บทที่ 88 รักของพ่อดั่งขุนเขา (1)
Ink Stone_Romance
คุณชายห้าไม่มีทางออกตัวบอกปรมาจารย์วิชาพิษว่าลูกชายของเซียวเจิ้นถิงไม่ใช่ลูกแท้ๆ ปรมาจารย์ท่านนี้สามารถบอกฐานะของเยี่ยนจิ่วเฉาได้เช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดี เยี่ยนจิ่วเฉาเปรียบเสมือนหินที่แข็งที่สุดในเมืองหลวง แต่ก็เป็นแพะตัวอวบอ้วนที่สุดในเมืองหลวง หากสามารถรีดไขมันจากเขามาได้ก็คงจะรวยล้นฟ้า
ทองคำหนึ่งแสนตำลึงเชียวนะ อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับบาดเจ็บแสนสาหัส ก็เห็นอยู่ว่าไม่ใช่เงินของเธอ แล้วทำไมถึงรู้สึกปวดใจขนาดนี้นะ…
ปรมาจารย์มีสีหน้าเปี่ยมชัยชนะ เขามั่นใจว่าเซียวเจิ้นถิงจะต้องยอมจ่าย
เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก ไม่ว่าภายนอกความสัมพันธ์ของพ่อลูกจะดูหมางเมินกันมากเพียงใด แต่เซียวเจิ้นถิงไม่ลังเลที่จะส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปยังหนานเจียง ไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินเชิญเขามายังเมืองหลวง หัวใจของเขา ไม่มีทางลวงหลอกอย่างแน่นอน
“ข้าไม่รีบ แม่ทัพใหญ่เซียวค่อยๆ คิดก็ย่อมได้” ปรมาจารย์วิชาพิษไม่ได้กล่าวคำพูดทำนองว่าอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจรอช้าได้
อวี๋หวั่นลอบทอดถอนใจ ฝีมือของปรมาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างไรคงต้องรอดู แต่ที่แน่ๆ คือเขาเป็นยอดฝีมือแห่งการเจรจา เขารู้จักวิเคราะห์จิตใจของอีกฝ่ายและหาข้อได้เปรียบจากมัน แต่ต้องไม่มากเกินไป เขารู้ว่าสำหรับอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา เซียวเจิ้นถิงจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่าเขาอย่างแน่นอน หากเขาไม่เอ่ยปาก เซียวเจิ้นถิงก็จะยิ่งกระวนกระวายใจ แต่หากเอ่ยปากออกไป ก็อาจได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม
อวี๋หวั่นมองไปยังเซียวเจิ้นถิง ทองคำหนึ่งแสนตำลึงไม่ใช่น้อยๆ สกุลเซียวไม่ใช่ขุนนางฉ้อฉล จะไปมีเงินมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไร? คราวนี้คงได้ล้มละลายกันพอดี
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะรักษาลูกข้าให้หายได้?” เซียวเจิ้นถิงถาม
ปรมาจารย์วิชาพิษคล้ายกับจะคาดเดาความสงสัยนี้ไว้ล่วงหน้า เขาแค่นเสียงหัวเราะ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ไม่พูดมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็น!”
คืนนี้อวี๋หวั่นพักที่จวนสกุลเซียว เธอถูกจัดให้พักที่เรือนอู๋ถง
เรือนนี้สร้างไว้สำหรับเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยย่างกรายเข้ามา
วันรุ่งขึ้น อวี๋หวั่นตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เธอไม่ได้ลุกจากเตียง แต่กลับนอนคิดถึงเด็กน้อยทั้งสาม
ปรมาจารย์วิชาพิษกว่าจะตื่นนอนก็ย่างเข้าช่วงสาย เมื่อคิดว่าเขาเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เวลาอาหารเช้าก็ยังคงเผชิญกับคำบริภาษของปรมาจารย์ท่านนี้ดังเคย จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถม้าของจวนสกุลเซียว นั่งโขยกเขยกไปจนถึงหมู่บ้านเหลียนฮวา
ทันทีที่เด็กน้อยทั้งสามเห็นอวี๋หวั่น พวกเขาก็วิ่งเข้ามากอดเธอ ไม่พบหน้ากันหนึ่งวัน พวกเขาคิดถึงอวี๋หวั่นเหลือเกิน
“แฝดสามรึ?” ปรมาจารย์วิชาพิษเลิกคิ้ว ความประหลาดใจบนปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แฝดสามนับว่าหายากยิ่ง อีกทั้งยังเป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักเช่นนี้ ลูกศิษย์หนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองพวกเขา จนกระทั่งดรุณีน้อยใช้แขนสะกิดเขาเบาๆ และถลึงตาใส่ เขาจึงหลุบตากลับมาอย่างไม่สบอารมณ์
อวี๋หวั่นพาเด็กๆ ออกไป
ปรมาจารย์เริ่มลงมือตรวจรักษาให้เยี่ยนจิ่วเฉา
ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ขั้นตอนการตรวจรักษา นอกจากลูกศิษย์สองคน แม้แต่ซั่งกวนเยี่ยนที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาก็ถูกเชิญออกมาเข่นกัน ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ประตูห้องก็เปิดออก
“ท่านหมอ ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเยี่ยนถามด้วยความกระวนกระวายใจ
“ฮูหยินเซียวไปดูเองเถิด” ปรมาจารย์วิชาพิษกล่าวด้วยความมั่นใจ
ซั่งกวนเยี่ยนเข้าไปในห้อง
“ว้ายยย”
เสียงร้องของนางดังมาจากด้านใน
เซียวเจิ้นถิงจึงรุดมาหน้าเตียง “ฉงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซั่งกวนเยี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “ขะ…เขาฟื้นแล้ว! ”
แม้เขาจะยังพูดไม่ได้ แต่เขาลืมตาขึ้น อีกทั้งดวงตาของเขามิได้ดูไร้วิญญาณ นัยน์ตาของเขาดูอิดโรยและอัดอั้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมานกับความเจ็บปวด ซั่งกวนเยี่ยนปวดร้าวใจจนร่ำไห้ออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็หมดสติไปอีก
เขาอาจยังไม่ได้สติครบถ้วน แต่ความหวังว่าจะรักษาเขาให้หายของซั่งกวนเยี่ยนก็ปรากฏขึ้น เพียงแต่ว่า ทองคำหนึ่งแสนตำลึงไม่ได้หามาโดยง่าย นางเกิดมาในตระกูลร่ำรวย สินเดิมมีมาก ยังหาทองไม่ได้มากถึงเพียงนี้
ขณะที่ซั่งกวนเยี่ยนกำลังใคร่ครวญว่าจะขายสินทรัพย์ในนามของตนชิ้นใดดี เซียวเจิ้นถิงก็จับไหล่ของนาง “เจ้าดูแลฉงเอ๋อร์ เงินค่ารักษาข้าจัดการเอง”
“แต่ว่า…”
“ฉงเอ๋อร์ก็เป็นลูกข้าเหมือนกัน”
เขาเป็นลูกข้า ตั้งแต่วันแรกที่ข้าแต่งงานกับเจ้า
ซั่งกวนเยี่ยนน้ำตารื้นพลางพยักหน้า นางไม่ได้กล่าวคำพูดเสแสร้งใดๆ ออกไป นางไม่สนใจว่าผิดหรือถูก ในตอนนี้ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวของนางก็คือนางจะต้องช่วยลูกให้ได้!
“ข้าจ่ายให้ท่านครึ่งหนึ่งก่อน หากลูกข้าหายดี ข้าจะจ่ายให้ท่านอีกครึ่งหนึ่ง” เซียวเจิ้นถิงบอกกับปรมาจารย์
ปรมาจารย์มิได้มีความเห็นใดต่อเรื่องนี้
เซียวเจิ้นถึงพูดอย่างจริงจังว่า “ทางที่ดีท่านควรรักษาเขาให้หายจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็คงหลอกเอาเงินเซียวเจิ้นถิงไปไม่ได้ง่ายๆ!”
ปรมาจารย์วิชาพิษเชิดหน้า “ข้ารู้ว่าแม่ทัพเซียวมีความสามารถ หากข้าหลอกลวงท่าน ท่านคงตามสังหารข้าไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าคงไม่หาเรื่องใส่ตัวขนาดนั้น ข้ามีวิธีถอนคำสาป ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่เรียกร้องมากเพียงนี้ ข้าก็รู้ว่าทองหนึ่งแสนตำลึงไม่ใช่น้อย เอาอย่างนี้ ข้าให้เวลาท่านรวบรวมค่ารักษาสามวัน สามวันนี้ข้าขอรับรองว่าคำสาปในร่างกายเขาจะไม่แย่ลง”
เซียวเจิ้นถิงเหลือบมองเขา แล้วขึ้นไปนั่งรถม้ากลับจวน
สามวัน…คนเป็นพ่อแม่รอนานเพียงนั้นไม่ไหวหรอก
เซียวเจิ้นถิงกลับจวนไป เรียกพ่อบ้านมาที่ห้อง แล้วถามเขาว่า “บ้านเรามีเงินอยู่เท่าไรหรือ?”
พ่อบ้านไปหยิบสมุดบัญชีและลูกคิดจากห้องบัญชีมา คิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “หกหมื่นตำลึงขอรับ นี่เป็นเงินของจวน รวมกับที่ร้านก็ราวๆ สองแสนตำลึงขอรับ”
เงินสองแสนตำลึง มีค่าประมาณสองหมื่นตำลึงทอง น้อยเกินไป
“จ่ายไปก่อน” เซียวเจิ้นถิงบอก
พ่อบ้านตื่นตะลึง “ทะ…ทั้งหมดเลยหรือขอรับ? ”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ทั้งหมด ข้าต้องใช้เดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านตกใจจนอ้าปากค้าง เขาอยากถามบางอย่าง ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไร ได้แต่หอบลูกคิดกลับห้องบัญชีไป
“เอ้อร์หลาง!”
ขณะที่เซียวเจิ้นถิงกำลังตรวจสอบห้องเก็บของอยู่นั้น สตรีสวมอาภรณ์หรูหราก็เดินปึงปังเข้ามา สาวใช้วิ่งไล่ตามนางเจ้ามาถึงหน้าประตู คำนับเซียวเจิ้นถิงครั้งหนึ่ง “ฮูหยินใหญ่จะเข้ามาให้ได้ พวกข้าห้ามนางไม่ได้… ”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปก่อน” เซียวเจิ้นถิงบอกกับสาวใช้
สาวใช้เดินก้มหน้าออกไป
ฮูหยินเซียวเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง
เซียวเจิ้นถิงถามนางว่า “ได้ยินว่าพี่สะใภ้ใหญ่ปวดหัว ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
ฮูหยินเซียวกล่าวถากถาง “ในสายตาของเจ้ายังมีพี่สะใภ้คนนี้อยู่อีกรึ? เอ้อร์หลาง ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ไม่เห็นหัวข้าเสียแล้ว!”
“พี่สะใภ้พูดถึงอะไร?” เซียวเจิ้นถิงถาม
ฮูหยินเซียวกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าอย่ามาอ้อมค้อม! เมื่อกี้ข้าได้ยินคนคุยกันว่าเจ้าจะนำเงินสดของจวนไปทั้งหมด เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ไม่ได้หักเงินเดือน” เซียวเจิ้นถิงบอก
ฮูหยินเซียวชะงักไป แล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นกังวลกับเงินเดือนของตัวเองรึ? ข้ากำลังถามเจ้าว่า เจ้าจะทำอะไรจึงต้องเอาเงินของจวนไปใช้ทั้งหมด?”
“ข้าต้องรีบใช้” เซียวเจิ้นถิงตอบ
ฮูหยินเซียวกล่าวค่อนแคะ “รีบใช้ทำอะไร? เจ้าตอบข้ามาตามตรง เจ้าคิดจะเอาเงินไปรักษาคนขี้โรคนั่นใช่ไหม? ครั้งนี้เจ้าคิดจะใช้เงินเท่าไรเล่า? เลือดเนื้อเชื้อไขสกุลเซียวเจ้าไม่รัก กลับไปเป็นห่วงเป็นใยคนนอก! ทำไม? เขาเป็นครอบครัวเจ้า แต่พวกข้าไม่ใช่งั้นรึ?!”
เซียวเจิ้นถิงถอนหายใจ “พี่สะใภ้ ข้าไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย”
ฮูหยินเซียวกล่าวด้วยโทสะ “แต่เจ้าทำอย่างนั้น! เจ้าทำเป็นพูดดีไป เลี้ยงดูเหยี่ยนเอ๋อร์มาเองกับมือ หมายจะให้เขาเป็นผู้สืบทอดสกุลเซียว ผลเป็นอย่างไรเล่า? เหยี่ยนเอ๋อร์ตายไปแล้ว! ลูกชายข้าตายไปแล้ว! เป็นเจ้าที่ทำร้ายเขาจนตาย! หากไม่ใช่เพราะเจ้าส่งเขาไปชายแดน ตอนนี้เขาก็คงยังอยู่! ข้าไม่ได้ยินเขาเรียกข้าว่าแม่ด้วยซ้ำ! เป็นเพราะเจ้า! เซียวเจิ้นถิง เป็นเพราะเจ้า!”
การตายของเซียวเหยี่ยนเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของสกุลเซียว ฮูหยินเซียวไม่กล้าปริปากบ่น เนื่องจากเซียวเหยี่ยนสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน หากใช้คำกล่าวของเซียวเหยี่ยนก็คือเขาตายอย่างคุ้มค่า แต่สำหรับฮูหยินใหญ่สกุลเซียวแล้ว นางไม่เพียงสูญเสียบุตรชายไป แต่ยังสูญเสียแหล่งทรัพย์ศฤงคารของตระกูลเซียวไปอีกด้วย คำพูดที่พูดออกไปในวันนี้ก็เพื่อใช้บังหน้าเท่านั้น
เซียวเจิ้นถิงเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของเซียวเหยี่ยนเป็นอย่างมาก แต่หากให้เขาตัดสินใจอีกรอบ เขาก็จะทำเหมือนเดิม เซียวเหยียนคู่ควรกับสนามรบ เขามีพรสวรรค์ของแม่ทัพ เขานำรายชื่อสายลับมาได้ เขาเลือกคนได้เหมาะสม เขาปิดฉากสงครามกับซยงหนู
………………………………………………………….