บทที่ 76 เด็กน้อยผู้มีความสุข พี่จิ่วผู้น่าสงสาร
Ink Stone_Romance
เมื่ออวี๋หวั่นได้ยินดังนั้นก็ตื่นตะลึง เยี่ยนจิ่วเฉาหมายความว่าอย่างไรกัน? อะไรไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริงกัน? เยี่ยนจิ่วเฉาเคยพูดประโยคนี้จริงหรือ?
“ลูกของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยู่ในอ้อมกอดของเจ้า”
เธอกอดเด็กน้อยทั้งสามเอาไว้นี่…
หรือว่า…
อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา “ท่านพูดว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบได้หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูด
เขาเป็นถึงคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน จะให้มาพูดจาซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไรกัน?
ทำอย่างไรก็จะไม่ยอมรับว่าตนไม่กล้าพูด…
อวี๋หวั่นไม่ได้โง่ ถ้าเธอไม่รู้ว่าเด็กๆ ไม่ใช่ลูกของเหยียนหรูอวี้ก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว ก็คงไม่ยากที่จะยอมรับว่าเด็กๆ มีแม่อีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยจินตนาการว่าคนคนนั้นอาจจะเป็นตนเอง เธอเคยตั้งครรภ์เมื่อสามปีก่อน เมื่อมองไปยังเด็กทั้งสาม เธอก็มักจะบอกตัวเองเสมอว่าถ้าลูกของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็คงโตเท่านี้แล้ว เพียงแต่เธอคิดว่าความเป็นไปได้นั้นน้อยเหลือเกิน
เธอคลอดลูกคนเดียวก็นับว่ายากเย็นแล้ว จะไปมีลูกสามคนได้อย่างไรกัน? หรือว่ามีกับเยี่ยนจิ่วเฉา?
“เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม?”
เธอมองเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้งหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาเบือนหน้าหนี เธอจับใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาเอาไว้ บังคับให้เขาหันกลับมามองเธอ
ไข้ยังไม่ลด ทั้งมือและหัวใจของเธอร้อนผ่าว
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นจ้องไปยังใบหน้าของเขา “ท่านมองตาข้าอีกรอบ ต้าเป่า เอ้อร์เป่า แล้วก็เสี่ยวเป่าเป็นลูกของข้าจริงๆ หรือ? ข้าเป็นแม่ของพวกเขาจริงๆ หรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยเห็นดวงตาที่โชติช่วงประหนึ่งเปลวเพลิงเช่นนี้ ดวงคาคู่นั้นราวกับจะลวกหัวใจของเขาได้ก็มิปาน เขาพยักหน้า “ใช่ พวกเขาเป็นลูกที่เจ้าให้กำเนิด เป็นลูกของเจ้า”
น้ำตาของอวี๋หวั่นพรั่งพรูออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาประหลาดใจ นี่เป็นน้ำตาของสตรีผู้ไม่เคยร้องไห้แม้แต่ตอนที่ตกเขา หลังจากที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกลับร้องไห้เหมือนเด็ก…
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่น้ำตาไม่ยอมเชื่อฟังเธอแม้แต่น้อย
เธอยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ผืนหนึ่ง
อวี๋หวั่นสะอึกสะอื้นพลางรับผ้าเช็ดหน้ามา “เยี่ยนจิ่วเฉา…”
“ทำไมหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
อวี๋หวั่นไม่ได้ตอบคำถามของเขา เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาหยิกเยี่ยนจิ่วเฉาเต็มแรง
เยี่ยนจิ่วเฉาเจ็บจนหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอดเฮือกหนึ่ง “อวี๋อาหวั่น!”
“เจ็บไหม?”
“เจ้าว่าเจ็บหรือไม่เล่า!”
บัดนี้บนมือขาวดุจหยกปรากฏรอยแดงแถบหนึ่ง
อวี๋หวั่นหัวเราะทั้งน้ำตา “เช่นนั้นก็เป็นเรื่องจริงสินะ ข้าไม่ได้ฝันไป”
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
เจ้าอยากรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไป เหตุใดต้องหยิกข้าด้วยเล่า…
อวี๋หวั่นรู้สึกถึงความรู้สึกที่โหมซัดกระหน่ำอยู่ในใจของเธอ ความประหลาดใจและความปีติยินดีระคนกัน ปีติยินดีก็เพราะเธอหาลูกของตนเองพบแล้ว และลูกของเธอคือเด็กน้อยทั้งสามที่เธอรักที่สุด แต่เธอโกรธที่ลูกๆ ของเธอถูกแย่งไปเป็นลูกของคนอื่น…
อวี๋หวั่นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพของเธอในตอนนี้คงน่ากลัวมิใช่น้อย
“อยากเจอพวกเขาหรือไม่? ข้าจะไปพาพวกเขามา” เยี่ยนจิ่วเฉาล่วงรู้ความคิดของเธอ
อวี๋หวั่นส่ายหน้าทั้งน้ำตา แม้ว่าเธออยากเจอหน้าพวกเขาในตอนนี้เลย ทว่าสภาพของเธอในตอนนี้ คงจะทำให้พวกเขาตกใจ
อวี๋หวั่นพยายามขบคิดเรื่องอื่นที่มีเหตุมีผล เพื่อให้จิตใจของตนสงบลง “เยี่ยนจิ่วเฉา สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมคนในตอนนั้นคือท่าน? ทำไมท่านจำข้าไม่ได้?”
“แล้วทำไมเจ้าเองจำข้าไม่ได้เล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
“ข้า…” อวี๋หวั่นไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
อวี๋หวั่นไม่รูู้ว่าเจ้าของร่างเดิมทำลายความทรงจำไปแล้ว หรือว่าเธอไม่ได้สืบทอดความทรงจำนั้นมา แต่เรื่องนี้จะบอกเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไรดีนะ?
โชคดีที่เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงแค่หลอกล่อเธอก็เท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการคำตอบ ในคืนนั้นมืดมิดไร้แสงตะเกียง เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้มองว่าอวี๋หวั่นหน้าตาเป็นอย่างไร อวี๋หวั่นก็มองไม่ชัดว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะทำป้ายหยกหล่นไว้ แต่ใครจะไปจดจำได้ว่าของชิ้นนั้นเป็นของของจวนคุณชายเยี่ยน อวี๋หวั่นไม่รู้ฐานะของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลที่เยี่ยนจิ่วเฉาสืบได้ อวี๋หวั่นถูกสวี่ส้าววางยา มีความเป็นไปได้แปดส่วนที่นางจะจดจำเรื่องราวในตอนนั้นไม่ได้
“ท่านอย่าปิดบังกันสิ” อวี๋หวั่นเร่งเร้า
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรบอกเธออย่างไรดี ยิ่งเขาสืบได้ข้อมูลมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกโมโหกับเรื่องราวในปีนั้นมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเหตุผลที่อวี๋หวั่นถูกลักพาตัวไป เป็นเพราะไอ้ลูกเต่าจ้าวเหิงนั่น!
จ้าวเหิงไม่มีเงินเรียนหนังสือ เขาพึ่งพาสกุลอวี๋มาโดยตลอด ในตอนนั้นฐานะทางบ้านของอวี๋หวั่นนับว่าไม่เลว ถึงแม้อวี๋เซ่าชิงจะถูกจับไปรบที่ชายแดน แต่ลุงใหญ่ก็ทำงานอยู่ที่หอเทียนเซียง เงินที่ได้รับในแต่ละปีเพียงพอให้ทั้งครอบครัวอยู่ดีกินดี แต่เมื่อต้องนำมาจุนเจือสกุลจ้าว ก็เรียกได้ว่าแทบชักหน้าไม่ถึงหลัง สกุลจ้าวก็เปรียบประหนึ่งถ้ำซึ่งไร้ที่สิ้นสุด ทั้งนางจ้าวและจ้าวเป่าเม่ยต่างก็ละโมบและไม่รู้จักพอ อีกทั้งจ้าวเหิงยังต้องจ่ายเงินค่าเล่าเรียนทุกเดือน ต่อให้อวี๋หวั่นมีเงินเป็นกอบเป็นกำก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาใช้
วันหนึ่ง อาหวั่นนำผักกาดขาวที่เก็บได้ไปขายในตลาด เมื่อได้ยินว่าสกุลใหญ่สกุลหนึ่งรับสมัครสาวใช้ เพื่อไปปรนนิบัติคุณหนู คุณหนูสกุลนั้นไม่โมโหร้าย งานที่ทำก็ไม่หนัก ทางนั้นจัดหาเสื้อผ้าและอาหารให้ ได้เงินเดือนละห้าตำลึง หากคุณหนูพึงพอใจก็จะได้รับรางวัลเพิ่มสูงสุดถึงสิบตำลึง อาหวั่นตื่นเต้นเหลือเกิน จึงเดินทางไปยังบ้านสกุลนั้นพร้อมกับสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง เผื่อว่าตนเองจะได้รับเลือก
ผลก็คือ นางได้เข้าไปในรังหมาป่าเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาได้ฟังเรื่องนี้จากอิ่งลิ่ว เขาก็โมโหจนตัวแทบระเบิด นางก็ดูไม่ได้โง่เง่าถึงเพียงนั้น ไฉนจึงเชื่อว่าจะมีงานที่ง่ายเช่นนี้กัน?
“เดือนละสิบตำลึง เจ้าเชื่อด้วยรึ!” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดเชิงสั่งสอน “จวนเยี่ยนอ๋องยังไม่ฟุ้งเฟ้อถึงเพียงนี้!”
ทว่าเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ใครก็ไม่รู้ถามอิ่งลิ่วว่า ‘เดือนละสิบตำลึงเรียกว่ามากหรือ?’
อิ่งลิ่วซึ่งยืนอยู่หน้าประตูกำกระเป๋าเงินแน่น รู้สึกว่าตนต้องขอคุณชายขึ้นเงินเดือนเสียแล้ว
โง่จริงๆ อวี๋หวั่นแอบคิดในใจ
“แล้วอย่างไรต่อ?” อวี๋หวั่นซักไซ้
“หลังจากนั้นเจ้าก็ถูกลักพาตัวไปสวี่โจว ไปอยู่ในหอคณิกาที่นั่น” เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองอวี๋หวั่น แล้วพูดต่อ “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ไม่มีผู้ใดเคยพบเจ้า บุรุษคนแรกของเจ้าคือข้า”
ใครกังวลเรื่องนี้กัน?
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ “ตอนนั้นเจ้ากินพืชพิษเข้าไปโดยบังเอิญ ทำให้บนหน้าเจ้าเป็นผื่นแดง แม่เล้าคิดว่าเจ้าอัปลักษณ์ จึงส่งเจ้าไปเป็นสาวใช้ เจ้านอนในห้องเก็บฟืน แล้วข้าก็พบเจ้าที่นั่น”
อวี๋หวั่นนัยน์ตาเย็นเยียบ
“เจ้าอย่าคิดมาก ข้าไปที่นั่นก็เพราะถูกคนลอบทำร้าย”
อวี๋หวั่นพยักหน้า เธอเคยเห็นภาพวาดของตนเอง น่าเกลียดขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ถูกคนทำร้าย ใครจะสนใจเธอ?
“ใครลอบทำร้ายท่าน? เหยียนหรูอวี้หรือ?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นหัวเราะ “นางคนเดียวจะไปทำอะไรได้ ยังมีผู้มีอิทธิพลในสวี่โจวอีก”
“ผู้มีอิทธิพลในสวี่โจว?” อวี๋หวั่นหยุดคิดครู่หนึ่ง “คนสกุลสวี่หรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่น “หากเจ้าเมื่อสามปีก่อนมีสมองได้ครึ่งหนึ่งของเจ้าในตอนนี้ก็คงไม่ถูกจับตัวไปหรอก มิผิด สวี่ส้าว”
อวี๋หวั่นตกใจ “สวี่ส้าว? คนที่เป็นเจ้าของหอเทียนเซียง เป็นพี่ชายแท้ๆ ของสวี่เสียนเฟย เป็นลุงขององค์ชายรองน่ะหรือ? สวี่เสียนเฟยกับองค์ชายรองให้เขาทำหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะ “นั่นเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุด สวี่เสียนเฟยและเยี่ยนไหวจิ่งไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาเองก็ถูกสวี่ส้าวปิดบังเช่นกัน”
อวี๋หวั่นไม่รู้เรื่องของวังหลวง ก็ยังรู้สึกว่าการกระทำของสวี่ส้าวนั้นแปลกเหลือเกิน เขาเป็นคนสกุลสวี่ ผู้ที่เปรียบประหนึ่งภูผาใหญ่ให้คนสกุลสวี่พึ่งพาก็คือสวี่เสียนเฟยและเยี่ยนไหวจิ่ง เรื่องใหญ่เช่นการลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา เขาจำต้องปรึกษากับสวี่เสียนเฟยและองค์ชายรองก่อน แต่ที่เขาลงมือโดยพลการเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วย หรือว่ามีแผนการอื่นในใจกันแน่?
ในตอนนี้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ อวี๋หวั่นยิ่งไม่มีคำตอบเข้าไปใหญ่
เรื่องที่อวี๋หวั่นสนใจมากกว่าก็คือ สวี่ส้าวไปร่วมมือกับเหยียนหรูอวี้ได้อย่างไร
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อสี่ปีก่อน มีรายงานว่าสกุลเหยียนสมคบคิดกับศัตรูทรยศต้าโจว ทางการพบจดหมายลับในห้องหนังสือของแม่ทัพเหยียน ด้านในเขียนถึงแผนการของแม่ทัพเหยียน แม่ทัพเหยียนยอมตายเพื่อพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์ ทว่ามีหลักฐานเป็นประจักษ์ คนสกุลเหยียนก็ยังต้องถูกจับเข้าคุก มีเพียงเหยียนหรูอวี้ที่หลบหนีไปได้ ทางการตามหานางให้ทั่ว แต่นางหลบเข้าไปในหอคณิกา”
“หอคณิกา?” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “มีเพียงสตรีแปลกหน้าจากหอคณิกาเท่านั้นที่จะไม่เป็นที่สนใจของทางการ ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะไปคิดเล่าว่าคุณหนูผู้สูงส่งจากสกุลเหยียน จะยอมลงไปคลุกฝุ่นโลกีย์ในหอคณิกาเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด”
ดังนั้น สวี่ส้าวก็ได้พบกับเหยียนหรูอวี้ในหอคณิกา
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อวี๋หวั่นพอจะเดาออก เหยียนหรูอวี้กลายเป็นภรรยาของสวี่ส้าว และให้กำเนิดลูกของสวี่ส้าวสองคน แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองคนด่วนจากไปเสียก่อน
หลังจากนั้นโชคชะตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่เป็นคนรักกัน หากแต่กลายเป็นพันธมิตรกัน
ช่างเป็นคู่ที่ทำให้พูดไม่ออกจริงๆ
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่าเขาคิดจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร ในตอนนี้เธอไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว เธอใช้แขนที่ปวดเมื่อยเลิกผ้าห่มขึ้น
“เจ้าจะทำอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“ข้าจะไปหยิบของ” อวี๋หวั่นตอบอย่างใจเย็น
“จะหยิบอะไร ข้าไปหยิบให้”
“ไม่ต้องหรอก ของนี่ข้าต้องไปหยิบเอง” อวี๋หวั่นสวมรองเท้า เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าคลุมมาคลุมตัวให้เธอ อากาศในปลายเดือนสามไม่หนาวเท่าไรนัก ผ้าคลุมนี่เพียงแต่ใช้สำหรับบังลมหนาวเท่านั้นเอง
“ขอบคุณ” อวี๋หวั่นกระชับผ้าคลุม แล้วเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังแผ่นหลังของอวี๋หวั่น พลางคิดในใจว่า เขาทำได้ดีทีเดียวที่พูดอีกประเด็นหนึ่งขึ้นมาดึงความสนใจของอวี๋หวั่น ทำให้นางลืมความขุ่นเคืองไป ก่อนหน้านี้คิดจะตอนเขา บัดนี้กลับจำได้เพียงเรื่องน่ายินดี
อย่างไรเสีย นางก็โหยหาเขามานาน
ไอ้หยา บอกนางดีไหมหนอ หลังจากที่พวกเขาสองคนทำเรื่องนั้นเสร็จ นางก็ถูกสวี่ส้าวจับออกไปจากหอคณิกา เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวของนางสินะ?
อืม ไม่บอกดีกว่า เท่านี้นางก็ดีใจแล้ว
คุณชายเยี่ยนยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินไปด้านหลังอวี๋หวั่นอย่างมีความสุข
เยี่ยมไปเลย นางหันหน้ามาแล้ว
จะกล่าวให้ชัดก็คือ นางโผเข้ามาหาตนเอง
ย่อมได้ ไม่เจอกันมานาน นางควรจะโผเข้ามาร้องไห้ในอ้อมกอดของเขาสิ
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วอย่างพึงพอใจ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจกว้าง รอให้อวี๋หวั่นเข้ามาในอ้อมกอด ไหนเลยจะรู้ว่าอวี๋หวั่นกลับถือกรรไกรมา
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
ในที่สุดเยี่ยนจิ่วเฉาก็ตระหนักได้ว่า ‘สตรีที่เยือกเย็นน่ากลัวที่สุด’ นั้นหมายความว่าอย่างไร ก่อนหน้ายังโอภาปราศรัยกับเขาอยู่ดีๆ ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ แม้แต่น้อย แม้แต่หลังจากที่ลงจากเตียง แล้วรับผ้าคลุมจากเขาไป นางก็ยังกล่าวขอบคุณเขาอยู่เลยนี่…
ใครจะไปคิดว่านางจะถือกรรไกรมาเช่นนี้เล่า!
“อวี๋อาหวั่น!”
เยี่ยนจิ่วเฉากระโดดโหยง!
อวี๋หวั่นไม่สบายอยู่ เรี่ยวแรงกลับมีเหลือล้น เยี่ยนจิ่วเฉาถูกวิ่งไล่ไปทั่วห้อง จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว จึงกดเธอลงกับเตียง แล้วจับมือของเธอเอาไว้
อวี๋หวั่นหายใจหอบ “ปล่อยมือ…ถ้าไม่ปล่อย…ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว…”
เยี่ยนจิ่วเฉาปล่อยมือ
อวี๋หวั่นหยิบกรรไกรขึ้นมาทันที
เยี่ยนจิ่วเฉา ‘ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว!’
ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเผชิญกับช่วงเวลาอันหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง เด็กน้อยทั้งสามก็เดินเตาะแตะเข้ามาในห้อง
ทันทีที่อวี๋หวั่นเห็นพวกเขา เธอก็ชะงักไป แล้วรีบยัดกรรไกรไว้ใต้หมอน!
ทั้งสามคนน้ำมูกโป่ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้ามึนงง
อวี๋หวั่นเดินไปแล้วส่งผ้าให้พวกเขาเช็ดน้ำมูก
เยี่ยนจิ่วเฉากระแอมเบาๆ จัดแจงจอนผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
เด็กทั้งสามมองไปยังอวี๋หวั่น แล้วยื่นมือมาหาเธอ
ความรู้สึกตื่นเต้นที่มิอาจบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาจากส่วนลึกในใจของอวี๋หวั่น เธอนั่งยอง แล้วดึงพวกเขาเข้ามากอด
เมื่อสัมผัสร่างเล็กๆ ในอ้อมกอด หัวใจของอวี๋หวั่นก็รู้สึกราวกับได้เติมเต็มจนสมบูรณ์ กระนั้นเมื่อคิดว่าเด็กๆ ต้องเผชิญกับอะไรมาตลอดสองปีที่อยู่กับเหยียนหรูอวี้ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งถูกมีดกรีดลงบนหัวใจ
อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับคอของเธอบวมขึ้นมา เธอกอดทั้งสามคนไว้แน่น แล้วพูดเสียงสั่นว่า “แม่กลับมาแล้ว แม่จะไม่ทิ้งพวกเจ้าไปอีกแล้ว…แม่จะไม่ให้ใครมารังแกพวกเจ้าอีกแล้ว…แม่จะคอยปกป้องพวกเจ้าเอง…”
………………………………