บทที่ 1 แข่งขันทำอาหารระดับเทพ แม่ตัวจริงหรือตัวปลอม (2)
โดย
Ink Stone_Romance
“ขอ ขอ…ขอให้พวกเจ้าโชคดี!” นายท่านฉินตบไหล่ลุงใหญ่และเดินคอตกกลับไปที่ห้องรับรองด้วยท่าทางหดหู่
การจับฉลากในครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อครัวรุ่นใหญ่ หลังพวกเขาเจรจากับหอเทียนเซียง พ่อครัวแซ่ซุนจึงถูกย้ายออกไป และเหลือแม่นางตู้กับพ่อครัวแซ่โหยวอีกท่านหนึ่ง
ในตอนที่ลุงใหญ่ทำงานที่หอเทียนเซียง เขาไม่เคยพบพ่อครัวโหยว แม่นางตู้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แม้ทั้งสองจะเคยได้ยินเรื่องของลุงใหญ่ ทว่าพวกเขาไม่เคยได้พบกับพ่อครัวขาเป๋ของหอจุ้ยเซียนมาก่อน
ทั้งสามพาพ่อครัวมือฉมังไปหน้าเตาที่เปิดโล่งและเริ่มลงมือด้วยความรวดเร็ว
วัตถุดิบหลักที่ได้รับในรอบแรกคือแป้งรำข้าวหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าแป้งสาลี
วัตถุดิบเสริมจะถูกวางไว้นอกเตา เช่น ไก่ เป็ด ปลา แตงโม ผลไม้ ผัก และอื่นๆ
ตามกฎจะทำอย่างไรก็ได้ ขอเพียงใช้แป้งรำข้าวเป็นส่วนผสม
พ่อครัวโหยวแห่งหอเทียนเซียงเริ่มต้นเป็นคนแรก เขาทำเกี๊ยวน้ำ ซึ่งเป็นอาหารที่ทุกครัวเรือนต่างทำได้ หากคิดจะรังสรรค์สิ่งใหม่เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก เขาเลือกมันเทศสดมาล้างและหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในหม้อนึ่งจนนิ่มเป็นข้าวเหนียว จากนั้นนำมาปอกเปลือกและบดเนื้อจนเละ ใส่ลงในแป้ง เติมน้ำตาลทรายแดงและไข่ นวดให้เข้ากัน ผิวของเกี๊ยวที่ทำจากแป้งชนิดนี้จะมีกลิ่นหอมพร้อมกับความหวานของมันเทศ
ไส้เกี๊ยวก็มีความพิเศษเช่นกัน เขาเลือกหมูสามชั้นที่มีปริมาณเนื้อและไขมันที่พอดีกัน หากไขมันน้อยไปก็จะแข็ง มากไปก็จะเลี่ยน ทั้งหมดถูกควบคุมอย่างดี หลังจากสับจนเป็นหมูบดแล้ว ก็นำไปผสมกับหน่อไม้ฤดูวสันต์ เห็ดหอมและผักกาดเขียว ลงในน้ำแกงข้นที่ทำจากกระดูก เพื่อทำเป็นไส้
“น้ำแกงทำให้เกี๊ยวดูดซับน้ำ” ลุงใหญ่พยักหน้าชื่นชม
เดิมทีเนื้อหมูมีกลิ่นคาว ทว่าการใช้น้ำแกงเข้มข้นที่ต้มจากกระดูกใหญ่เทลงไปจะช่วยขจัดกลิ่นเนื้อไปได้มาก โดยที่ไม่ส่งผลต่อรสชาติของตัวมันเอง กล่าวได้ว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดยิ่งนัก
ความหวานของมันเทศกับความเค็มของไส้เข้ากันได้อย่างลงตัว น้ำแกงกลิ่นหอมเข้มข้น เนื้อสดนุ่มเด้ง แป้งเกี๊ยวนุ่มหนึบ ความหวานเจืออยู่ในกลิ่นหอมเค็มชวนให้น้ำลายสอ
ส่วนแม่นางตู้ทำเป็นขนม นำฟักทองมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น นำไปนึ่งแล้วบดให้เละ เติมน้ำตาลกับนมเล็กน้อยผสมกับแป้งให้เข้ากัน จากนั้นใส่พุทราจีนและพุทราแปรรูปเหลวเพื่อเพิ่มรสชาติ ขนมถ้วยฟูที่นึ่งออกมาไม่เพียงแต่นุ่มและหอมหวาน ยังแฝงด้วยรสเปรี้ยว
ทว่ายังไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่ จนกระทั่ง… แม่นางตู้บดเนื้อแพะและนำไปอบแห้งจนเป็นผง จากนั้นจึงโรยทั่วหน้าขนมถ้วยฟู รสชาติของขนมชนิดนี้จึงเปลี่ยนไปทันที
“ดี ดี ดี!”
หลังจากที่พ่อครัวรุ่นใหญ่ได้ลิ้มรส เขาก็กล่าวสามคำติดกัน แสดงถึงความชื่นชอบในขนมจานนี้
หลังจากกินขนมถ้วยฟูแล้ว อาหารอีกจานก็ถูกนำขึ้นมา มันคือชามบะหมี่สีเหลืองส้มปริมาณไม่มาก มีเพียงก้อนเล็กๆ ราดด้วยน้ำปรุงรสสีแดงสดแวววาวเป็นชั้นๆ ประดับด้วยใบไม้สีเขียวสองใบ การจัดวางไม่นับว่าประณีต ทว่าก็สามารถทำให้ผู้ที่เห็นเกิดประกายในแววตา จนผู้คนที่เฝ้ามองต่างน้ำลายสอไปตามๆ กัน
พ่อครัวรุ่นใหญ่ลิ้มลองบะหมี่คำแรก เส้นไม่ถือว่านุ่ม แข็งนิดๆ เสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยกินบะหมี่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ทว่าเป็นความแข็งกร้าวที่ทรงพลัง เมื่อชิมน้ำแกง กลิ่นหอมของเนื้อวัวกระจายไปทั่วริมฝีปากและฟัน พ่อครัวผู้นั้นถึงกับตกใจ
ราชวงศ์โจวห้ามฆ่าวัว ผู้ใดกล้านำเนื้อวัวมาทำอาหารเช่นนี้?
เขารีบเรียกเพื่อนพ่อครัวคนอื่นๆ หลังจากถามความ จึงได้รู้ว่าน้ำแกงไม่ได้ทำจากเนื้อวัวทว่าทำจากเต้าหู้
“เต้าหู้รึ?” พ่อครัวรุ่นใหญ่ไม่เชื่อ
เพื่อนคนนั้นยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าดูพวกเขาทำด้วยตาตนเอง เป็นเต้าหู้จริงๆ”
พ่อครัวรุ่นใหญ่อยู่มาครึ่งชีวิต เขาเพิ่งเคยลิ้มลองเต้าหู้ที่มีรสชาติเหมือนเนื้อวัวเป็นครั้งแรก แล้วยังมีเส้นบะหมี่ที่แปลกประหลาดและทรงพลังอีก…จู่ๆ พ่อครัวรุ่นใหญ่ก็คิดว่า การแข่งขันในครานี้เริ่มจะน่าสนใจมากขึ้นเสียแล้ว
“ใช่กลิ่นนี้รึ?” ลุงใหญ่เอ่ยถาม
ซู้ดด~ อวี๋หวั่นดูดเส้นบะหมี่ราดน้ำแกงรสเนื้อวัวคำสุดท้ายเข้าปาก พร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “กลิ่นนี้ล่ะ!”
เหมือนกับโลกก่อนทุกประการ
บะหมี่ที่อวี๋หวั่นทำจะไม่เติมน้ำระหว่างการหมัก และใช้เฉพาะไข่เท่านั้น แป้งที่ได้ยิ่งนวดยิ่งแข็ง เหนียวแน่นและแยกเส้น ส่วนน้ำแกงลุงใหญ่เป็นคนปรุง อวี๋หวั่นเพียงบอกคร่าวๆ ทว่าลุงใหญ่ก็ปรุงได้รสชาติของเนื้อวัวจริงๆ
หลังจากรอบแรก พ่อครัวข้างๆ ถูกคัดออกไปถึงสี่คน
วัตถุดิบที่สองเป็นแพะครึ่งตัวที่เพิ่งเชือดสดๆ กับถั่วเหลืองแช่
พ่อครัวโหยวทำเนื้อแพะอบถั่วเหลือง ซึ่งตรงตามกฎ และเข้ารอบไปด้วยรสชาติอันยอดเยี่ยม
แม่นางตู้ทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะกับขนมเปี๊ยะ แม้รสชาติเนื้อแพะจะไม่ดีเท่าของพ่อครัวโหยว ทว่าขนมเปี๊ยะกลับรสชาติเลิศล้ำเหนือคำบรรยาย ทั้งกรอบและหวาน ทั้งยังไม่เละเกินไป หากไม่ใช่ว่าต้องเผื่อท้องไว้ชิมอาหารจานอื่น พ่อครัวรุ่นใหญ่ก็อยากให้แม่นางตู้ทำให้อีกสักสองสามจาน
สกุลอวี๋ทำเนื้อแพะนึ่งม้วน ถั่วเหลืองทำเป็นเต้าหู้อ่อนกับฟองเต้าหู้ เนื้อแพะพันอยู่ด้านนอก ฟองเต้าหู้อยู่ด้านใน นำไปนึ่งก่อนแล้วจึงนำมาทอดเพื่อให้ไขมันที่ขาแพะซึมออกมาอย่างทั่วถึง จับคู่กับเต้าหู้เย็นๆ หนึ่งช้อน ช่วยลดความเลี่ยนและเพิ่มความสดชื่น
รสชาตินับว่าอร่อย พ่อครัวรุ่นใหญ่นึกสงสัย “พวกเขาขายเต้าหู้รึ? เหตุใดอาหารทุกจานล้วนใช้เต้าหู้เป็นส่วนประกอบทั้งหมด?”
เพื่อนพ่อครัวตอบ “พวกเขาก็ขายเต้าหู้น่ะสิ!”
พ่อครัวรุ่นใหญ่ “…”
หลังจากรอบที่สอง เหลือเพียงพ่อครัวโหยว แม่นางตู้ ลุงใหญ่และพ่อครัวเจียงจากหอหม่านเจียงเท่านั้น
รอบสุดท้ายของการแข่งขันจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วยาม ผู้คนส่วนหนึ่งเข้าไปพักในห้องด้านหลัง
ลุงใหญ่หมดแรงนั่งเหนื่อยหอบอยู่บนเก้าอี้
อวี๋หวั่นเปิดฝาหม้อ “น้ำหมดแล้ว ข้าจะไปเอาน้ำมาเติม”
“ข้าไปเอง!” อวี๋เฟิงคว้ากาน้ำชา แล้วหันตัวเดินออกจากห้อง
อวี๋ซงนั่งกินหมั่นโถวอยู่ด้านข้าง เขาก็หมดแรงเช่นกัน ตอนที่เขาทำอาหารในงานเลี้ยงของคฤหาสน์ไป๋ทั้งวัน ยังไม่เหนื่อยยากเท่าครึ่งหนึ่งของวันนี้เลย สาเหตุหลักๆ คือความตึงเครียดและความหวาดกลัว
เขามองไปที่อวี๋หวั่นที่กำลังง่วนกับการเก็บถั่วงอก “เจ้าไม่เหนื่อยรึ?”
อวี๋หวั่นส่ายหัว “ข้าไม่เหนื่อย”
และเก็บถั่วงอกต่อไป
อวี๋ซงที่แม้แต่การขยับนิ้วก็ยังยาก “…”
อวี๋หวั่นเลือกถั่วงอกและแกะข้าวโพด เมื่อยังไม่เห็นอวี๋เฟิงกลับมา เธอจึงลุกขึ้นและเอ่ยว่า “ข้าจะไปตามพี่ใหญ่และไปเอาน้ำแข็งมา”
ลุงใหญ่เจ็บขาอีกครั้ง ต้องประคบเย็นสักหน่อย
อวี๋หวั่นเดินไปที่โถงใหญ่ของหอเทียนเซียง เดินไปได้เพียงครึ่งทางก็เห็นอวี๋เฟิงกำลังถูกผู้จัดการชุยลากเข้าไปในห้อง
ยากนักที่จะได้พบคุณหนูไป๋สักครั้ง อวี๋หวั่นจึงไม่เข้าไปรบกวน เธอถามเสี่ยวเอ้อร์ที่โถงใหญ่เพื่อขอชาร้อนสักหม้อ “เอ่อ ที่นี่มีน้ำแข็งก้อนรึไม่?”
“มี อยู่ที่อุโมงค์เก็บน้ำแข็ง” เสี่ยวเอ้อร์ยุ่งเกินกว่าไปนำมาให้ จึงชี้ทางให้อวี๋หวั่น “เดินตรงไปออกประตูหลัง เดินผ่านสวนเล็กๆ แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเดินไปตามทางเดินก็จะถึง”
“ขอบคุณมาก” อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณและเดินไปยังอุโมงค์เก็บน้ำแข็งพร้อมกับกาน้ำชา
อีกด้านหนึ่ง เหยียนหรูอวี้กำลังเดินลงมาเพื่อพักหายใจ นางถูกเด็กๆ รบกวนจนไม่อยากอยู่ในห้องต่อ
นางเดินเล่นในสวน พลันหันไปเห็นอวี๋หวั่นที่กำลังเดินไปประตูด้านหลังห้องโถง
อวี๋หวั่นหันหลังเดินจากไป นางไม่แน่ใจว่าจำผิดคนหรือไม่ จึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่ถูกอวี๋หวั่นถามเมื่อครู่ “เจ้า มานี่หน่อย”
เมื่อเห็นว่านางแต่งตัวดี เสี่ยวเอ้อร์จึงไม่กล้าเมินเฉย รีบเดินเข้าไปหา “แม่นางต้องการสิ่งใดหรือ?”
เหยียนหรูอวี้มองด้านหลังอวี๋หวั่นและกล่าวว่า “คนผู้นั้นเป็นใคร?”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบ “ผู้ติดตามมาแข่งขันขอรับ เป็นใครข้าน้อยไม่ทราบ ให้ไปถามไหมขอรับ?”
เหยียนหรูอวี้ส่งเสียงอืมเบาๆ
เสี่ยวเอ้อร์วางงานทั้งหมดในมือ และไปสอบถามเพื่อนของเขา ได้ความว่า “เป็นสตรีแซ่อวี๋ นางเป็นผู้ช่วยจากหอจุ้ยเซียน”
แซ่อวี๋? ใยจึงเป็นนาง?
แววตาของเหยียนหรูอวี้ปรากฏร่องรอยความรังเกียจ “เสียทีที่พวกเจ้าได้ชื่อว่าการแข่งขันใหญ่ของพ่อครัวระดับเทพ กลับปล่อยให้แมวสุนัขที่ใดเข้ามาเดินป้วนเปี้ยนนี่ที่”
“เอ่อ…” เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึง
ตอนแรกเหยียนหรูอวี้ลงมาชั้นล่างหมายจะพักผ่อน ทว่ากลับยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิม “เอาล่ะ เจ้าไปได้”
“…ขอรับ”
“คุณหนู” สาวใช้คนสนิทของนางเดินมาด้านหน้า “สตรีบ้านนอกนั่นช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่าน ใยท่านไม่ใช้โอกาสนี้ สั่งสอนนางให้รู้จักเข็ดหลาบเสียหน่อยเล่าเจ้าคะ!”
“สั่งสอนอันใด?” เหยียนหรูอวี้กล่าว
สาวใช้เอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “นางมิได้มาที่นี่เพื่อแข่งขันหรอกหรือ? หาใครสักคนที่ควบคุมวัตถุดิบของนางมาช่วยจัดการให้ เพียงเท่านี้ นางก็ไม่ได้ผ่านเข้ารอบแล้ว เรื่องนี้คุณหนูไม่จำเป็นต้องออกหน้าเอง เถ้าแก่สวี่ต้องการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหนู คิดดูแล้ว เขาคงเต็มใจช่วยคุณหนูกำจัดเสี้ยนหนามนะเจ้าคะ”
“ผู้ใดบอกว่านางเป็นเสี้ยนหนามของข้า?” เหยียนหรูอวี้มองสาวใช้อย่างเยียบเย็น
หน้าผากของสาวใช้ผุดเหงื่อเย็น รีบก้มหน้าและกล่าวว่า “บ่าวพูดผิดไป คุณหนูจิตใจกว้างขวาง ไม่มีทางสนใจสตรีบ้านนอกผู้นั้นเป็นแน่!”
เหยียนหรูอวี้กำผ้าคลุมในมือแน่น “หากรู้แล้วก็ดี”
สาวใช้ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดอีก
เหยียนหรูอวี้รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจถี่ แค่มองเห็นผู้คนก็ยังรู้สึกอารมณ์เสีย “ถอยไป ไม่ต้องตามมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ถอยออกไปอย่างหวาดกลัว
เหยียนหรูอวี้มุ่งหน้าไปทางสวนด้วยความหงุดหงิด ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องห้องหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนด้านในอย่างไม่ตั้งใจ
“ใช่พ่อครัวอวี๋อะไรนั่นรึไม่?”
อวี๋?
เท้าของเหยียนหรูอวี้ชะงัก
“ที่แท้ก็เป็นเขา เรื่องนี้โจษจันไปทั่วเมือง คนทั้งเมืองหลวงรู้แล้วว่าอาหารจานเด่นของหอเทียนเซียงถูกพ่อครัวหยางขโมยสูตรมาจากเขา พวกเรามาถึงขั้นนี้แล้ว มีตาหามีแววไม่!”
“เช่นนี้ พวกเราหอหม่านเจียงก็กำลังตกอยู่ในอันตรายสินะ?”
“แม้ฝีมือพ่อครัวเจียงนับว่าดี ทว่าหากเทียบกับสามคนนั้น…ก็แทบไม่มีโอกาสชนะ!”
“จะทำเช่นไรดี? พ่ายแพ้ตั้งแต่วันแรก กลับไปคนจากร้านชิงเหอคงต้องหัวเราะเยาะพวกเราเป็นแน่!”
“ข้ามีวิธี พวกเจ้ามานี่สิ…”
แต่ก่อนหอหม่านเจียงเป็นบ่อนพนัน ต่อมาจึงเปลี่ยนมาทำสิ่งสุจริต ทว่านิสัยชั่วร้ายที่ฝังรากลึกในกระดูกก็ยังไม่เปลี่ยนไป แผนการชั้นต่ำจึงนับว่าเป็นเรื่องง่ายดาย
เหยียนหรูอวี้ลอบฟังอย่างเงียบๆ
คนพวกนี้มิได้โง่เขลา รู้จักเลือกลงมือกับลุงขาเป๋และสตรี ทว่าลุงใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ซึ่งมีอวี๋ซงเฝ้าอยู่ ดังนั้น อวี๋หวั่นที่อยู่คนเดียวจึงกลายเป็นเป้าหมายเดียวของพวกเขา
แม่นางอวี๋เอ๋ย แม่นางอวี๋ นี่หาใช่ความตั้งใจของข้าที่จะทำร้ายเจ้า ทว่าเจ้าแส่หาเรื่องเอง
เหยียนหรูอวี้เสียบปิ่นมุกบนมวยผมแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบๆ
…
หอเทียนเซียงร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ห้องเก็บน้ำแข็งก็ยังหรูหรามีระดับ ใช้ไข่มุกราตรีขนาดใหญ่สองสามเม็ดให้แสงสว่าง
อวี๋หวั่นเดินลงบันไดไปพร้อมกับถังเหล็ก
อุโมงค์ที่เก็บน้ำแข็งมืดมิดและหนาวเหน็บ
ก้อนน้ำแข็งด้านในมีขนาดใหญ่ แต่ดีที่มีเครื่องมือพร้อมใช้งาน
อวี๋หวั่นวางถังเหล็ก หยิบค้อนกับแท่งเจาะน้ำแข็งขึ้นมาแล้วเริ่มเจาะน้ำแข็ง
เจาะไปเพียงไม่ถึงสองครั้ง ประตูห้องเก็บน้ำแข็งก็ปิดลงพร้อมกับเสียงกลอนดังลั่น!
แสงในอุโมงค์ที่เก็บน้ำแข็งกลับมืดลง ความเย็นก็เพิ่มขึ้นในฉับพลัน
อวี๋หวั่นขมวดคิ้วประหลาดใจ เดินขึ้นไปตามบันไดที่มีแสงสว่างเลือนรางของไข่มุกราตรี เธอดึงประตูห้องเก็บน้ำแข็งแต่พบว่าประตูถูกปิดกั้นไว้จากด้านนอก
ผู้ใดช่างไร้คุณธรรม?
เธอเจาะน้ำแข็งเสียงดังขนาดนี้ ไม่ได้ยินหรืออย่างไร?
หรือว่า…จงใจ?
กริ๊ง!
มีวัตถุตกลงมาจากที่ใดสักแห่งในอุโมงค์เก็บน้ำแข็ง ควันหนาทึบเริ่มฟุ้งกระจายออกมา
ปิดประตูขังไม่พอ ยังวางยาเธออีกหรือ?
อวี๋หวั่นปิดจมูก เมื่อเห็นกลุ่มควันหนาแน่นคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ คิ้วเรียวพลันมุ่นขมวดเข้าหากัน
“คงไม่เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่?”
“จะเกิดเรื่องใดได้? รอให้การแข่งขันจบลงก็ค่อยปล่อยนางออกมา นางโตแล้วมีมือมีเท้า จะปล่อยให้ตนเองหนาวตายในนี้ได้รึ?”
“ถูกของเจ้า เช่นนั้นเรารีบไปกันเถิด การแข่งใกล้จะเริ่มแล้ว”
ชายจากหอหม่านเจียงค่อยๆ แอบออกไป
สารเลว!
กล้าขังเธอแล้วยังวางยาเธออีก!
อวี๋หวั่นกลั้นหายใจและเจาะประตูด้วยค้อนกับที่เจาะน้ำแข็ง
…
ในที่สุดอวี๋เฟิงก็หลุดพ้นจาก ‘กรงเล็บปีศาจ’ ของผู้จัดการชุย เดินกลับไปที่ห้องพร้อมกับกาน้ำชาร้อน แต่กลับไม่พบอวี๋หวั่น
“อาหวั่นอยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยถาม
อวี๋ซงถามอย่างประหลาดใจ “นางมิได้ไปหาท่านหรือ?”
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้พบนาง”
อวี๋ซงหยัดตัวลุกขึ้น “ข้าจะไปตามหานาง!”
อวี๋เฟิงมองดูบิดาที่ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า “หากท่านพ่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นพวกเราสามคนจะเป็นห่วง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามหานางเอง”
อวี๋ซงไม่พอใจ “ใยท่านไม่อยู่ดูแลท่านพ่อแล้วให้ข้าไปเล่า?”
อวี๋เฟิงมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง
อวี๋ซงหันหน้าหนีด้วยความรู้สึกผิด “ท่านจะไปก็ไป”
อวี๋เฟิงวางกาน้ำชาแล้วเดินออกไป
……………………………………