บทที่ 69
ติดสินบนพระชายา
ทันทีที่คำถามนี้ถูกถามออกมา บรรยากาศระหว่างพวกนางก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที
แล้วสายตาของหงเสวี่ยก็ได้มองทอดยาวออกไปราวกับไม่กล้าที่จะมองหน้าหลินซีเหยียน ทางด้านของเหลียนเซียงเองก็ได้ก้มหน้าจนหัวเกือบจะมุดใต้โต๊ะ
หลินซีเหยียนจึงได้ถามอย่างล้อเล่น “นี่ข้าน่ากลัวมากนักเหรอ?”
หลินเซียงก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าว “ไม่…ไม่ค่ะ พวกเราไม่ได้กลัวท่าน ใช่ไหมหงเสวี่ย?”
หงเสวี่ยก็เหมือนยกนิ้วโป้งให้เหลียนเซียงในใจ นางก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกลืนน้ำลาย จากนั้นนางก็ได้วางกล่องยาวๆกล่องหนึ่งให้หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าเหมือนกับจะตาย “ท่านกำลังจะได้เป็นพระชายาในอนาคต เหลียนเซียงกับข้าจึงได้อยากที่จะมอบบางอย่างให้กับท่าน แต่พวกข้าไม่รู้ว่าท่านชอบอะไรก็เลย…..”
หลินซีเหยียนจึงได้เปิดกล่องไม้นั้นออกดู และพบว่าข้างในเป็นตั๋วเงิน นางจึงได้ขมวดคิ้วขึ้นมาและมองไปที่ปึกเงินหนาๆ แล้วพอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของทั้งสองคนแล้ว! นางจึงได้ปิดฝากล่องแล้วคืนให้กับหงเสวี่ย
“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มอบของให้กับข้า ข้าก็ไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก” หลินซีเหยียนกล่าวปลอบพวกนาง
“พระชายา พวกเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่ความปลอดภัยหรอกเจ้าค่ะ พวกเราอยากที่จะพบองค์ชายบ้าง” หงเสวี่ยได้กัดฟันกล่าว หลังจากที่พูดจบนางก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนราวกับว่าไม่ต้องการที่จะพลาดสีหน้าใดๆของนาง
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็รู้สึกขำขันขึ้นมาหน่อยๆ พวกนางติดสินบนนางด้วยตั๋วเงินก็นึกว่าพวกนางจะวางแผนอะไรไว้? เมื่อเห็นความตั้งใจสู้ในใจของหงเสวี่ยและเหลียนเซียงแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้กล่าว “เจ้าอยากจะพบกับองค์ชายเย่ ก็เลยติดสินบนข้าอย่างนั้นสินะ?”
หงเสวี่ยกับเหลียนเซียงก็ได้ผงกหัว จากนั้นหลินซีเหยียนก็หัวเราะและนับตั๋วเงินจากนั้นก็กล่าว “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรับตั๋วเงินพวกนี้ก็ได้ แล้วองค์ชายเย่จะมาพบกับพวกเจ้าแน่นอน”
หงเสวี่ยกับเหลียนเซียงก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามเขามาให้” แล้ว หลินซีเหยียนก็ลุกขึ้นแล้วเดินจาก หลินซีเหยียนนั้นก็รู้สึกผิดอยู่บ้างหลายหนระหว่างทาง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่แล้ว นางเองก็ได้เงินมาแล้วด้วยซึ่งถึงว่าเป็นเรื่องดี
แล้วนางก็พบกับเจียงหวายเย่เข้าระหว่างทาง เขานั้นยังสวมหน้ากากและนั่งรถเข็นอยู่โดยมีอันอี้คอยเข็นให้อยู่ข้างหลัง
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ช่างบังเอิญจริง” เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมา และมองด้วยสายตาที่แทบจะมองทะลุหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนจึงได้หันหน้าหลบโดยไม่รู้ว่าทำไม นางนั้นแอบคิดอยู่เสมอว่าเจียงหวายเย่นั้นสามารถมองนางออกทะลุปรุโปร่งได้ตลอดยังไงอย่างงั้น จากนั้นนางก็นึกถึงธุระขึ้นมาได้แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ “ข้ามีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วยพอดี”
แล้วก็มีแสงปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเจียงหวายเย่ แล้วเขาก็ได้พูดขึ้นมาทันที “หากว่าเป็นสิ่งที่เปิ่นหวางสามารถทำได้ เปิ่นหวางก็ยินดีจะทำให้ทันที”
“ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอกสบายใจได้ ก็แค่เหล่านางสนมของท่านอยากที่จะพบกับท่านก็เท่านั้น” ในตอนนี้เองที่ หลินซีเหยียนก็รู้สึกว่าประโยคนี้ของเขานั้นยากที่จะพูดมาก และคิดว่านางอาจจะพูดออกไปได้ไม่ค่อยดีนัก
อย่างที่คิดเจียงหวายเย่นั้นก็มีแววตาดำมืดขึ้นมาทันทีที่เข้าได้ยิน แม้แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปด้วย แม้แต่อันอี้ที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ข้างหลังก็ยังรู้สึกสั่นเทา
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าอยากให้ตัวเราไปพบกับพวกนางงั้นเหรอ?” หลังจากเงียบไปสักพักเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวออกมา
หลินซีเหยียนก็รู้สึกว่าเขาโกรธแบบไม่มีเหตุผลขึ้นมา “ทำไมองค์ชายถึงได้โกรธข้าด้วย? พวกเขาก็เป็นสนมของท่านเป็นคนของท่านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อันอี้ เจ้าช่วยพาเราไปพบกับสนมของเราที” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอีกรอบ แล้ว เจียงหวายเย่ก็ทำเหมือนกับไม่รู้จักนางอีกต่อไป
เพราะเจียงหวายเย่นั้นจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเย็นชา และมักจะทำตัวไม่จริงจังและไม่มีเหตุผลกับนาง อะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป
แต่หลินซีเหยียนที่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก นางจึงได้เลิกคิดไป แต่ในขณะที่จะออกจากพระราชวังเพื่อกลับไปยังเรือน เชียนเหยียนนั้น จู่ๆนางก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างหนัก สายตาของนางก็พลันมืดสนิท แล้วร่างกายของนางก็เริ่มเสียการทรงตัวแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหาใครสักคนหรือบางอย่างเพื่อช่วยเหลือ แต่รอบตัวนางกลับว่างเปล่าก่อนที่จะล้มลงไปกับพื้น
แต่ความง่วงกลับไปไม่ได้หายไปเพราะหลินซีเหยียนล้มแต่กลับทำให้ง่วงหนักกว่าเดิม หลินซีเหยียนจึงพยายามไม่ตื่นตระหนกกลับกันนางได้พยายามตั้งสติและตรวจชีพจรของตัวเอง
มีคนเคยว่าเอาไว้ว่าหมอนั้นไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ซึ่งประโยคนี้สมเหตุสมผลมาก เพราะครั้งหนึ่งมีหมอคนหนึ่งที่ป่วย แต่ก็ไม่สามารถตรวจอาการของตัวเองได้อย่างแม่นยำ
แต่หลินซีเหยียนนั้นคือหมอผี ที่ยมทูตก็ยังต้องสลด นางนั้นมั่นใจในการรักษาตัวเองของนางมาก แต่ทันทีที่นางตรวจอาการของตัวเอง ก็พบว่านางนั้นถูกพิษ
“พระชายาไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ?” จี๋เฟิงกับชิงอวี่ที่อยู่ในความมืดก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงได้รีบออกมาเคียงข้างหลินซีเหยียนและถามนางเบาๆ
หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัว “ตอนนี้ข้ายังไม่เป็นอะไร ช่วยพาข้ากลับไปที่ห้องก่อน”
ชิงอวี่ผงกหัวแล้วโอบกอดเอวของหลินซีเหยียนแล้วยกตัวของนางขึ้นมาแล้วพากลับไปที่ตำหนักขององค์ชาย
ระหว่างทางหลินซีเหยียนก็รู้สึกแย่มากที่ท้องของนาง นางก็ได้กัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อต้านทานอาการอยากอ้วกจนกระทั่งชิงอวี่ได้วางนางลงกับเตียง
“ชิงอวี่ ข้าจะไม่สามารถขยับตัวเองได้สักพัก เจ้าช่วยหยิบเอายาขวดสีทองในแขนเสื้อของข้าออกมา แล้วจากนั้นก็ป้อนยานั้นให้กับข้า” เสียงของหลินซีเหยียนนั้นแหบแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ และเหงื่อที่หน้าผากของนางก็ได้เริ่มไหลออกมาซึ่งแสดงให้เห็นว่าในเวลานี้นางรู้สึกไม่ดีมาก
“พระชายาแข็งใจเอาไว้ก่อนนะเจ้าคะ อีกเดี๋ยวหมอก็จะมาแล้ว” ชิงอวี่รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็โทษตัวเองอย่างหนักเพราะนางนั้นไม่สามารถปกป้องพระชายาได้
หลินซีเหยียนที่ทานยานั้นเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าความง่วงนั้นได้ถูกระงับไปชั่วคราว แต่สายตาของนางยังคงมืดสนิทอยู่ ซึ่งทำให้นางรู้สึกวิตกขึ้นมา
นางจึงได้สงบจิตใจลงและตรวจชีพจรของตัวเองอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ถอนหายใจ ชื่อของพิษที่นางโดนคือ “หวังชวนชิวฉุ่ย” (มองผ่านน้ำในสารทฤดู)
พิษตัวนี้จะทำให้รู้สึกชวนหดหู่เหมือนกับชื่อของมัน ตอนแรกพิษนี้จะทำให้ผู้ที่โดนรู้สึกง่วงและอยากอาเจียน แต่ถึงจะทนได้แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของมัน ปัญหาจริงๆคือพิษตัวนี้จะทำให้ตาบอดสนิท
หลินซีเหยียนก็ได้นอนลงกับเตียงแล้วคิดหาวิธีการแก้พิษในใจของนาง หวังชวนชิวฉุ่ยนั้นเป็นพิษที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ดังนั้นวิธีถอนพิษก็ยังไม่มี
“ท่านหมอมาแล้วขอรับองค์หญิง”
หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะปฏิเสธไปอย่างไรเสียนางก็เป็นหมอ แต่นางก็ไม่สามารถขัดขืนชิงอวี่และจี๋เฟิงได้ นางจึงได้ปล่อยไป
ท่านหมอตรวจอาการอยู่พักใหญ่ แล้วจากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “พระชายาถูกพิษที่มีชื่อว่าหวังชวนชิวฉุ่ย ถึงแม้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องของการใช้ชีวิต แต่นางก็จะไร้การมองเห็นตลอดไป”
“อะไรนะ?” ดวงตาของจี๋เฟิงและชิงอวี่เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ชิงอวี่มองไปที่หมอ “ท่านหมอ ลองคิดดูดีๆมันจะต้องมีวิธีรักษาสิ”
ท่านหมอก็ยังคงส่ายหัว
จี๋เฟิงโกรธจัดจับคอเสื้อของหมอแล้วยกขึ้นมา “ไม่มีหนทางเลยจริงๆเหรอ?”