บทที่ 63
เจ้าจะต้องไม่ตาย
หลินซีเหยียนก็ได้ตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ตั้งสติแล้วหยิบเอาเข็มเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วปักเข้าไปที่ตัวของ เยี่ยนกุยอวี่อย่างเร่งรีบ
มองดูใบหน้าของเขาที่ซีดเผือด หลินซีเหยียนก็ได้เคลื่อนไหวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเยี่ยนกุยอวี่ก็หยุดกระอักเลือด
หลินซีเหยียนจึงได้ตรวจวัดชีพจรเขาอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “โชคยังดีที่ยังทันการ ไม่อย่างนั้นเขาคงตายสักสามรอบได้แล้ว”
คำพูดที่ว่า “หนึ่งศพสามชีวิตนั้น” หลินซีเหยียนไม่อยากจะพูดสักเท่าไรนัก ถ้าหากเยี่ยนกุยอวี่ตายฮ่องเต้คงไม่ปล่อยนางไป และจะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดที่ทำให้องค์ชายต้องตายมาที่นางที่เป็นหมอผีแน่
และหากนางตายไป เจียงหวายเย่ก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานเช่นกัน อย่างไรเสียสวรรค์ยังคงเข้าข้างนางอยู่ ไม่สักพักเยี่ยนกุยอวี่ก็จะฟื้นขึ้นมา แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น อาการของเขานั้นจำเป็นต้องใช้การรักษาในระยะยาว
เมื่อหลินซีเหยียนดื่มชาในแก้วเสร็จ เยี่ยนกุยอวี่ก็ฟื้นขึ้นมา หลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากแล้วก็เปิดประตูออกไปแล้วกล่าว “คนที่อยู่ข้างในฟื้นแล้ว”
“จริงรึ?!”
คนที่ยินดีที่สุดที่นั่งอยู่ที่นี่ก็คือฮ่องเต้เจียง เมื่อเขาเข้ามาในห้องก็พบว่าเยี่ยนกุยอวี่นั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกชื่นชมหมอผีมากยิ่งขึ้น แล้วก็มีความคิดในสิ่งที่เขาไม่ควรคิดขึ้นมา เช่นว่าเขาคิดที่จะเก็บหมอผีเอาไว้ใช้งานในพระราชวังหลวง
“ข้าชื่นชมความสามารถของท่านหมอผีจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านหมอผีคิดที่จะอยู่ในพระราชวังแล้วทำงานให้ข้าบ้างไหม?” รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้นั้นแสดงถึงความจริงใจและท่าทีที่อบอุ่นมาก
หมอเทวดาที่ถูกทิ้งอย่างเย็นชา ก็ได้เดินออกมาและตรวจอาการขององค์ชายเยี่ยนอย่างตั้งใจ ซึ่งผลที่ออกมานั้นทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ องค์ชายเยี่ยนนั้นอาการดีขึ้นจริงๆ เขาก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างแปลกๆด้วยสายตาที่คลุมเครือ นี่หรือคือช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคน
ในขณะที่หมอเทวดาเฉินยังไม่รู้สึกยอมรับได้ หลินซีเหยียนก็หาเหตุผลมาปฏิเสธฮ่องเต้เจียง แต่ก็สัญญากับฮ่องเต้เจียงว่าแล้วเขาจะกลับมาช่วยอีกถ้าหากเขาต้องการความช่วยเหลือในอนาคต
มีสายตาที่ไม่พอใจปรากฏอยู่ในดวงตาของฮ่องเต้เจียง แต่เขาก็รู้สึกได้จากคำพูดของหมอผีว่าอย่างน้อยก็ยังไว้หน้าเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้มองหาข้ารับใช้ที่อยู่รอบๆตัวเขาและพูดเบาๆ “รีบไปเอาดอกหงส์ไฟมาให้ข้าเร็ว ข้าจะมอบมันให้กับหมอผีด้วยตัวของข้าเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้แอบเผยรอยยิ้มอย่างประชดประชัน นางจะไม่ลืมสายตาที่เกรี้ยวกราดนี้ของฮ่องเต้แน่ นางรู้ดีว่าตัวนางนั้นได้ล่วงเกินบารมีของฮ่องเต้เจียงไปแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้เจียงจึงน่าจะอยากฆ่านาง แต่เพราะความสามารถในการรักษาของนางแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถฆ่านางได้
ที่ว่ากันว่าพวกเชื้อพระวงศ์นี้นั้นเป็นคนที่เกรี้ยวกราดมากนั้นเหมือนจะมีเค้าอยู่ และถ้าบอกว่าราชาก็เหมือนเสือนั้นก็ยิ่งจริงมากขึ้นไปอีก
หลินซีเหยียนก็รับดอกหงส์ไฟมา ซึ่งหลังจากที่นางออกมาจากพระราชวังหลวงแล้ว นางก็คิดว่าอาจจะมีคนสะกดรอยตามนางมาแน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาของนางก็ดี หรือว่าจะเป็นเรื่องของตัวตนหมอผีของนางก็ดี นางเกรงว่าเรื่องเช่นนี้มันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
เพราะหลินซีเหยียนนั้นได้คิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว หลังจากที่ออกมาจากพระราชวังแล้ว นางก็ได้แวะร้านดอกไม้ จากนั้นนางก็ได้เปลี่ยนรูปโฉมและเสื้อผ้า แล้วก็มีหญิงสาวที่ราวกับนางฟ้าออกมา
“ไปกันเถอะจี๋เฟิง” ด้วยเหตุนี้ พร้อมด้วยจี๋เฟิงและชิงอวี่ พวกนางก็ได้ออกมาเดินกลางแจ้ง
ภาพเช่นนี้เมื่อเห็นโดยบุคคลภายนอกแล้ว ก็คิดว่าเป็นทายาทเศรษฐีรูปงามที่ไหนสักแห่ง ที่พาสาวงามมาด้วยสองคนร่วมเดินทางไปกับเขา
กลับมายังพระราชวังรัตติกาล หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาดอกหงส์ไฟออกมาและสมุนไพรอื่นๆที่ได้เตรียมเอาไว้และเริ่มทำยาขับพิษให้เขาทาน และเพราะว่ามีดอกหงส์ไฟอยู่เพียงดอกเดียว หลินซีเหยียนจึงได้ปรุงยาอย่างตั้งใจสุดๆ
นางหวังว่าด้วยยาชามนี้จะให้ผลที่ดีที่สุดออกมา
หลังจากที่ยาปรุงเสร็จแล้ว นางก็ได้นำไปป้อนให้ เจียงหวายเย่ทาน แล้วจากนั้นนางก็ได้สลบไสลอยู่บนเตียง
เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็พบว่านางนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงของเจียงหวายเย่ แต่เจียงหวายเย่ไม่อยู่แล้ว หลินซีเหยียนจึงได้ลุกขึ้นมานั่งแล้วพบว่าเสื้อผ้าชั้นนอกของนางได้ถูกถอดออก นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้มและคิดว่าจะต้องเป็นฝีมือของสาวใช้
นางจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วแต่งตัว ซึ่งในขณะที่นางกำลังแต่งตัวอยู่นั้น ประตูก็ได้ถูกเปิดออก
และพบเจียงหวายเย่ที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาแล้วจากนั้นก็พูดอย่างประหลาดใจ “ขาของท่านหายดีแล้วเหรอ?”
“ไม่หรอก แค่ยืนได้เป็นระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น” เจียงหวายเย่กล่าว แล้วจากนั้นก็พูดเตือนนาง “เหยียนเอ๋อก็ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกมาที่ห้องโถงเพื่อทานอาหารร่วมกันกับเปิ่นหวางและเทียนเอ๋อนะ”
หลินซีเหยียนจึงได้ผงกหัวแล้วมีสีหน้าเขินอายขึ้น “ท่านก็ออกไปได้แล้ว!”
ปากของเจียงหวายเย่เผยรอยยิ้มออกมา เขาก็ได้ออกจากห้องและช่วยหลินซีเหยียนปิดประตูให้สนิท แต่ไม่คิดว่า หลินซีเหยียนจะแต่งตัวเสร็จและออกมาพบกับเขาแทบจะทันทีที่เขาออกมา
“แล้วท่านออกมาเดินกลางแจ้งแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีคนอื่นมาเห็นว่าท่านหายป่วยบ้างเหรอ?” หลินซีเหยียนถามอย่างสงสัย
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียน เสียงของเขายังเย็นชาเช่นเคย “ที่นี่คือตำหนักของเปิ่นหวางซึ่งคนที่นี่ก็มีแต่คนของข้าเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว แล้วจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านางจะต้องไปหาองค์ชายเยี่ยนอีกเพื่อให้ยารักษาอาการป่วยเก่าของเขา
เมื่อนางมาถึงที่ห้องโถง หลินซีเหยียนก็พบกับเทียนเอ๋อที่กำลังรอนางอยู่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปนั่งข้างๆเขาแล้วกล่าว “เทียนเอ๋อ โรงเตี๊ยมซื่อฟางของเจ้ายังขาดคนอยู่ไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ขอรับ ข้าว่าท่านกลับไปดูแลโรงหมอหุยชุนเถอะขอรับ เสี่ยวเอ้อไม่เหมาะกับท่านแม่หรอกขอรับ”
ถึงหลินซีเหยียนจะไม่ได้ตั้งใจคิดที่จะเป็นเสี่ยวเอ้อ แต่นางก็ยังอยากที่จะรู้ว่าทำไมนางถึงได้ถูกดูถูกโดยเทียนเอ๋อแล้วถามออกไปอย่างไม่พอใจ “ทำไมกัน?”
“ก็ถ้าท่านแม่ไปที่นั่น ก็จะมีผู้คนมากมายร่วงลงไปอยู่ภายใต้กระโปรงของท่านแม่หมดแน่ๆ แล้วข้าจะทำการค้าได้อย่างไร?” เทียนเอ๋อพูดแก้ต่างอย่างมีหลักการและเหตุผล
แล้วมื้ออาหารนี้ก็ได้ผ่านไปเช่นนั้น และเพราะว่าอาการของเจียงหวายเย่นั้นดีขึ้นแล้ว เทียนเอ๋อจึงได้เริ่มฝึกวิชาทุกวัน ซึ่งเจียงหวายเย่ก็ได้ชื่นชมเทียนเอ๋อทุกครั้งที่เขากลับมาจากสนามฝึกซ้อม แม้แต่หลินซีเหยียนก็ยังชื่นชมเขา
หลินซีเหยียนจึงได้ไปมอบยาให้กับเยี่ยนกุยอวี่ แต่เยี่ยนกุยอวี่นั้นมีสีหน้าที่เศร้ามาก ราวกับว่าเขานั้นไม่สนใจอาการป่วยเรื้อรังของเขาเลย ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกไปค่อยพอใจ
แล้วแต่ละวันก็ได้ผ่านไป หลินซีเหยียนก็ได้ตัดสินใจพาเทียนเอ๋อกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี นางนั้นยังไม่ลืมเป้าหมายหลักของนางในการกลับมาครั้งนี้
หลังจากที่มหาเสนาบดีหลินนั้นพบว่าหลินซีเหยียนลูกทรพีได้กลับมาแล้ว สีหน้าของเขาก็ได้แย่ขึ้นมาทันที ซึ่งฮูหยินอวี้ที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้จัดเสื้อผ้าของเขาแล้วกระซิบ: “ข้าคิดว่าการที่หลินซีเหยียนกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีก็เป็นเรื่องดี ไม่ช้าหรือเร็ว นางก็จะนำพาสิ่งของและชื่อเสียงกลับมาให้นะ”
เมื่อมหาเสนาบดีหลินได้ยินสีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมา
แต่ทว่า ณ ศาลาเล็กๆหลังหนึ่งในจวนมหาเสนาบดีนั้นก็ได้มีสามคนที่ไม่เห็นด้วยกำลังสุมหัวกันอยู่ได้แก่ ผู้ที่เสียตำแหน่งไปหลินหัวเยว่, คุณหนูสามหลินเสวี่ยเหยียน, และนายน้อยสี่ หลินเฉิงอวี้
ซึ่งใบหน้าที่จริงจังของพวกเขานั้นได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นกำลังปรึกษาเรื่องที่สำคัญกันอยู่
หลินซีเหยียนก็ได้กลับไปที่เรือนเชียนเหยียนจากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสาวใช้ที่มาเมื่อก่อนหน้านี้ดี “จิ่งชุนเจ้าไปตามสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่เมื่อวันก่อนที”
จิ่งชุนก็ผงกหัว แล้วจากนั้นก็ไปตามสาวใช้ที่ดูบอบบางมา
หลินซีเหยียนก็นึกขึ้นได้ว่าหลินหัวเยว่นั้นได้ส่งนางมาที่นี่เพื่อหาโอกาสให้ยากับนาง แต่ตั้งแต่สาวใช้คนนั้นมาที่นี่ก็ได้ให้นางทำแต่งานหนักๆโดยไม่มีโอกาสได้ยุ่งกับอาหารเลย ซึ่งทำให้นางทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ในเวลานี้หลินซีเหยียนคิดที่จะให้โอกาสแก่นาง
“ต่อจากนี้ไปเจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบอาหารในครัวนะ” หลินซีเหยียนกล่าวขณะที่มีสมุดเล่มหนึ่งอยู่ในมือของนาง
แล้วสาวใช้ก็ได้กล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณคุณหนูที่เชื่อใจข้าน้อยเจ้าค่ะ ชวี่เอ๋อจะต้องตอบแทนคุณหนูอย่างแน่นอน”