บทที่ 90
ปกป้อง
“ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือพี่สาวของเจ้านิดหน่อยเท่านั้น” รอยยิ้มของฮูหยินอวี้นั้นก็ได้สดใสมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะมองไม่เห็นก็ตามที แต่นางก็สามารถรับรู้ได้จากน้ำเสียงของนาง ทำให้นางกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าว “ว่ามาฮูหยินอวี้”
“เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว แต่ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ของเยว่เอ๋อแล้ว จะให้ข้าทำใจปล่อยให้นางแต่งงานเช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้น….”
“ดังนั้นท่านคิดจะให้ข้าไปแต่งงานกับเฮอเหวินจางแทนนางอย่างนั้นสินะ?” หลินซีเหยียนพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของ ฮูหยินอวี้ออกมา “ท่านคิดที่จะขัดราชโองการและหลอกลวงองค์ฮ่องเต้อย่างนั้นเหรอ? ฮูหยินอวี้ท่านช่างหาญกล้าเสียจริง”
“เจ้ากับเยว่เอ๋อนั้นแต่งงานพร้อมกัน ในวันนั้นก็จะวุ่นวายกันอย่างมาก ดังนั้นถ้าเกิดพวกเจ้าขึ้นเกี้ยวผิดคัน ถึงแม้จะน่าเสียดายแต่ก็ไม่มีใครโทษข้าได้” ฮูหยินอวี้ได้บอกแผนการของนางออกมาอย่างชัดเจน
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา “ฮูหยินอวี้ช่างมีแผนที่ดีจริงๆ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีทางปฏิเสธได้เลยสินะ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะยอมตกลงไหม?” ฮูหยินอวี้ก็ได้ถามคร่าวๆ
“ก็ได้” หลินซีเหยียนก็ได้ตอบอย่างเย็นชา
ฮูหยินอวี้ที่ได้ยินคำตอบก็รู้สึกยินดีขึ้นมาในดวงตาของนาง นางนั้นกลัวมากหากเมื่อสักครู่นี้หลินซีเหยียนนั้นเกิดไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร
หลังจากที่หลินซีเหยียนพูดจบ นางก็ได้หันหน้าไปหามหาเสนาบดีแล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง “พูดก็พูดเถอะ ข้าเองก็เป็นลูกสาวของท่าน แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะปล่อยให้นางทำเช่นนี้กับข้าได้”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนเมื่อได้ยินที่นางพูด แล้วก็มองเห็นฮูหยินเยี่ยในตัวของหลินซีเหยียนอยู่พักหนึ่ง ทำให้เขาทนไม่ได้และหลบหน้าหนี
เขารู้ตัวดีว่าเขานั้นไม่มีค่าพอที่จะเป็นพ่อ แต่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อจวนมหาเสนาบดี ดังนั้นมหาเสนาบดีหลินจึงได้ถอนหายใจแล้วเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไร
แต่ฮูหยินอวี้นั้นยังไม่ได้ตามไป นางยังอยู่และพูดอย่างเหยียดๆ “เจ้ากำลังคิดหาวิธีที่จะไม่แต่งงานอยู่งั้นเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้นะ นั่นคือเจ้าตรอมใจตายเองไปเสียก่อนไงล่ะ!”
หลินซีเหยียนไม่ได้ตอบอะไร
ตั้งแต่หลินซีเหยียนกลับมา ฮูหยินอวี้นั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก และในเวลานี้นางสามารถที่จะควบคุมหลินซีเหยียนได้แล้ว นางก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของนาง ซึ่งก่อนที่นางจะจากไปก็เหมือนกับว่านางนึกอะไรบางอย่างออกได้ จากนั้นนางก็ได้พูดขึ้นมา “และอย่าได้คิดออกจากตำหนักเชียนเหยียนไปก่อนจะถึงวันที่เจ้าแต่งงานล่ะ”
“ฮูหยินอวี้คิดจะกักบริเวณข้างั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่โมโห
“ซีเหยียน เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ข้าน่ะทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้าเลยนะ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องดีนักที่หญิงสาวที่กำลังจะออกเรือนจะออกไปไหนมาไหนนะรู้ไหม?” หลังจากที่ฮูหยินอวี้ กล่าวจบ นางก็ได้เชิดหน้าราวกับนกยูงเชิดและเดินออกไป
หลังจากที่มองฮูหยินอวี้ไม่เห็นแล้ว เทียนเอ๋อก็ได้กระโดดอย่างโมโห “ท่านแม่ห้ามข้าทำไม? ข้าจะต่อยนางให้ฟันหลุดไปทั่วพื้นเลยกับคนแบบนี้!”
“วันนั้นมันจะต้องมาถึงแน่ แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเราต้องให้จิ่งชุนและคนอื่นๆปลอดภัยเสียก่อน” การที่ หลินซีเหยียนถูกรังแกโดยคนอื่นเช่นนี้แน่นอนว่าทำให้นางโมโหมาก แต่เพราะนางถูกกำจุดอ่อนเอาไว้อยู่ นางจึงไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยอย่างเทียนเอ๋อได้
เมื่อเทียนเอ๋อได้ยินที่หลินซีเหยียนกล่าวแล้ว เขาก็ได้พูดอย่างเสียใจ “แต่ท่านแม่ขอรับ เทียนเอ๋อรู้สึกไม่ดีเลยขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจและลูบหัวเทียนเอ๋อปลอบ
“พระชายา ท่านจะแต่งงานกับบุตรของจวน กว๋อกงจิ่งหยางจริงๆเหรอเจ้าคะ?” ชิงอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้กระซิบถาม
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะแต่งงานกับคนที่ข้ารักเท่านั้น ไม่มีใครที่จะมาตัดสินใจให้ข้าเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่อยู่เหนือผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสนคน หรือฮูหยินอวี้ที่ขู่ข้าด้วยการกุมจุดอ่อนของข้าก็ตาม”
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่แสดงท่าทีอะไรบอกว่านางนั้นจะไม่แต่งงานกับองค์ชายเย่ก็ตามที แต่ด้วยความสามารถในการรับรู้ของชิงอวี่แล้ว นางคิดว่าองค์ชายคงได้หัวใจสลายแน่ ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆแล้วองค์ชายคงไม่สามารถเอาชนะใจแม่นางหลินได้แน่ ทำให้หัวใจของนางรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นแล้วองค์หญิงจะทำเช่นไรต่อไปดี?” จี๋เฟิงก็ได้หลบสายตาลงต่ำและกล่าวอย่างประชดประชัน เขานั้นไม่คิดว่าลำพังแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวจะมาประสงค์ร้ายต่อองค์ชายและพระชายาของเขาได้
“ก่อนอื่นเลย พวกเราจะต้องหาที่อยู่ของจิ่งชุนและคนอื่นๆให้พบเสียก่อน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ข้าไม่ถูกควบคุมโดยคนอื่นได้” หลินซีเหยียนที่สงบสติอารมณ์ลงได้ ก็ได้กัดริมฝีปากแดงๆของนางแล้วจากนั้นก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยที่มุมปากของนาง
ถ้าหากคิดที่จะข่มขู่นางแล้วล่ะก็ เตรียมตัวรับผลที่จะตามมาได้เลย ซึ่งไม่รู้ว่าฮูหยินอวี้นั้นได้เตรียมตัวไว้แล้วหรือยัง?
ในกลางดึกคืนนั้น จี๋เฟิงและชิงอวี่ก็ได้เหาะไปทั่วทั้งจวนมหาเสนาบดี พวกนางได้ทำการค้นหาในตำหนักของฮูหยินอวี้จนทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องน้ำ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของจิ่งชุนและคนอื่นๆเลย
“หรือว่าฮูหยินอวี้จะขังพวกนางเอาไว้ที่อื่น?” จี๋เฟิงคิ้วขมวดและรู้สึกกังวลขึ้นมาในใจของเขา
ชิงอวี่จึงได้บิดริมฝีปากของนางแล้วคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ได้หันหน้าไปหาจี๋เฟิง “พวกเรากลับไปรายงานสถานการณ์ให้พระชายาฟังกันก่อนเถอะ แล้วพวกเราค่อยวางแผนในระยะยาวกัน”
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงได้อาศัยความมืดนี้ เคลื่อนที่กลับไปยังตำหนักเชียนเหยียนอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นยังไม่ได้พักผ่อน นางนั้นกำลังถือแก้วชาอยู่ในมือของนาง แล้วนางก็ได้ยินเสียงเบาๆดังขึ้นมา นางจึงรู้ว่าชิงอวี่และจี๋เฟิงกลับมาถึงแล้ว
ชิงอวี่ก็ได้รายงานหลินซีเหยียนถึงผลของการค้นหาและกล่าว “พระชายาเจ้าคะ จิ่งชุนกับคนอื่นๆนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในจวนก็ได้ พวกเราควรจะสะกดรอยตามฮูหยินอวี้ไหมเจ้าคะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัว “ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ที่ตำหนักของเราไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเคลื่อนย้ายไปไหนได้ไกล ดังนั้นจิ่งชุนกับคนอื่นๆน่าจะยังอยู่ในจวนมหาเสนาบดีนี่แหละ”
จากนั้นหลินซีเหยียนที่คลำอะไรบางอย่างอยู่เป็นเวลานานในแขนเสื้อของนางนั้น แล้วนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวกับชิงอวี่และจี๋เฟิง “เรื่องการตามหาที่อยู่ของจิ่งชุนและคนอื่นๆนั้นให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
จี๋เฟิงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างสงสัย ในเวลานี้นางนั้นยังตาบอดทั้งสองข้าง ถึงแม้ว่านางจะสามารถเดินได้แล้วก็ตามที แต่นั่นก็ไม่ช่วยนางในการตามหาคนเลยนะ!
เขานั้นสงสัยมากว่าพระชายานั้นไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหนกัน? แต่ในขณะที่เขากำลังจะถามนั้นเขาก็พบว่ากำลังถูกจ้องโดยชิงอวี่
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวพร้อมกับหาว
แล้วจี๋เฟิงก็ได้พาเทียนเอ๋อออกไปพักผ่อนก่อน เหลือเพียงชิงอวี่ที่คอยดูแลหลินซีเหยียนที่กำลังนอนแล้วจากนั้นก็ออกไป
หลังจากที่หลินซีเหยียนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครที่อยู่รอบๆ นางก็ได้สะบัดแขนเสื้อขวาของนางแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ “บัวแดง, หน่อเขียว”
ในความมืดมิดนั้นก็ได้มีก้อนแสงสีขาวสองลูกปรากฏออกมาจากแขนเสื้อของหลินซีเหยียน ก้อนแสงสีขาวสองลูกนี้ได้ลอยไปรอบๆหลินซีเหยียนอย่างสนิทสนม ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะมองไม่เห็น แต่นางก็สามารถรู้สึกได้ถึงความดีใจของพวกเขา
“ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆมากมาย จนข้าไม่ได้ปล่อยพวกเจ้าออกมาเลย พวกเจ้าคงจะอึดอัดแย่!” คิ้วของหลินซีเหยียนก็ได้โค้งงอและปรากฏซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้าของนางที่ทั้งอบอุ่นและบริสุทธิ์
บัวแดงกับหน่อเขียวก็ได้ลอยเข้ามาถูเข้ากับหน้าของหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนก็ได้ลูบพวกเขาแล้วกล่าว “พวกเจ้ากำลังปลอบข้างั้นเหรอ?”
เพราะบัวแดงกับหน่อเขียวนั้นยังอ่อนแอมาก พวกเขาจึงไม่สามารถพูดได้ ซึ่งท่าทีของพวกเขานั้นต้องอาศัยการคาดเดาของหลินซีเหยียน แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาร่วม 5 ปี หลินซีเหยียนกับพวกเขานั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดก็เข้าใจกันได้