บทที่ 77 แม่ลูกกลับหมู่บ้าน (1)
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นลังเล ไม่รู้ว่าควรบอกพวกเขาว่า ‘เหยียนหรูอวี้ไม่ใช่แม่ของพวกเจ้า แม่ของพวกเจ้าคือข้า’ ดีหรือไม่
พวกเขาจะมีสีหน้าอย่างไรนะ?
จะตกใจ ดีใจ หรือว่าจะกลัว?
หากเป็นผู้ใหญ่ก็คงจะรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ทว่าสำหรับเด็กเล็กเพียงเท่านี้ ไม่ว่าแม่ของพวกเขาจะโหดร้ายเพียงใด แต่ก็เป็นแม่ของพวกเขาอยู่ดี
พวกเขาอาจจะกลัวนาง แต่ก็เกลียดนางไม่ลง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ท่านแม่ก็ไม่ใช่ท่านแม่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ในทางกลับกัน ต่อให้พวกเขาเข้าใจ ก็คงไม่ได้รู้สึกโล่งอกกับเรื่องในอดีตเพียงเพราะเหตุผลนี้
เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ นางจึงปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี ความสัมพันธ์ของเหตุและผลเช่นนี้เป็นตรรกะของผู้ใหญ่ เด็กจะเข้าใจได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม อวี๋หวั่นไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้เลย อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเล็กอยู่ เมื่อโตขึ้นพวกเขาก็จะจดจำเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่ต้องรอให้พวกเขาโต หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี พวกเขาก็คงนึกไม่ออกแล้วว่าเหยียนหรูอวี้คือใคร
ทั้งสามคนไม่คุ้นเคยกับการที่อวี๋หวั่นเรียกตัวเองว่าแม่ พวกเขาทำตาโตมองมายังอวี๋หวั่นด้วยความฉงนใจ
อวี๋หวั่นไม่ได้อธิบาย เพียงแต่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “กินยาหรือยัง?”
ทั้งสามคนทำคอตกในทันที
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ “ไม่อยากกินยาก็เลยหลบมาที่นี่ใช่ไหม?”
ทั้งสามคนคอตกยิ่งกว่าเดิม
ที่จริงอวี๋หวั่นควรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พวกเขาเป็นหวัดงอมแงมอย่างนี้ แต่ท่าทางเศร้าสร้อยของพวกทำให้เธอรู้สึกขบขัน ที่จริงอย่าว่าแต่พวกเขาเลย เธอเองก็ไม่อยากกินยา ใครให้ยาชมปี๋ขนาดนี้กันล่ะ เพียงแต่ว่าเธอโตแล้ว จะกินยาหรือไม่กินก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขายังเด็ก เรื่องนี้จึงไม่อาจละเลยได้
แม่นมยกยาไปรออยู่หน้าประตูนานแล้ว แต่หากไม่มีคำสั่งของเยี่ยนจิ่วเขา พวกนางก็ไม่กล้าเข้าไป
“ให้ข้า” เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปหน้าประตู แล้วรับถ้วยยาจากพวกนางมา
เยี่ยนจิ่วเฉาวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะ
อวี๋หวั่นจูงมือเด็กทั้งสามมาที่โต๊ะ
ทั้งสามคนก้มหน้างุด ราวกับกำลังต่อต้าน
แต่เมื่ออวี๋หวั่นอุ้มพวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ ใช้ช้อนคนเล็กๆ ตักยาป้อน พวกเขาก็อ้าปากแต่โดยดี
ทั้งสามกินยาจนหมด ยานั้นขมจนขนลุก
อวี๋หวั่นรีบป้อนผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขาทันที เด็กน้อยน้ำมูกไหลย้อยทั้งสามก็ปีนเข้าหาอ้อมอกของเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ริมฝีปากของอวี๋หวั่นหอมที่จอนผมของพวกเขาเบาๆ ได้กอดพวกเขาแบบนี้ ดีจังเลย
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ด้านข้าง มองแม่ลูกสี่คนกอดกันกลม จากนั้นก็มองออกไปยังบ่าวและคนอื่นๆ ซึ่งกำลังง่วนทำงาน จวนของเขาก็ยังเป็นจวนหลังเดิม ลานบ้านก็ลานเดิม แต่เมื่อมีอวี๋หวั่นเพิ่มมาอีกหนึ่งคน กลับรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
ในเมื่ออวี๋หวั่นตื่นแล้ว ไป๋ถังก็ไม่จำเป็นต้อง ‘ดูแล’ อีกต่อไป นางจึงกลับไป
อวี๋หวั่นเองก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยร่างกายของตนเอง เธอรักษาอาการป่วยอยู่ที่จวนคุณชายอยู่ถึงสองวัน จนเท้าอุ่นและคอไม่เจ็บแล้ว จึงเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน
ทว่าเธอไม่ได้เก็บข้าวของเพียงอย่างเดียว แต่จะเก็บเด็กน้อยทั้งสามไปด้วย
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังห่อผ้าห่อใหญ่หนึ่งห่อและห่อเล็กสามห่อบนโต๊ะ สีหน้าก็สลดลงทันที “แล้วข้าเล่า?”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาประหลาด “ใครบอกว่าจะพาท่านกลับไปด้วย?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหน้าชาราวกับถูกน้ำเย็นสาด “…”
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะเข้ามา มองท่านพ่อด้วยหน้าตาบ้องแบ๊ว สองวันที่ผ่านมาอวี๋หวั่นดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี พวกเขาน้ำมูกไม่ไหลแล้ว
เป็นลูกนี่ดีเหลือเกินนะ เยี่ยนจิ่วเฉาบีบแก้มของเด็กน้อย แล้วหัวเราะ ‘เหอะๆ’ กับอวี๋หวั่น “เจ้าถามพวกเขาหรือยังว่าอยากไปหรือไม่?”
ยังพูดไม่ทันจบ เด็กน้อยทั้งสามก็เขย่งปลายเท้าหยิบถุงผ้าบนโต๊ะแล้วเดินเตาะแตะออกไป!
เยี่ยนจิ่วเฉากัดฟันกรอด เจ้าเด็กใจร้าย!
เอาเถอะ เขาเองก็ไม่ได้อยากกลับไปหมู่บ้านกับนางสักหน่อย เพียงแต่จะกลับหรือไม่กลับเป็นเรื่องของเขา นางชวนหรือไม่ชวนเขากลับด้วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาเผยสีหน้าซับซ้อน
“คุณชาย แม่นางอวี๋ไปแล้วนะขอรับ” อิ่งลิ่วเตือน
เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ที่ทางเดิน มองไปยังทางออก “ข้ารู้”
“พาคุณชายน้อยไปด้วยนะขอรับ” อิ่งลิ่วพูดต่อ
“คุณชายบ้านเจ้าไม่ได้ตาบอด”
“อ้อ เช่นนั้นจะตามไปไหมขอรับ?”
“ตามใคร? นางหรือว่าเด็กๆ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจใช้วิธีที่ใช้กับเหยียนหรูอวี้ หากเปลี่ยนเป็นเหยียนหรูอวี้พาลูกของเขาไปโดยไม่บอกกล่าว เขาคงจัดการนางไปนานแล้ว แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นอวี๋หวั่น…
เยี่ยนจิ่วเฉาหายใจเข้าลึกๆ “ปล่อยนางไปเถอะ แยกจากกันไปนาน กว่าจะพบกันนั้นไม่ง่าย”
“ท่านรักแม่นางอวี๋มากนะขอรับ” อิ่งลิ่วบอก
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบตามองเขา “ถ้าไม่รักนาง จะให้รักเจ้าหรืออย่างไร?”
อิ่งลิ่วล้มทั้งยืน!
เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ที่ทางเดินอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอิ่งลิ่วยังไม่ไปไหน ก็เอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่ไปรึ? มีอะไร?”
อิ่งลิ่วบีบถุงเงินที่นับวันยิ่งแฟ่บลงเรื่อยๆ แล้วมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งสีหน้าเย็นเยียบ สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคิด “ไม่มีอะไรขอรับ ข้าขอตัว”
……
รถม้าที่อวี๋หวั่นนั่งเป็นรถม้าที่ลุงวั่นเตรียมไว้ให้ ทั้งกว้างขวางและสะดวกสบาย เด็กทั้งสามคนนั่งอยู่ข้างอวี๋หวั่น มือน้อยๆ วางอยู่บนหน้าตัก สายตาหลุกหลิกไปมา มองเผินๆ คล้ายกับสงบเสงี่ยม แต่แท้จริงแล้วหัวใจพวกเขากำลังกระโดดโลดเต้น
อวี๋หวั่นหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ว่ากันว่าผลผลิตคือสิ่งล้ำค่าของบ้านอื่น ลูกคือสิ่งล้ำค่าของบ้านตน อวี๋หวั่นคิดว่าเป็นเช่นนั้น เธอชอบพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ คิดเสมอว่าทำไมลูกของเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ? นอกจากไม่พูดจา…
ว่าแต่ทำไมถึงไม่พูดนะ?
อวี๋หวั่นบีบแก้มของพวกเขา
เด็กน้อยหันขวับมาหาเธอพร้อมกับทำตาโต ราวกับกำลังถามว่าอวี๋หวั่นเป็นอะไร?
อวี๋หวั่นยิ้ม ลูบพุงน้อยๆ ของพวกเขา “เดินทางมานานแล้ว หิวไหม?”
เด็กทั้งสามพยักหน้า
อวี๋หวั่นเลิกม่านขึ้น มองออกไปนอกร้านรวงเรียงรายด้านนอก พวกเขาเข้าใกล้ประตูเมืองทิศตะวันออกแล้ว แถวนี้ไม่มีของกินอร่อยๆ มีเพียงร้านบะหมี่ร้านเดียวที่ยังเปิดกิจการอยู่ และวันนี้ร้านนั้นปิด ข้างๆ มีแผงขายซาลาเปาอยู่
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังลังเลว่าจะซื้อซาลาเปาให้เด็กทั้งสามกินรองท้องดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงสารถีร้องว่า ‘ฮึ่ย’ จากนั้นรถม้าก็หยุดกะทันหัน
ในรถม้ามีเด็กๆ จึงวิ่งไม่เร็วนัก แต่เมื่อรถหยุดอย่างฉับพลันเช่นนี้ เด็กๆ ก็หน้าคะมำลงไป
อวี๋หวั่นรีบคว้าเด็กน้อยทั้งสามมากอด แล้วถามสารถีว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
สารถีรถม้าตอบว่า “เรียนแม่นางอวี๋ มีสตรีคนหนึ่งมาขวางหน้ารถขอรับ”
อวี๋หวั่นจับเด็กๆ นั่งลงดีๆ เธอเลิกม่านขึ้น แล้วมองออกไปด้านนอก ก็เห็นสตรีสวมเสื้อผ้าธรรมดา อายุประมาณสี่สิบกว่าปี เสื้อผ้าของนางเป็นเนื้อผ้าชั้นดี ท่วงท่าของนางสง่างาม ไม่ยักคล้ายกับชาวบ้านยากจนทั่วไป อวี๋หวั่นไม่รู้จักนาง แต่ดูจากสายตาของนาง คล้ายกับว่าจะรู้สถานะของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นบอกกับลูกๆ ว่า “พวกเจ้ารออยู่บนรถก่อน ข้าจะไปซื้อซาลาเปามาให้”
เด็กทั้งสามพยักหน้าอย่างรู้ความ อวี๋หวั่นลงจากรถม้าพร้อมกับสั่งให้สารถีดูแลเด็กๆ ให้ดี สตรีผู้นั้นกล่าวทักทายด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่ออวี๋หวั่นเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่านางดูอิดโรยและมีอายุมากกว่าที่คิด
“มะ…แม่นางอวี๋ใช่หรือไม่?” นางเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
อวี๋หวั่นมองนางคล้ายกับกำลังพิจารณา แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านคือ…”
นางตบหน้าอกเบาๆ “ข้าคือแม่ของเหยียนหรูอวี้ นางหมิ่น!”
ฮูหยินเหยียน? สายตาของอวี๋หวั่นปรากฏความประหลาดใจวูบหนึ่ง อีกฝ่ายแต่งกายไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่หากจะบอกว่าเป็นฮูหยินของจวนท่านโหวก็ไม่ยักคล้ายเท่าไร อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่านางไม่เพียงแต่งกายเรียบง่าย นางยังทัดดอกไม้ไว้ที่หูอีกด้วย หรือว่าที่บ้านนางมีคนตาย?
“แม่นางอวี๋…”
ฮูหยินเหยียนเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง อวี๋หวั่นพูดขัดขึ้นมาว่า “นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย ไปคุยกันที่ร้านซาลาเปาตรงนั้นเถอะ”
ในเมื่อเป็นแม่ของเหยียนหรูอวี้ ก็หมายความว่าเด็กน้อยทั้งสามจะต้องรู้จักนาง อวี๋หวั่นจะไม่ยอมให้พวกเขาเจอกับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเหยียนหรูอวี้อีก
อวี๋หวั่นพาฮูหยินเหยียนเดินไปยังร้านขายซาลาเปาฝั่งตรงข้ามของถนน หาที่นั่งริมหน้าต่าง จากมุมของเธอยังคงมองเห็นรถม้า แต่ฮูหยินเหยียนมองไม่เห็น กระนั้นนางก็มิได้สนใจ นางมาหาอวี๋หวั่นในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคนอื่น
“ฮูหยินเหยียนมาหาข้า เพราะเรื่องของเหยียนหรูอวี้หรือ?” อวี๋หวั่นเข้าประเด็น เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก จวนสกุลเหยียนทำความผิดไว้ถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือเหยียนหรูอวี้กล่าวอ้างว่าตนเป็นแม่ของคุณชายน้อยจวนสกุลเยี่ยน ส่วนเรื่องที่สองคือเหยียนฉงหมิงฉกชิงความดีความชอบของท่านพ่อของเธอ เรื่องของราชสำนักนางเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงเรื่องของเหยียนหรูอวี้แล้ว
ฮูหยินเหยียนก้มหน้า “มิผิด ข้ามาก็เพราะอวี้เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าลูกข้าทำความผิดที่ไม่อาจชดใช้ได้ ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าละเว้นโทษนาง เพียงแต่อยากให้ลดโทษจากหนักเป็นเบา”
……………………………………………………………