บทที่ 4 คนที่ล้มคือเจ้า (2)
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อเทียบกัน เต้าหู้เหม็นซึ่งเป็นหัวใจสำคัญมาตลอด ความอ่อนตัวของเต้าหู้ยี้ดูจะสูงกว่า ทั้งไม่ทำให้ลำดับความสำคัญผิด และใส่สีเพิ่ม ‘กลิ่นหอม’ ได้อีกด้วย แน่นอนว่าต้องใช้ระดับฝีมือที่สูงพอตัว
นายท่านฉินเคยชิมเต้าหู้ยี้ของอวี๋หวั่น ทว่ามาพร้อมกับเต้าหู้เหม็นที่เพิ่งทอดออกจากกระทะ รสเค็มและเย็น กับกลิ่นแหลมและรสชาติละมุน แต่ผัดอย่างไร? จะไม่เหม็นเกินไปหรือ?
เต้าหู้เหม็นก็เหม็นด้วยตัวมันเองแล้ว คู่กับเต้าหู้ยี้คงไม่เป็นไร ทว่าหาเป็นวัตถุดิบอื่น…
นายท่านฉินกระแอมในลำคอ “อะแฮ่ม! เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น? ข้าได้ยินมาว่าแม่นางตู้นำน้ำกุหลาบมา”
น้ำกุหลาบเป็นน้ำที่ทำจากการนำกลีบกุหลาบสดมาบดให้เละกับเครื่องปรุงที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว ราดด้วยน้ำผึ้ง รสชาติหวานมัน กลิ่นหอมดอกไม้อบอวลไปทั่วทุกอณูริมฝีปากและซี่ฟัน เป็นวัตถุดิบระดับสูง
“ไม่เปลี่ยน” คนสกุลอวี๋ตอบอย่างพร้อมเพรียง
“…” ได้ เช่นนั้นก็เอาที่พวกเจ้าสบายใจเถิด
รอบสุดท้ายของการแข่งขันในวันนี้ ผู้ชนะจะได้รับเกียรติไปแข่งขันกับพ่อครัวเทพเป้า ส่วนจะได้ชัยชนะหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต ขอเพียงได้ยืนอยู่บน ‘เวทีประลอง’ กับพ่อครัวเทพเป้าได้ ก็เพียงพอจะทำให้ชื่อเสียงของหอจุ้ยเซียนดังกระฉ่อนไปทั่วหล้า
ทั้งโรงเตี๊ยมเวยหย่วนและหอจุ้ยเซียนต่างก็เป็นม้ามืดที่เผยตัวออกมากะทันหัน ทุกคนต่างดูแคลนและเดาว่าพวกเขาคงเป็นได้แค่หินรองเท้าให้แม่นางตู้ย่ำผ่านไปเท่านั้น
“ผู้ใดว่าล่ะ!” ไป๋ถังเดินออกจากห้อง ตะโกนใส่แขกที่มารวมตัวแสดงความคิดเห็นอยู่ริมทางเดิน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อครัวของหอจุ้นเซียนคือผู้ใด? ก็พ่อครัวอวี๋ที่ถูกหอเทียนเซียงขโมยผลงานอย่างไรเล่า! คนที่ทำอาหารจานเด่นทั้งห้าของหอเทียนเซียงก็คือเขา! เป็นหินรองเท้าอันใด? แม่นางตู้เป็นหินรองเท้าของพ่อครัวอวี๋ยังใกล้เคียงเสียกว่า!”
แขกอายุน้อยคนหนึ่งกระโดดออกมา “นางสมองทึบนี่มาจากที่ใดกัน! แม่นางตู้เป็นศิษย์สายตรงของพ่อครัวเทพเป้า! เอาคนเช่นนั้นมาเทียบกับแม่นางตู้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่า แนวคิดอาหารจานเด่นทั้งห้าเป็นของเขาจริง ทว่าพ่อครัวหยางเป็นคนทำให้มันสมบูรณ์แบบ หากไม่ใช่พ่อครัวหยาง ผู้ใดหรือจะรู้จักเขา?”
“เจ้า…เจ้า… เจ้าเหลวไหล! ไร้สาระ!” ไป๋ถังโกรธจนแทบระเบิด เป็นคนแบบใดกัน? ยังจะคิดว่าพ่อครัวอวี๋ได้รับประโยชน์จากโจรอีกกระนั้นรึ?
“คุณหนู พอเถิด” ผู้จัดการชุยเกลี้ยกล่อม
ไป๋ถังโกรธเกรี้ยว “ให้ข้าไม่ทำกระไรเลยได้อย่างไร? คิดว่าข้าแยกแยะถูกผิดไม่ได้รึ? คนพวกนี้ไร้สมองกันหมด!”
“ผู้ใดไร้สมอง? เจ้ากล่าวได้อย่างไร?” แขกอีกคนเอ่ยขึ้น
ไป๋ถังทำให้บรรดาแขกเริ่มโกรธเคือง ผู้จัดการชุยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย จึงรีบโน้มน้าวให้คุณหนูกลับไปที่ห้อง
ผู้จัดการชุยตักเตือนอย่างจริงใจ “ไอ้หยา คุณหนู ใยท่านลดตัวไปตีฝีปากกับพวกเขาเล่า? คำกล่าวที่ว่า จะเป็นล่อหรือม้า ลากออกมาก็รู้เอง สุดท้ายแล้วก็ยังต้องรอดูผลการแข่งขันอยู่ดี”
“ข้ารู้! แต่ข้าโกรธ!” ไป๋ถังเอ่ยพลางเปิดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมอง อย่าคิดว่านางไม่รู้ เหยียนหรูอวี้อยู่ชั้นบนนั่น คอยจ้องมองความเคลื่อนไหวของคนสกุลอวี๋ ทว่าสิ่งที่ไม่รู้คือเหยียนหรูอวี้กำลังรอชมเรื่องน่าขันของสกุลอวี๋อยู่หรือไม่?
การแข่งขันยังไม่ทันเริ่ม หลายคนก็มาแสดงความยินดีกับเหยียนหรูอวี้กับแม่นางตู้เสียแล้ว
เหยียนหรูอวี้มีแผนของนาง ร้านค้าทั้งหมดภายใต้ชื่อสกุลเหยียนถูกยึดหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิด ทว่าตอนนี้ค่อยๆ ถูกส่งคืนมาทีละแห่ง ในจำนวนนั้นมีโรงเตี๊ยมขนาดเล็กและร้านอาหารมากมาย หากแม่นางตู้คว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ในคราวเดียวคงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนาง
“ข้าขอแสดงความยินดีกับแม่นางตู้ล่วงหน้า ข้าจะจัดโต๊ะเหล้าสองตัวเพื่อแสดงความยินดีแก่แม่นางตู้ในภายหลัง!”
“ดี ดี” เหยียนหรูอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“แม่นางตู้มั่นใจหรือไม่?” หลังจากผู้มาแสดงความยินดีจากไป เหยียนหรูอวี้ก็ถามแม่นางตู้อย่างนุ่มนวล
แม่นางตู้พยักหน้า “ข้าฝึกฝนร่ำเรียนมาอย่างหนักก็เพื่อวันนี้ ข้าต้องชนะ”
เหยียนหรูอวี้คลี่ยิ้ม “ด้วยชื่อเสียงของแม่นางตู้ ท่านยังสนใจการแข่งขันที่ไม่สำคัญนี่อีกหรือ?”
แม่นางตู้ตอบ “ข้าหาได้ทำเพื่อเอาชนะผู้อื่น หากแต่เป็นตัวข้าเอง ข้าต้องการพิสูจน์ให้ท่านอาจารย์ได้เห็น ว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะสืบทอดมรดกวิชาของเขา”
มรดกวิชาของพ่อครัวเทพเป้า!
ใช่แล้ว บุตรชายของพ่อครัวเทพเป้าหายตัวไป เขาเฝ้าตามหามาตลอดหลายปี ทว่าก็ไม่พบ เขาเริ่มอายุมากแล้ว ในชีวิตนี้คงไม่มีวันที่บิดากับบุตรได้พบหน้ากันอีก มรดกวิชาของเขาจำต้องมีผู้สืบทอด ในฐานะศิษย์ที่เขาเคยภาคภูมิใจที่สุด แม่นางตู้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เหยียนหรูอวี้ดีใจ นางเชิญแม่นางตู้กลับมา ก็ได้สืบทอดมรดกวิชาของพ่อครัวเทพเป้า นางโชคดีกระไรปานนี้?
แม่นางตู้ก้มมองมือ “อาจารย์ไม่เคยพอใจในฝีมือของข้า ทว่าวันนี้ ข้ามั่นใจว่าจะทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิด”
การแข่งขันใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว เหยียนหรูอวี้ไปส่งแม่นางตู้ที่ชั้นล่างด้วยตนเองเพื่อเป็นการให้เกียรติ ทว่าเมื่อออกจากประตูหลังของห้องโถงก็พบกับอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงที่กำลังไปยังสถานที่จัดการแข่งขัน
หลังจากแข่งมาสองวัน สองพี่น้องก็จำแม่นางตู้ได้ แต่เหยียนหรูอวี้ พวกเขารู้จักมานานแล้ว ถึงจะกลายเป็นขี้เถ้าก็ยังจำได้ดี
แม่นางตู้ถือโถลายครามสีฟ้าขาวที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามไว้ในมือ คาดว่าด้านในคงเป็นน้ำกุหลาบเครื่องปรุงสูตรลับของนาง กระทั่งโถก็ยังวิจิตรงดงามเพียงนี้ คล้ายกับเป็นสิ่งล้ำค่าเกินบรรยายของชนชั้นสูง
เมื่อเทียบกับโถดินเผาในอ้อมแขนอวี๋หวั่น กลับดูช่างต่ำต้อยน่าอับอาย
เหยียนหรูอวี้กลั้นยิ้มมองอวี๋หวั่น “แม่นางอวี๋เตรียมวัตถุดิบใดมาหรือ?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเมินเฉย “บอกเจ้าไปคงไม่เป็นไร มันคือเต้าหู้ยี้ เคยกินหรือไม่?”
แน่นอนเหยียนหรูอวี้ไม่เคยกิน ทว่านางสังเกตเห็นแม่นางตู้ที่อยู่ข้างกายคิ้วขมวดเล็กน้อย
หรือเป็นเพราะเต้าหู้อะไรนี่ทำให้แม่นางตู้ที่เตรียมตัวมาอย่างดีกลับรู้สึกวิตกหวาดกลัว?
เหยียนหรูอวี้จำได้ว่าในงานเลี้ยงวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย แม่หลินวางเต้าหู้เหม็นของสกุลอวี๋ไว้บนโต๊ะของแม่นางตู้ หลังจากแม่นางตู้ได้ลิ้มรส ก็เอ่ยออกมาห้าคำ ‘ข้าไม่อาจทำได้’
ในโลกนี้ยังมีอาหารที่แม่นางตู้ทำไม่ได้
ขณะนั้นเอง พนักงานสองคนกำลังยกโต๊ะมาทางอวี๋หวั่น พวกเขาไม่สังเกตเห็นอวี๋หวั่นที่อยู่หน้าประตู
อวี๋หวั่นกำลังจะก้าวไปด้านข้าง ทว่า…
“แม่นางอวี๋!” เหยียนหรูอวี้เรียกเธอให้หยุด
“ยังมีกระไรอีกรึ?” สิ้นเสียง ชายแบกโต๊ะก็ชนเธอเข้าเต็มแรง โถในอ้อมแขนร่วงตกลงพื้น เต้าหู้ยี้ด้านในแตกกระจาย ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นเกินบรรยายก็ลอยฟุ้งไปทั่วทุกทิศ
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!” ชายแบกโต๊ะรีบกล่าวขอโทษอย่างลนลาน ยังไม่ทันเอ่ยจบก็รีบบีบจมูก “ให้ตายสิ! เหม็นอันใดปานนี้!”
ผู้คนรอบข้างต่างเหม็นจนแทบอาเจียน
คนที่กินเต้าหู้เหม็นมีน้อยนัก ส่วนมากไม่รู้ว่าเต้าหู้ยี้คืออะไร แต่ละคนล้วนมีสีหน้ารังเกียจ
เหยียนหรูอวี้เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปลายจมูก หมายจะทำให้อวี๋หวั่นอับอาย “แม่นางอวี๋ หากเจ้าไม่มีวัตถุดิบก็บอกข้ามาดีๆ เถิด ข้าเตรียมให้เจ้าได้ ใยต้องเอาของที่มีกลิ่นเช่นนี้มาทำอาหารเล่า? การพ่ายแพ้ในการแข่งขันมิใช่เรื่องใหญ่ ทว่าการทำลายท้องของพ่อครัวชาววังเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง”
อวี๋หวั่นมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าจงใจ?”
“ข้าไม่ได้คว่ำเสียหน่อย” เหยียนหรูอวี้กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าขอโทษ! ข้าเอง ข้าเอง…โอ้กก” พนักงานผู้นั้นรีบกล่าวขอโทษอีกครั้ง ทว่าด้วยกลิ่นเหม็นอบอวลทำให้ต้องกลับไปอาเจียนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทุกความผิดมีผู้กระทำ ทุกก้อนหนี้มีลูกหนี้ ผู้กระทำคือชายยกโต๊ะ มาโทษผู้อื่นได้อย่างไร?”
“ใช่ ไร้เหตุผลเสียจริง”
ทุกคนกล่าวหาอวี๋หวั่น อวี๋เฟิงพลันคิ้วมุ่นขมวด
“ไปกันเถิด” แม่นางตู้กล่าว
คนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบคงเป็นนาง เพราะนางเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องดี หากไม่มีสิ่งนั้น คนสกุลอวี๋ก็จะกลายเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ให้กับนาง
เหยียนหรูอวี้เดินผ่านอวี๋หวั่นพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างมีชัย และจับมือแม่นางตู้เดินจากไป
ทันทีที่นางก้าวข้ามธรณีประตู อวี๋หวั่นก็ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปอย่างใจเย็น ทำให้เหยียนหรูอวี้สะดุดล้ม
ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเหยียนหรูอวี้ล้มได้อย่างไร รู้แต่เพียงเหยียนหรูอวี้จับมือแม่นางตู้ไว้ เมื่อนางล้มลงก็ลากแม่นางตู้ลงมาด้วยอย่างไม่ทันคาดคิด
โถลายครามสีฟ้าขาวในมือของแม่นางตู้ร่วงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย น้ำกุหลาบหอมกรุ่นไหลนองไปทั่วพื้น
“น้ำกุหลาบ!” แม่นางตู้กรีดร้อง
สีหน้าของเหยียนหรูอวี้พลันแปรเปลี่ยน ใช้สายตาโหดเหี้ยมหันมองจ้องอวี๋หวั่นอย่างอาฆาตแค้น
อวี๋หวั่นหงายมือพร้อมกับส่งคืนประโยคนั้นให้กับนาง “ข้าไม่ได้คว่ำเสียหน่อย”
……………………………