หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 75.2 หวั่นหวั่นรู้ความจริง (2)

บทที่ 75 หวั่นหวั่นรู้ความจริง (2)

Ink Stone_Romance

อวี๋หวั่นสะดุ้งตื่นจากความฝัน
“โอ๊ย!” ดรุณีซึ่งงีบหลับอยู่ที่ขอบเตียงถูกอวี๋หวั่นทำให้ตกใจจนศีรษะโขกกับเสาเตียง
อวี๋หวั่นหายใจหอบ ที่แท้ก็เป็นแค่ความฝัน เธอกลัวแทบตาย
“เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ เมื่อครู่เจ้าตะโกนว่าอะไรนะ?” ดรุณีน้อยลูบศีรษะ แล้วบ่นพึมพำ
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ เธอรู้สึกว่าปวดไปทั้งร่าง ราวกับถูกใครทุบตีก็มิปาน
อวี๋หวั่นเดินมึนงงไปหานาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจดจำนางได้ “คุณหนูไป๋”
ทันทีที่พูดออกไป เธอก็รู้สึกตกใจกับเสียงของตนเอง เธอไปทำอะไรมา? ทำไมเสียงถึงแหบขนาดนี้?
ร่างกายปวดหนึบ เสียงแหบพร่า ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของเธอ…เธอคงไม่ได้…
“เจ้าไม่สบาย” ไป๋ถังกล่าว
“…อ๋อ”
ก็ดี เรื่องพรรค์นี้ต้องทำตอนที่เธอมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่งั้นก็ทำไปเสียเปล่าน่ะสิ
“เมื่อครู่เจ้าฝันถึงอะไรหรือ? ร้องเสียงดังถึงเพียงนั้น” ไป๋ถังถาม
“เรื่องราวปะปนกันไปน่ะ ข้าแทบจะจำไม่ได้แล้ว” ไม่อย่างนั้นเธอจะฝันว่าตนเองเป็นแม่ของเด็กน้อยทั้งสามได้อย่างไร ถึงพวกเขาจะไม่ใช่ลูกของเหยียนหรูอวี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ลูกของเธอเช่นกัน แม้ว่าเธออยากให้พวกเขาเป็นลูกของเธอก็ตาม
ไป๋ถังแตะมือลงบนหน้าผากของอวี๋หวั่น “ยังมีไข้อยู่เล็กน้อย”
อวี๋หวั่นทำตาโต เธอมองไปรอบห้องอยู่นาน รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคย แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน จะพูดให้ชัดก็คือเธอนึกถึงความเชื่อมโยงของไป๋ถังกับสถานที่แห่งนี้ไม่ออก
“ข้าอยู่ที่ไหนหรือ?” เธอถาม ความทรงจำสุดท้ายของเธอก็คือที่ริมทะเลสาบ เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ข้างเธอ เธอรู้สึกสบายใจจนผล็อยหลับไป
ดวงตาสวยดุจผลซิ่งของไป๋ถังถลึงใส่เธอ “ก็อยู่ที่จวนคุณชายเยี่ยนน่ะสิ! เจ้าหลับไปตั้งสามวัน!”
“ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลย…” อวี๋หวั่นยกแขนซึ่งปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาแตะบนหน้าผาก “แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ไป๋ถังหัวเราะ “พี่ใหญ่เจ้าไหว้วานให้ข้ามาดูแลเจ้า”
ยังไม่ทันแต่งงาน ก็เรียกใช้งานภรรยาซะแล้ว เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่มองนางเป็นคนนอก แต่ฟังจากที่นางพูด เยี่ยนจิ่วเฉาน่าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนที่บ้านเธอฟังแล้ว ส่วนเรื่องที่พี่ใหญ่ไหว้วานไป๋ถังมาดูแลเธอ หรือว่าท่านพ่อท่านแม่เธอไหว้วานมา ก็ไม่อาจรู้ได้
แน่นอนว่า ที่บอกว่ามาดูแลเธอนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง จวนคุณชายเยี่ยนมีบ่าวไม่รู้เท่าไร ทั้งยังสามารถเชิญหมอที่เก่งที่สุดมาได้ จะต้องให้คุณหนูไป๋มาเฝ้าเธอเพื่ออะไร? ไม่สู้บอกมาเลยว่าให้นางมาคอยเฝ้า เพื่อไม่ให้เยี่ยนจิ่วเฉารังแกเธอ
“เขามาดูเจ้าทุกวัน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่บอกผู้ใดหรอก” ไป๋ถังล่วงรู้ความคิดของอวี๋หวั่น นางหรี่ตาให้อวี๋หวั่นอย่างมีเลศนัย
เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าคนที่ครอบครัวของเธอส่งมาคอยเป็นหูเป็นตาก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกประเดี๋ยวไป๋ถังก็คงจะถูกเยี่ยนจิ่วเฉาซื้อตัวไปแล้ว
“เด็กๆ เล่า?” อวี๋หวั่นเป็นห่วงเด็กน้อยทั้งสามมากที่สุด
ไป๋ถังเหลือบตามอง “พวกเขาน่ะหรือ อยู่ห้องข้างๆ จะให้พาพวกเขามาหรือไม่?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า การเคลื่อนไหวเบาๆ เช่นนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกราวกับศีรษะจะหลุดออกไป ดูแล้วเธอน่าจะป่วยหนักพอสมควร ร่างนี้ไม่ค่อยป่วย หรือว่าด้วยเหตุผลนี้ เมื่อป่วยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะป่วยหนักไปพักใหญ่
“เจ้าไม่อยากเจอพวกเขาหรือ?” ไป๋ถังถามอย่างมีเลศนัย
อวี๋หวั่นปวดหัวจนไม่ทันได้สังเกตความหมายแฝงในคำพูดและสายตาของไป๋ถัง “ข้าไม่อยากให้พวกเขาติดหวัด”
แม้ว่าเธอจะอยากเจอพวกเขาตอนนี้ แต่เด็กเล็กแบบพวกเขา ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะแย่เอา
ไป๋ถังได้ยินเรื่องเด็กๆ จากเยี่ยนจิ่วเฉามาบ้างแล้ว จึงรู้ว่าอวี๋หวั่นเป็นแม่แท้ๆ ของเด็กทั้งสาม ในตอนที่นางได้ยินเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางตกใจจนแทบอ้าปากค้าง แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวนางก็พลันรู้สึกดีใจแทนอวี๋หวั่น อย่างไรเสียนางก็เห็นแล้วว่าอวี๋หวั่นก็ชอบเด็กๆ เหล่านี้ อวี๋หวั่นเกลียดเหยียนหรูอวี้มากเพียงใด ทว่าก็ไม่เคยหมางเมินพวกเขาเพราะเรื่องนี้เลย
เลือดข้นกว่าน้ำนั้นจริงแท้ กระนั้นสัญชาตญาณของอวี๋หวั่นก็มิใช่เรื่องหลอกลวง
ถ้าหากอวี๋หวั่นยอมให้ความเคืองแค้นมาบังตา ก็คงจะลงมือทำเรื่องที่ตนจะต้องเสียใจภายหลังไปแล้ว
ดังนั้นจึงมีประโยคหนึ่งที่ว่าอย่างไรนะ? ทำดีกับผู้อื่น ก็ย่อมดีกับตนเอง
ส่วนสตรีใจคอโหดเหี้ยมอย่างเหยียนหรูอวี้นั้น ทำร้ายผู้อื่นจนตนเองพินาศ สมควรที่สุดท้ายแล้วจะไม่เหลืออะไรเลย
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านมีเรื่องจะพูด?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไป๋ถังยิ้มราวกับคนบ้า “มีข่าวดีหรือ? พี่ใหญ่ข้าขอท่านแต่งงานแล้วหรือ?”
“อะไรกันเล่า!” ไป๋ถ้งหน้าง้ำงอขึ้นมา
“ยังไม่ขอแต่งงาน ท่านก็เลยผิดหวังสินะ?” อวี๋หวั่นเย้าหยอก
ไป๋ถังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากอวี้หวั่น “เจ้าป่วยจนลุกจากเตียงแทบไม่ไหว ยังจะมาหยอกล้อข้าอีก”
“หาความสุขในความทุกข์อย่างไรเล่า” อวี๋หวั่นพูดอย่างอ่อนแรง
ไป๋ถังหัวเราะค่อนแคะเบาๆ
ครั้งแรกที่พบอวี๋หวั่น นางคิดว่าอวี๋หวั่นเถรตรงเป็นท่อนไม้ แต่เมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น ก็รู้สึกว่าอวี๋หวั่นเถรตรงน้อยกว่าที่คิดมาก
ไม่รู้ว่าพี่ชายจะเป็นอย่างไร? ดูภายนอกซื่อสัตย์เถรตรง แต่แท้จริงแล้วอาจเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ก็มีเสียงของฟางมามาดังมาจากด้านนอก “คุณหนูไป๋ แม่นางอวี๋ตื่นแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าจะได้ยกยาเข้าไป”
“ใช่ๆๆ ข้านี่โง่เหลือเกิน ลืมไปเสียแล้วว่าต้องให้เจ้าดื่มยา!” ไป๋ถังลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ฟางมามา แล้วรับถ้วยยาร้อนๆ เข้ามา แล้วพยุงอวี๋หวั่นให้ลุกขึ้น
อวี๋หวั่นดื่มไปหนึ่งคำ ยารสขมจนเธอหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้าบีบจมูกแล้วก็ดื่มเข้าไปรวดเดียวเลย” ไป๋ถังดื่มยามาตลอดหนึ่งเดือนที่แกล้งป่วย จึงเสนอวิธีของตน
“แต่ก็ยังขมอยู่นี่” อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ที่จริงมีไข้อย่างนี้ ดื่มยาเจ็ดวันหาย ไม่ดื่มยาหนึ่งสัปดาห์ก็หาย”
 “อะไรของเจ้า?” ไป๋ถังไม่เข้าใจ
“หมายความว่า อาการป่วยเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องดื่มยา” อวี๋หวั่นวางถ้วยยาลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
“เจ้าก็แค่ไม่อยากดื่มยาใช่ไหมเล่า?” ไป๋ถังเท้าเอวถลึงตาใส่
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “อ่า…จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“ข้าทำให้เจ้าดื่มยาไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ทำให้เจ้าดื่มได้!” ไป๋ถังเดินปึงปังออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉาก็เข้ามาในห้อง
หลังจากกลับมาจากริมทะเลสาบ
มิใช่เพียงอวี๋หวั่นเท่านั้นที่ไม่สบาย เด็กน้อยทั้งสามก็น้ำมูกไหลเช่นเดียวกัน แม้จะอาการไม่หนักเท่าอวี๋หวั่น แต่เมื่อล้มป่วยทั้งแม่ทั้งลูก ก็ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาถึงกับนอนไม่หลับ
เขาสวมเสื้อตัวยาวสีขาวนวล ใบหน้าหล่อเหลา ใต้ตามีรอยคล้ำสีเขียวไข่กาจางๆ
เขาเดินเข้ามา นั่งลงข้างเตียง
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เขาเอ่ยถาม
“ก็ดี” อวี๋หวั่นตอบ
เยี่ยนจิ่วเฉายกถ้วยยาขึ้นมา ชิมไปคำหนึ่ง “ไม่ร้อนแล้ว”
อวี๋หวั่นอยากจะบอกเขาไปว่า ข้าดื่มไปแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยปรนนิบัติใคร ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้อื่นล้วนแต่ปรนนิบัติเขา เขาตักยาขึ้นมาช้อนหนึ่ง แล้วป้อนให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นดื่มเข้าไปคำหนึ่ง “ขมมาก”
แต่ต่อให้ยาจะขมกว่านี้ ในเมื่อเขาป้อนด้วยตนเอง เธอก็ต้องกินเข้าไปอย่างว่าง่าย
เมื่อดื่มยาหมด เขาก็ยัดลูกกวาดเม็ดหนึ่งเข้าปากอวี๋หวั่น
รสเปรี้ยวอมหวานกระจายที่ปลายลิ้น ไม่นานรสขมของยาก็เริ่มจางลง
“เยี่ยนจิ่วเฉา” จู่ๆ เธอก็นึกบางเรื่องออก
“หืม?” เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังเธอ
 อวี๋หวั่นมองประหนึ่งกำลังประเมินเขาอยู่ “ตอนที่ข้าหลับ ท่านพูดอะไรสักอย่างกับข้าใช่ไหม?”
“อะไรหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “เหมือนจะพูดว่า…ลูกของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าแล้ว ท่านเป็นคนพูดใช่ไหม?”
ตอนนั้นเธอกำลังกอดเด็กน้อยทั้งสามอยู่
ประโยคนี้ ทำให้เธอฝันว่าเด็กทั้งสามเรียกเธอว่าท่านแม่ ต้องเป็นเพราะว่าเธอคิดถึงลูกตนเองจนบ้าไปแล้วแน่ๆ จึงฝันว่าเยี่ยนจิ่วเฉาพูดแบบนี้กับตนเอง
เอ…เธอนี่หน้าไม่อายจริงๆ ถึงฝันว่าลูกของคนอื่นเป็นลูกของเธอเอง
เดิมทีคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะด่าเธอสาดเสียเทเสียซะแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “นั่นไม่ใช่ความฝัน เป็นเรื่องจริง”
เจ้ามีลูกจริงๆ มีสามคน
…………………………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset