หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 86.1 ข้าจะรักษาเขาให้หาย (1)

บทที่ 86 ข้าจะรักษาเขาให้หาย (1)

Ink Stone_Romance

เซียวเจิ้นถิงกลับเมืองหลวงในคืนนั้น
เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังซั่งกวนเยี่ยน นางก็มาเช่นกัน
“ฉงเอ๋อร์!”
เสียงของซั่งกวนเยี่ยนมาก่อนตัวคน
อวี๋หวั่นนั่งเช็ดหน้าให้เยี่ยนจิ่วเฉาอยูู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินเสียงจึงวางผ้าลง ลุกขึ้นพร้อมกับยกถังน้ำไปวางบนชั้น
ซั่งกวนเยี่ยนเดินเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ขอบตาของนางแดงก่ำ ดูแล้วน่าจะร้องไห้มาระหว่างทาง ก่อนเข้ามาในบ้านก็พยายามสงบสติอารมณ์แล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาเห็นสภาพของเยี่ยนจิ่วเฉา นางก็ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมาอีก
เซียวเจิ้นถิงเดินเข้ามาด้านใน
ห้องนี้นับว่าโอ่อ่ากว้างขวาง แต่เมื่อบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ผู้นี้เข้ามา พื้นที่วางในห้องก็ดูเล็กลงไปถนัดตา
เขาแตะไหล่ซั่งกวนเยี่ยนเบาๆ “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เด็กๆ จะตื่นเอา ให้หมอดูก่อนเถิด”
เสียงของเขามีความแหบพร่าโดยธรรมชาติ เมื่อพูดเสียงค่อยแล้วก็ยังไม่นับว่าเสียงเบา แต่ท่าทางระแวดระวังของเขา ทำให้ดูคล้ายกับเป็นอสูรผู้อ่อนโยน
ซั่งกวนเยี่ยนมองเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วก็มองไปยังเด็กๆ ที่กำลังหลับสนิท นางหยุดร้องไห้ จากนั้นเซียวเจิ้นถิงก็พยุงนางไปอยู่ด้านข้าง
“เข้ามาเถอะ” เซียวเจิ้นถิงมองไปยังปากประตู
เสียงนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอสูร
หมอท่านหนึ่งซึ่งมีหนวดเคราสีขาวถือล่วมยาเข้ามา
เขาไม่ใช่หมอหลวง เซียวเจิ้นถิงเฟ้นหาหมอชาวบ้านมา เขาเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคที่รักษายาก ยาที่เยี่ยนจิ่ วเฉาใช้มาตลอดหลายปี เขาก็เป็นคนทำ
อวี๋หวั่นยืนเงียบๆ อยู่ด้านหน้าชั้น ไม่มีใครบอกให้เธอออกไปจากห้อง ราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเธอ เธอจึงยืนรออยู่ในห้องทั้งต่อไป
หมออาวุโสท่านนี้มีฝีมือ เขาฝังเข็มให้เยี่ยนจิ่วเฉา ตาของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งเบิกโพลงอยู่ก็ปิดลง
เมื่อเทียบกับการที่เขาไม่กะพริบตาราวกับไร้วิญญาณ หลับตาลงไปเช่นนี้ทำให้รู้สึกสบายใจกว่า
แต่อวี๋หวั่นเข้าใจว่าอาการป่วยของเขา จะทำอย่างไรก็ไม่ต่างกัน
หมออาวุโสจับชีพจรของเยี่ยนจิ่วเฉาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อตรวจวินิจฉัยเสร็จ เขาก็ลูบหนวด แล้วถอนหายใจยาวๆ
“มีอะไรหรือท่านหมอจง? ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเยี่ยนถามอย่างสะอึกสะอื้น
หมออาวุโสประสานมือ แล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “อาการของคุณชายไม่สู้ดีนัก”
“มะ…ไม่สู้ดีอย่างไร?” ซั่งกวนเยี่ยนถามอย่างร้อนรน
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว” หมอตอบอย่างอับจนหนทาง
ซั่งกวนเยี่ยนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดับวูบ แล้วนางก็ล้มลง
เซียวเจิ้นถิงเข้ามาพยุงนางได้ทัน ทำให้นางไม่ล้มลงกระแทกพื้น
ซั่งกวนเยี่ยนน้ำตาไหลพราก “…ไม่ได้เหลืออีกสองปีหรอกหรือ…เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบสาม…”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว ก็หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อวี้จื่อกุยไม่ได้โกหก เยี่ยนจิ่วเฉาจะอยู่ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า…
หมออาวุโสกล่าวว่า “นั่นเป็นกรณีที่ดีที่สุด แต่ ‘โรค’ ชนิดนี้ อาการจะทรุดลงเมื่อใดก็ได้”
มีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวันก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป ในฐานะที่เขาเป็นหมอซึ่งจัดยาให้เยี่ยนจิ่วเฉามาตลอดสิบกว่าปี เรื่องนี้เขากระจ่างกว่าผู้ใด อาการของเยี่ยนจิ่วเฉาทรุดลงทุกปี ปริมาณยาที่เขาต้องใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปีนี้ก็ไม่สามารถเพิ่มยาได้มากกว่านี้แล้ว มิเช่นนั้นยาจะให้ผลตรงกันข้าม กลายเป็นยาพิษ
ซั่งกวนเยี่ยนร่ำไห้จนหมดสติไป
เซียวเจิ้นถิงอุ้มนางไปยังห้องข้างๆ
อวี๋หวั่นก็เป็นแม่คนเหมือนกัน เธอเข้าใจซั่งกวนเยี่ยนดี
หมออาวุโสเดินกลับไปหยิบยาบนรถม้า เขาจะให้เยี่ยนจิ่วเฉาอาบยา
เรื่องนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเพื่อปลอบใจซั่งกวนเยี่ยน
น้ำในกะละมังเย็นแล้ว อวี่หวั่นไปยกมาจากในครัวอีกหนึ่งกะละมัง และเช็ดหน้าให้เยี่ยนจิ่วเฉาต่อ
“เขาถูกคำสาป”
เสียงของเซียวเจิ้นถิงดังก้องขึ้นจากด้านหลังของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหันหลังกลับไปมองรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเขากำลังพูดกับเธอ และลุกขึ้นทักทาย “แม่ทัพใหญ่เซียว”
“ไม่ต้องมากพิธี” เซียวเจิ้นถิงบอกเป็นนัยให้เธอนั่งลง
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้
บุรุษรูปร่างลูงใหญ่ เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาน่าสงสาร เมื่อนั่งลง เธอยิ่งตัวเล็กเท่าลูกแมวเข้าไปใหญ่
เขาไม่เห็นเธอ…เป็นคนนอกแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นจับมือเย็นเฉียบของเยี่ยนจิ่วเฉา
ตัวของเขาร้อนกรุ่น แต่มือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี เธอหยิบผ้าฝ้ายร้อนมาเช็ดที่มือของเขา แล้วพูดเสียงค่อยว่า “เขาถูกสาปตั้งแต่เด็กเลยหรือเจ้าคะ?”
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “ตั้งแต่สองสามขวบ”
ก็หมายความว่าอายุพอๆ กับเด็กทั้งสามไม่ใช่หรือ?
อวี๋หวั่นกำมือแน่น “ใครกันที่โหดร้ายถึงขนาดนั้น?”
“ฮ่องเต้องค์ก่อน” เซียวเจิ้นถิงบอก
อวี๋หวั่นตะลึง ฮ่องเต้องค์ก่อน? ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ใช่ปู่ของเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ? ทำไมเขาต้องสาปแช่งหลานของตัวเองด้วยละ?
“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงคิดว่าเยี่ยนอ๋องไม่ใช่ลูกของตน” เซียวเจิ้นถิงกล่าว
คิดว่าไม่ใช่? แค่นั้นเหรอ? อวี๋หวั่นมองเซียวเจิ้นถิงด้วยความประหลาดใจ เซียวเจิ้นถิงถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ความเข้าใจผิดนี้ไม่กระจ่างจนพระองค์สวรรคต แต่ต่อให้กระจ่างแล้ว พระองค์ก็ไม่สามารถถอนคำสาปได้”
“คำสาปนี้ไม่มีวิธีแก้หรือ?” อวี๋หวั่นไม่ได้ถามว่าใครปองร้ายเยี่ยนอ๋อง นี่ต้องไม่ใช่ความเข้าใจผิดอย่างเดียวแน่ แต่ว่าเรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่ควรรู้
เซียวเจิ้นถิงพอใจกับความรอบคอบของอวี๋หวั่นมาก ความลับของราชวงศ์ไม่ควรแพร่งพรายออกไป เพียงเรื่องของฮ่องเต้องค์ก่อนก็นับว่าเสี่ยงมากแล้ว ยังมีเรื่องของฝ่าบาทอีก ครานี้ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของเขา หรือชีวิตของเธอก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้ให้คำตอบสำหรับความสงสัยของอวี๋หวั่น “หลายปีมานี้ข้าเสาะหาวิธีถอนคำสาป…มันไม่ได้มาจากจงหยวน แต่เป็นคำสาปที่มาจากหนานเจียง ปรากฏครั้งแรกในอาณาจักรหนานจ้าว ”
ช่วงนี้อวี๋หวั่นอ่านหนังสือไม่น้อย เธอรู้ว่าทางทิศใต้ของจงหยวนเรียกว่าหนานเจียง พื้นที่ส่วนใหญ่ของหนานเจียงเป็นของอาณาจักรหนานจ้าว ทั้งยังมีพื้นที่ของชนเผ่าอีกจำนวนหนึ่งที่สวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรหนานจ้าว
เซียวเจิ้นถิงพูดต่อ “เดิมทีใช้สำหรับทำให้หน่วยกล้าตายของราชวงศ์เชื่อฟัง เมื่อพบว่าคำสาปนี้ไม่อาจย้อนคืน ก็ค่อยๆ ถูกสั่งห้ามจากราชวงศ์หนานจ้าว แต่สูตรลับของมันก็ยังถูกส่งผ่านมาเรื่อยๆ ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะมาถึงจงหยวน และไม่คิดว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะใช้วิธีสาปแช่งจัดการกับลูกชายของเยี่ยนอ๋อง”
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ ว่ากันว่าเคียงกษัตริย์ดั่งเคียงพยัคฆ์ คนที่นั่งบนบัลลังก์ได้ย่อมไม่ใช่คนใจอ่อน เมื่อรู้ว่าเยี่ยนอ๋องไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน อีกทั้งราชวงศ์ไม่อาจจัดการกับเยี่ยนอ๋องซึ่งๆ หน้า ความอำมหิตที่ก่อตัวในจิตใจ จึงบงการให้ฮ่องเต้องค์ก่อนลงมือทำเรื่องที่เลือดเย็นเช่นนั้น
เพียงแต่เคราะห์ร้ายมาตกที่เยี่ยนจิ่วเฉา ในตอนนั้นเขายังเล็กมาก เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับเขาเอาเสียเลย
“ในเมื่อคำสาปมันร้ายกาจถึงเพียงนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาก็รักษาไม่หายแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
เซียวเจิ้นถิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาพิษของหนานเจียงใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
เซียวเจิ้นถิงตอบว่า “ที่หนานเจียงมีวิชาพิษชนิดหนึ่ง ใช้ถอนคำสาปนี้ได้”
เพียงแต่ว่า วิชาพิษนี้ไม่อาจฝึกฝนมาได้โดยง่าย หากปรารถนาจะเป็นปรมาจารย์ ก็ต้องสะสมพิษในตัว คนทั่วไปไม่อาจทนต่อพิษได้ ดังนั้นปรมาจารย์วิชาพิษจึงนับว่าหาได้ยากยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์วิชาพิษที่เยี่ยนจิ่วเฉาต้องการไม่ใช่ปรมาจารย์ธรรมดา
เซียวเจิ้นถิงพูดว่า “ข้าให้เจ้าห้าไปหนานเจียงแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานต้องมีความคืบหน้า”
มิน่าเล่าช่วงนี้ไม่เจอคุณชายห้าเลย ที่แท้ก็ไปหายาให้เยี่ยนจิ่วเฉานั่นเอง
……
เดิมทีซั่งกวนเยี่ยนคิดว่าจะไปรับเยี่ยนจิ่วเฉาจากเมืองหลวง แต่ตอนนี้นางไม่ได้ทำเช่นนั้นแล้ว นางและเซียวเจิ้นถิงพักอยู่ในหมู่บ้าน ทั้งสองก็เหมือนกับสามีภรรยาทั่วไป คอยดูแลลูกที่ไม่สบาย
คนในหมู่บ้านล้วนรู้ว่าพ่อแม่ของคุณชายวั่นมาหา ที่แท้เขาก็มีพ่อแม่ ท่านแม่งามดุจบุปผาชาติ ท่านพ่อหล่อเหลาร่างสูงใหญ่ โชคดีกระไรปานนี้
ชาวบ้านรู้ว่าคุณชายวั่นล้มป่วย
คุณชายวั่นเป็นผู้มีพระคุณของหมู่บ้าน เขาล้มป่วย พวกเขาก็ต้องไปเยี่ยมไข้
ทุกวันต่างมีชาวบ้านถือผักสดหรือผักป่ามาให้ที่บ้านของคุณชายวั่น
ซั่งกวนเยี่ยนล้วนแต่รับไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ
……………………………………………………………….

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset