บทที่ 67
รางวัล
ในขณะที่หลินซีเหยียนคิดที่จะทำเป็นดื้อด้านนั้น รถม้าก็ได้มาถึงตรงหน้านางอย่างช้าๆ ซึ่งคนขับรถม้าคือจี๋เฟิงที่ เจียงหวายเย่ให้นางมา
จี๋เฟิงก็ได้จอดรถม้าแล้วเดินไปหาหลินซีเหยียนและทำความเคารพ “พระชายา นี่คือรถม้าที่องค์ชายมอบให้ท่านขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้เดินมองรอบรถม้า ซึ่งพูดได้ว่าของขวัญของเจียงหวายเย่นี้ดูแอบหรูหรามาก ซึ่งใช้ไม้โรสวู๊ดดำในการทำตัวรถม้า ซึ่งหาซื้อยากมากและใช้เงินมหาศาล แล้วยังใช้ผ้าไหมแพรวาหิมะในการทำผ้าม่านรถ มองทั้งหมดแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ให้ 10 คะแนนเต็มกับรถม้าคันนี้เลย
“ข้ากำลังจะไปที่พระราชวังหลวง เจ้าช่วยพาข้าไปที จี๋เฟิง” หลินซีเหยียนก็ได้ขึ้นรถม้าไปโดยไม่สนมหาเสนาบดีหลิน แต่นางก็พบว่าเจียงหวายเย่อยู่ในรถ
มหาเสนาบดีหลินนั้นอยากที่จะต่อว่านาง แต่พอเขาคิดถึงประโยชน์ของหลินซีเหยียนแล้ว เขาก็ได้แต่กัดฟัน
รถม้าทั้งสองคันก็ได้วิ่งไปตามถนน ไม่ว่าจะทั้งรถม้าหรือม้าก็ล้วนแล้วแต่เหนือกว่าของมหาเสนาบดีอย่างเทียบไม่ติด ไม่นานนักก็ได้เดินทางมาถึงพระราชวัง พอหลินซีเหยียนลงจากรถม้า มหาเสนาบดีหลินก็ได้เดินเข้าไปหา
“พอเจ้าเข้าไปในพระราชวังแล้ว อย่าไปพูดกับใครสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วอย่าเข้าไปสร้างปัญหาล่ะ” ถ้าหากไม่สนใจในอดีตแล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ดูเหมือนคุณพ่อที่ใจดีรักลูกๆ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ตอบหรือผงกหัวใดๆ แล้วเดินเข้าไปในพระราชวังอย่างเงียบๆ มหาเสนาบดีหลินจึงได้คิดว่านางคงจะยังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่ เขาจึงได้พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ซีเหยียน ในอดีตพ่อทำผิดต่อเจ้าแล้วยังทอดทิ้งเจ้าอีก ต่อจากนี้ไปพ่อจะคอยดูแลเจ้าเพื่อเป็นการชดเชย”
พอคำพูดที่น่าซาบซึ้งนี้เข้าหูของหลินซีเหยียน ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหวั่นไหว แต่กลับทำให้รู้สึกขยะแขยงด้วยซ้ำ
หลินซีเหยียนไม่ตอบอะไร และมหาเสนาบดีหลินเองก็รู้สึกอับอายเกินไปที่จะพูดต่อ แล้วทั้งสองคนก็ได้เดินเข้าไปยังท้องพระโรงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน
มีเจ้าหน้าที่ทางการทหารมากมายอยู่ในท้องพระโรง ซึ่งในขณะนี้สายตาของพวกเขาต่างก็จับจ้องไปที่หลินซีเหยียน แต่หลินซีเหยียนก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเพราะเหตุนี้ แล้วนางก็ยืดหลังตรงเดินไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล แล้วจากนั้นก็ได้ก้มหัวอย่างให้ความเคารพ
ฮ่องเต้ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างชื่นชม “อย่างที่คิดสมกับที่เป็นลูกสาวของมหาเสนาบดีจริงๆ นางช่างเพียบพร้อมจริงๆ”
“ฝ่าบาททรงกล่าวชมเกินไปแล้ว” มหาเสนาบดีหลินก็ได้พูดอย่างถ่อมตัว แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแสดงให้เห็นว่าในเวลานี้เขามีความสุขมาก
แล้วเหล่าเจ้าหน้าที่ที่รายล้อมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกับฮ่องเต้ ซึ่งแต่ละคนต่างก็ชมเชยหลินซีเหยียน แต่หลินซีเหยียนไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยืนเฉยๆและมองดูสถานการณ์ตีสองหน้าเช่นนี้อย่างเย็นชา
เมื่อสถานการณ์รอบๆสงบลง ฮ่องเต้ก็ได้สะบัดมือของเขา แล้วขันทีก็ได้ถือม้วนราชโองการสีเหลืองทองแล้วอ่าน “องค์ชายเย่ได้รักษาความสงบในชิงโจวอีกทั้งยังรักษาโรคระบาด เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่นัก แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแอทำให้ไม่สะดวกมารับรางวัล ดังนั้นข้าจึงได้ขอมอบสมุนไพรมีค่า 1,000 ชนิด และทองคำจำนวน 10,000 ตำลึงทองเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ”
หลินซีเหยียนยักคิ้วขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้ก้มหัวเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อฮ่องเต้
แต่การมอบรางวัลนั้นยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะถ้าเกิดจบจะเป็นการแสดงว่าฮ่องเต้นั้นขี้เหนียวมาก ทั้งๆที่องค์ชายเย่เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
อย่างที่คาด ฮ่องเต้ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “เนื่องจากองค์ชายเย่ป่วยหนักจึงไม่สามารถรับรางวัลได้ แล้วเจ้าอยากจะได้สิ่งใดในฐานะชายาขององค์ชายเย่ไหม?”
แล้วแววตาของหลินซีเหยียนก็ได้ฉายแสงออกมา นางก็ได้เงยหัวขึ้นมาและมองไปที่ฮ่องเต้แล้วพูดเสียงดั “องค์ชายเย่นั้นคือสามีในอนาคตของผู้น้อย เขานั้นได้ทำคุณงามความดีใหญ่หลวง แต่เขาเองก็ไม่กล้าที่โลภมากจึงได้ขอแค่ฝ่าบาททรงประทานป้ายทองอภัยโทษ เพื่อทำให้จิตใจของผู้น้อยรู้สึกปลอดภัยด้วยเพคะ”
ป้ายทองอภัยโทษอย่างนั้นเหรอ? เขาจะมอบสิ่งนี้ให้ เจียงหวายเย่ได้อย่างไร? สีหน้าของฮ่องเต้ก็ได้มืดดำและบอกไม่ถูกขึ้นมา เขาจึงได้ทำเป็นกระแอมและไม่รู้ว่าจะวางท่าทีอย่างไรดี
ต่อมามหาเสนาบดีก็ได้ออกมาแล้วกล่าว “ซีเหยียนเจ้าอย่าได้สร้างความวุ่นวาย ป้ายทองอภัยโทษนั้นไม่ใช่สิ่งของที่จะประทานกันได้สุ่มสี่สุ่มห้านะรู้ไหม?”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวอย่างประชดประชัน “ก็จริงอย่างที่ท่านมหาเสนาบดีกล่าว แต่การช่วยเหลือผู้คนในเมืองชิงโจวเป็นล้านคนยังไม่เพียงพอที่จะประทานป้ายทองอีกหรือเพคะ?”
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็พากันก้มหน้าเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น มีเพียงเหล่าขุนพลที่พากันส่งสายตาชื่นชมหลินซีเหยียน
เยี่ยจ้าวอวิ๋น, บุตรคนโตของแม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อ และเป็นลุงของหลินซีเหยียนก็ได้ออกมายืนข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “องค์ชายเย่ได้สละเกือบทั้งชีวิตของเขาเพื่อปราบกบฏชิงโจว เพื่อที่ในอนาคตว่าที่องค์หญิงรัตติกาลจะได้ละเว้นโทษตายได้ ข้าน้อยจึงอยากให้ฝ่าบาทประทานป้ายทองให้นางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของฮ่องเต้ก็ได้ดำมืดขึ้นมา แล้วเขาก็ได้กล่าวกับหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า ทำไมเจ้าถึงอยากได้ป้ายทองอภัยโทษนัก?”
หลินซีเหยียนก็ทำสีหน้าแบบคาดไว้แล้วและพูดขึ้นมา “อย่างที่ทุกคนทราบ องค์ชายเย่นั้นป่วยหนักมาก และเขาก็เกรงว่าตัวของเขานั้นจะตายในอีกไม่ช้า จึงกลัวว่าข้าที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าและเป็นแม่ม่ายจะถูกรังแก ดังนั้นเขาจึงอยากได้ป้ายทองเพื่อทำให้คนอื่นไม่กล้ารังแกข้าเพคะ”
ฮ่องเต้ก็ได้หรี่สายตาลง เขารู้สึกว่าที่หลินซีเหยียนว่ามานั้นก็มีเหตุผล และเจียงหวายเย่ก็จะตายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าจะประทานป้ายทองอภัยโทษ เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ได้สะบัดแขนเสื้อทองคำของเขาแล้วกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะประทานแผ่นป้ายทองคำอภัยโทษให้แก่เจ้า ถ้าใครก็ตามเห็นแผ่นป้ายนี้ก็เท่ากับเห็นข้า และจะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นว่าที่องค์หญิงรัตติกาลอีก”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก” แล้วเหล่าเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันคุกเข่าลงกับพื้นและตะโกนพร้อมกัน
จากนั้นฮ่องเต้ก็ได้สะบัดมือของเขาแล้วกล่าว “ใครก็ได้ช่วยพาองค์หญิงรัตติกาลไปรับแผ่นป้ายทองอภัยโทษที แล้วก็ส่งองค์หญิงออกจากพระราชวังหลวงด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” แล้วกงกงที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้ขานรับทันที
แต่แล้วระหว่างทางเดินออกจากประราชวัง หลินซีเหยียนก็ได้ไปพบกับองค์ชายสิบสี่เจียงซิงชูเข้า และเมื่อนางเห็นองค์ชายสิบสี่ องค์ชายสิบสี่เองก็เห็นนางเช่นกัน
แล้วองค์ชายสิบสี่ก็ได้เดินเข้ามาหาหลินซีเหยียนอย่างไว “พี่สะใภ้สี่”
หลินซีเหยียนก็ได้พยักหน้าแล้วมองไปที่ที่เขาอยู่เมื่อสักครู่ ซึ่งมีหญิงสาวกำลังยืนอยู่ที่นั่นอยู่ นางจึงได้ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดล้อเขา “พี่สะใภ้สี่กำลังจะออกจากพระราชวังแล้ว น้องสิบสี่เจ้าจงกลับไปและอยู่ร่วมกับสาวงามตรงนั้นเถอะนะ!”
เจียงซิงชูก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างตกใจแล้วจากนั้นก็ได้รีบอธิบาย “พี่สะใภ้สี่อย่าเข้าใจข้าผิด นางคือบุตรีของท่านหวังที่เป็นขุนนางฝ่ายในชื่อว่าหวังเซียงอวี่ ซึ่งนางนั้นกำลังรอท่านหวังอยู่ ข้าที่เห็นนางอยู่คนเดียวจึงได้…..”
หลินซีเหยียนจึงได้ผงกหัวอย่างรวดเร็ว เป็นเชิงบอกว่านางรู้แล้ว แต่นางก็จำในสิ่งที่หวังเซียงอวี่ทำเมื่อวานนี้ได้ นางจึงได้พูดเบาๆ: “เซียงอวี่นั้นเป็นผู้หญิงที่ดี และนางยังช่วยข้าที่บ้านมหาเสนาบดีเมื่อวานนี้ด้วย”
ในขณะที่เจียงซิงชูอยากจะถามอะไรนางบางอย่างนั้น หลินซีเหยียนก็ได้ขัดเขาเสียก่อน “ขอโทษด้วยนะ ข้ามีธุระต้องไปทำก่อน”
จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ออกจากพระราชวังไป ทันทีที่เขาได้ขึ้นรถม้ามานางก็พบเจียงหวายเย่ที่กำลังยิ้มด้วยดวงตาสีดำให้กับนาง”
หลินซีเหยียนไม่ได้พูดอะไร กลับกันนางก็ได้โยนแผ่นป้ายให้กับเจียงหวายเย่ ซึ่งเจียงหวายเย่ก็ได้รับแผ่นป้ายที่มีตัวหนังสือสลักเอาไว้ว่า“อภัยโทษ”มา ซึ่งแผ่นป้ายนี้เป็นของที่จะเห็นได้ไม่ง่ายนัก 100 ปีจะมีสักหนหนึ่ง
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อคิดอย่างไรถึงได้ขอเจ้าสิ่งนี้มา?” เจียงหวายเย่ที่หมุนแผ่นป้ายทองในมือของเขาแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้ว “ในอนาคตมันอาจจะช่วยเราให้รอดพ้นจากปัญหายุ่งยากก็ได้”
“เจ้าแผ่นป้ายนี้อาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้ เสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่นึกรู้สึกเสียดายมั่งเลยเหรอ?” เจียงหวายเย่คิดอย่างลึกซึ้ง
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วยิ้มอย่างชัดเจน “ข้าเองก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ทำไมพวกเราไม่แลกกัน ท่านเอาแผ่นป้ายนี้ไปส่วนข้าจะเอาสมุนไพรมีค่ากับทองแทน?”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่รอยยิ้มประจบประแจงของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ก็เข้าใจได้ทันทีว่านางนั้นต้องการอะไรอยู่ เขาจึงได้แกล้งทำเป็นคิดสักพักและพูดออกมาอย่างช้าๆ “สมุนไพรมีค่าข้าให้เจ้าได้ แต่ทองคงให้ไม่ได้”