาษเพื่อเขียนใบสั่งยา แต่น่าเสียดายที่นางหาไม่พบเลย
“ข้าต้องสั่งยามาให้ป้าเฉินกิน แต่ที่นี่ไม่มีทั้งพู่กัน กระดาษ แล้วข้าจะเขียนใบสั่งยาได้อย่างไร?”
ชายชุดดำก็มองหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วจากนั้นก็กล่าว “บอกมา ข้าจำได้”
หลินซีเหยียนก็ไม่ลังเลและบอกชื่อตัวยาที่จำนวนมากเหมือนกับเม็ดถั่ว รวมถึงสมุนไพรล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่บอกจนครบแล้ว ชายชุดดำก็ยังไม่ขยับไปไหน หลินซีเหยียนจึงได้มองไปที่เขาอย่างสงสัย “ทำไมถึงยังไม่ไปอีก?”
ชายชุดดำก็ทำสีหน้าแปลกๆ แต่มองออกได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นกำลังสับสนและไม่สู้ดีนัก “ข้าไม่มีเงิน”