บทที่ 74
เจ้าโทษข้า?
“เหลียนเอ๋อไม่เชื่อท่านหรอก” เหลียนเอ๋อร้องไห้และพยายามแกะมือของอันอี้ออก “ท่านพี่ท่านลืมไปแล้วเหรอ? ท่านบอกจะคอยดูแลข้าในวันที่ท่านพ่อเสียและจะปกป้องข้าต่อหน้าทุกคน”
“เปิ่นหวางเป็นหนี้บุญคุณพ่อของเจ้าก็แค่นั้น” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามาก เย็นเสียจน เหลียนเอ๋อหนาวสั่น
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เหลียนเอ๋อคงวิ่งหนีไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้เหลียนเอ๋อนั้นขาดสติไปแล้ว นางจึงยังคงพล่ามพรรณนาถึงความลุ่มหลงของนาง
ในระหว่างนี้แววตาของเจียงหวายเย่นั้นก็ได้ดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมา อันเอ้อก็ได้มาถึงพร้อมกับท่านหมอ
“ท่านหมอดูอาหารของนางเร็วเข้าขอรับ” อันอี้ที่รับรู้ได้ถึงความโกรธของเจ้านายจึงได้รีบดึงพาเหลียนเอ๋อออกมาจาก เจียงหวายเย่
ท่านหมอที่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของเจียงหวายเย่ จึงไม่กล้าที่จะถามหรือพูดอะไร แล้วรีบทำการตรวจชีพจรของ เหลียนเอ๋ออย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่ทำการตรวจอาการเรียบร้อยแล้วเขาก็โล่งอกขึ้นมา โชคยังดีที่ไม่ใช่อาการที่ยุ่งยากอะไร ไม่อย่างนั้นชีวิตของเขาคงได้หาไม่ที่นี่แน่
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หมอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม่นางเหลียนเอ๋อเป็นอะไร?”
“กราบเรียนองค์ชาย แม่นางเหลียนเอ๋อถูกยาพิเศษเข้าไป ยาตัวนี้ไม่ได้มีพิษที่ร้ายแรงอะไร แต่จะทำให้ผู้ที่ได้รับยามีอาการขาดสติและไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร เป็นยาที่มักใช้บ่อยโดยพวกโจรเด็ดดอกไม้”
“แล้วมียาถอนพิษไหม?” เจียงหวายเย่ถามและ หรี่สายตาของเขา
“ยังไม่มีวิธีแก้ยาตัวนี้ขอรับ แต่อาการจะหายไปเองหลังจากที่ผ่านไปสองชั่วยามขอรับ” หลังจากที่ท่านหมอกล่าวจบ เขานั้นไม่อยากที่จะอยู่ต่อแล้ว จึงได้รีบขอตัวกลับก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร?
“นำตัวคุณหนูเหลียนไปขังไว้ในห้องของนาง แล้วห้ามใครปล่อยนางออกมาจนกว่านางจะหาย” หลังจากที่เจียงหวายเย่พูดจบ เขาก็ได้เข็นรถเข็นไปตามหาหลินซีเหยียน
ไม่นานนักก็พบหลินซีเหยียนอยู่ที่ห้องของนาง รอจนกระทั่งผู้คนได้ออกจากห้องไปจนหมด เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นจากรถเข็นแล้วเดินไปหาหลินซีเหยียนอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขามีอะไรอยากที่จะพูด
หลินซีเหยียนมองไปที่เขาที่กำลังลังเลที่จะพูดจึงได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วถาม “ไม่ทราบว่าองค์ชายเย่อยากที่จะพูดอะไร?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ถอนหายใจออกมา แต่แทนที่เขาจะตอบคำถามของหลินซีเหยียน เขาก็ได้เล่าถึงอดีตของเหลียนเอ๋อแทน จากตรงนี้หลินซีเหยียนจึงได้รู้ว่าพ่อของเหลียนเอ๋อนั้นเป็นชายที่เต็มไปด้วยความรักและความยุติธรรม และความใจดีของเขาที่มีต่อเจียงหวายเย่
หลังจากที่ฟังมาได้สักพัก หลินซีเหยียนก็พอจะเดาได้รางๆแล้วว่าเจียงหวายเย่นั้นอยากที่จะพูดอะไรกับนาง นางนั้นไม่อยากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงได้หรี่สายตาไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าองค์ชายต้องการจะพูดอะไรกันแน่? ก็พูดมาเลยก็ได้ว่าแม่นางเหลียนนั้นคือคนที่ท่านให้การดูแลอยู่ ไม่ใช่คนที่ข้าจะควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัว “ปกตินางจะเป็นคนที่นอบน้อมและขี้กลัว ข้าจึงอยากที่จะให้เจ้าช่วยดูแลนางด้วย”
“นอบน้อมและขี้กลัว?” หลินซีเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาเมื่อได้ยินที่เจียงหวายประเมินนิสัยของแม่นางเหลียน “องค์ชายเองก็น่าจะเห็นนางแล้ว ว่าแท้จริงแม่นางเหลียนเป็นคนเช่นไร? แล้วท่านยังอยากจะให้ดูแลนางอีกเหรอ?”
หลังจากที่พูดจบนางก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหา เทียนเอ๋อจากนั้นจูงมือน้อยๆของเขาแล้วเตรียมที่จะจากไป
“ท่านแม่ใจเย็นก่อนขอรับ” เทียนเอ๋อเดินตามอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถไล่ตามความเร็วของหลินซีเหยียนได้ จากนั้นเขาก็ได้รีบปลอบนางเมื่อเห็นสีหน้าโกรธบนใบหน้าแม่ของเขา
“แม่ไม่ได้โกรธ” น้ำเสียงของหลินซีเหยียนขึ้นสูงด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด “พวกเราจะไม่กลับมาที่พระราชวังรัตติกาลนี่อีก”
“ท่านแม่ทำแบบนั้นไม่ได้นะขอรับ นี่คือที่ที่ท่านอาจารย์ของเทียนเอ๋ออยู่นะขอรับ?” เทียนเอ๋อมีสีหน้าตกใจ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุที่ท่านแม่โกรธนั้นมาจากอะไร?
หลินซีเหยียนก็ได้หยุดฟังแล้วมองไปที่เทียนเอ๋ออย่างร้อนรน “แม่ของเจ้าสำคัญกว่า หรือท่านอาจารย์ของเจ้าสำคัญกว่า?”
เทียนเอ๋อเกือบจะโพล่งออกไปว่าท่านอาจารย์แต่เขาก็ได้รีบปิดปากของตัวเองเอาไว้แล้วส่ายหัว
“แม่จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ดวงตาของหลินซีเหยียนนั้นแดงขึ้นมาหน่อยๆแล้ว
เทียนเอ๋อก็ได้จ้องไปที่ดวงตานั้นแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่มีใครที่สำคัญไปกว่าท่านแม่ได้หรอกขอรับ ท่านแม่อย่างร้องนะขอรับ ท่านแม่ยังมีเทียนเอ๋ออยู่!”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวอย่างพึงพอใจแล้วจากนั้นก็ปล่อยมือของเทียนเอ๋อ “ไปหาอาจารย์ของเจ้า!”
ดวงตาของเทียนเอ๋อก็เบิกกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ได้รีบคว้าตัวของหลินซีเหยียนเอาไว้ “ท่านแม่ ท่านแม่จะทิ้งเทียนเอ๋อไปไม่ได้นะขอรับ! เทียนเอ๋อแค่พลั้งปากไปเท่านั้นเองขอรับ”
“เจ้าตัวแสบเจ้าพูดอะไรอยู่? แม่น่ะเลี้ยงลูกมาจนโตเสียเงินไปก็มากมาย แม่จะทิ้งเจ้าง่ายๆได้อย่างไร?”
หลินซีเหยียนกล่าวและเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา หลังจากที่เทียนเอ๋อได้ยินและเห็นมุมปากของนางที่ยิ้มขึ้นมาแล้ว อย่างที่เขาคิดเอาไว้ ท่านแม่ของเขานั้นไม่ใช่คนที่จะตัดสินได้ด้วยความคิดของคนทั่วๆไปเลย
“ท่านแม่ให้ข้าไปหาท่านอาจารย์ทำไมเหรอขอรับ?” เทียนเอ๋อก็ได้ถามกลับด้วยหัวน้อยๆของเขาที่สับสน
“ก็ท่านอาจารย์ของเจ้าหาว่าแม่ของเจ้าเป็นคนไม่ดี และแม่อยากให้เขาต้องกลายเป็นคนจน แล้วเจ้าจะต้องเป็นสายลับตัวน้อยที่ถูกส่งมาโดยแม่” หลินซีเหยียนกล่าวและกะพริบตาให้กับเทียนเอ๋อ
แววตาของเทียนเอ๋อก็ลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ “เทียนเอ๋อจะรับหน้าที่ที่ยากลำบากนี้เองขอรับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง!”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ด้านหลังที่น่าเกรงขามของเทียนเอ๋อแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ได้ค่อยๆหายไป ที่บ้านของมหาเสนาบดีนั้นไม่เหมาะสมที่จะพาเทียนเอ๋อกลับไป
เมื่อหลินซีเหยียนกลับมายังจวนมหาเสนาบดีแล้ว นางก็พบว่าผู้คนในเรือนเล็กๆของนางนั้นล้วนออกมายืนกันอยู่ข้างนอกห้อง
หลินซีเหยียนจึงได้เดินไปหา “พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้?”
ป้าจางก็ได้เดินออกมาแล้วกล่าว “คุณหนูในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ท่านมหาเสนาบดีบังคับให้ท่านย้ายเรือนเจ้าค่ะ จะทำอย่างไรดีคะคุณหนู?”
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา ที่นี่มีเรื่องให้กังวลได้ตลอดจริงๆ
เมื่อนางพบมหาเสนาบดีแล้ว ซึ่งเขาเองก็รอนางกลับมาอยู่เช่นกัน ซึ่งก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้พูดอะไร มหาเสนาบดีก็ได้พูดขึ้นมาอย่างใจดีก่อน “ว่ายังไงเหยียนเอ๋อ เจ้าชอบเรือนใหม่ของเจ้าไหม?”
“ข้าไม่ชอบ” หลินซีเหยียนตอบกลับไปโดยแทบไม่ต้องคิด แต่มหาเสนาบดีหลินที่นางคิดว่าจะต้องโกรธนั้นกลับพูดกับนางด้วยความเป็นห่วง “ทำไมล่ะเหยียนเอ๋อเจ้าไม่ชอบตรงไหนเหรอ? เจ้าลองบอกพ่อมาซิว่าทำแบบไหนเจ้าถึงจะชอบ?”
หลินซีเหยียนที่เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาแล้ว ท้องของนางก็ได้รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาทันที แล้วนางก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ใครอยากได้เรือนของท่าน”
ฮูหยินอวี้ที่กำลังยิ้มอยู่ข้างๆมหาเสนาบดีหลินนั้นก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างตกใจ “หลินซีเหยียน นี่มันจะมากเกินไปหน่อยเหรอ?”
มหาเสนาบดีหลินที่ยังคงฝืนยิ้มอยู่นั้นแต่ก็ดูฝืนอย่างมาก เขาก็ได้เดินไปหาหลินซีเหยียนราวกับจะปรึกษาอะไรบางอย่าง “เหยียนเอ๋อ พ่อจะให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการทุกอย่างเลย ขอแค่เจ้ามอบป้ายทองอภัยโทษให้แก่พ่อเท่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “มันเปล่าประโยชน์ที่ข้าจะถือป้ายทองเอาไว้ ข้าเลยโยนให้เจียงหวายเย่ไปแล้ว”
“อะไรนะ? นังลูกไม่รักดี เจ้าจะทำให้ข้าโมโหไปถึงไหน? เอาไปให้ใครไม่ให้ดันเอาไปให้เจียงหวายเย่เนี่ยนะ” แล้วความเกรี้ยวกราดในอกของมหาเสนาบดีหลินก็ได้ปะทุออกมา เมื่อ ฮูหยินอวี้เห็นเช่นนั้นจึงได้รีบปลอบเขา
“ฮ่องเต้ประทานให้ข้ามา ข้าจะให้ใครมันก็เรื่องของข้าไม่ใช่เหรอ?” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่ลูกสาวคนที่สองเขาด้วยความโกรธจัด ดวงตาของเขาเบิกกว้างแล้วชี้ไปที่เรือนเล็กๆของนางแล้วกล่าว ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้
“ข้าไปแน่อยู่แล้ว แล้วจำด้วยว่าเอาข้าวของทั้งหมดกลับมาคืนที่เรือนเชียนเหยียนด้วย ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกฮ่องเต้ว่าท่านกำลังดูหมิ่นฮ่องเต้และรังแกข้า” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของนางที่ยิ้มแย้มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมหาเสนาบดีหลินเห็นนางที่มีสีหน้าเหมือนกับตัวร้ายแล้ว ก็ได้กล่าวอย่างโมโห “เอาออกไปให้หมด!”