บทที่ 91 สละเรือนร่างให้เขา
Ink Stone_Romance
ด้านหน้าประตู อวี๋หวั่นก็พบกับสตรีพิษ
เดิมทีนางเองก็มิได้ชอบใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก ทว่าเมื่อเห็นอวี๋หวั่น นางก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา
ก็สตรีชาวบ้านคนนี้ทำให้หนอนพิษของนางตายไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นนางก็ต้องนอนกับผู้ชายของนาง! คอยดูนางทรมานจนต้องแดดิ้น!
สตรีพิษกอดอกพิงเสาประตู แล้วมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสายตาเปี่ยมชัยชนะ
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจนาง จึงเดินไป
ขณะที่เดินสวนกับสตรีพิษนั้น นางก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า “เจ้าขอร้องข้าสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะใช้หนอนพิษในร่างเจ้า เปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นสตรีพิษ แล้วให้เจ้าถอนพิษให้คนของเจ้าก็ได้นะ”
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้ามันง่ายถึงเพียงนั้น เจ้าก็คงไม่ต้องลงมือเองหรอกใช่ไหม?”
แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายเพียงนั้น แต่ในร่างของเจ้ามีราชันสัตว์พิษที่ทรงพลัง เหมาะแก่การถอนคำสาปของเยี่ยนจิ่วเฉากว่าข้ามาก แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!
สตรีพิษยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณชายเยี่ยนดีถึงเพียงนั้น ข้าก็อยากจะยกเรือนร่างนี้ให้เขา!”
อวี๋หวั่นตอบว่า “งั้นเจ้าก็ใช้โอกาสนี้แหละ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” สตรีพิษหัวเราะอย่างเย็นชา
นางหัวเราะได้กวนประสาทเหลือเกิน อวี๋หวั่นอยากจะจับตบสักฉาด
สตรีพิษขยับเข้าไปใกล้อวี๋หวั่นราวกับอ่านความคิดของเธอออก “ตบข้าเลย ตบข้าให้ตาย คนในใจของเจ้าก็จะได้หมดหนทางรักษา”
อวี๋หวั่นรู้ว่าในใจนางยังคงเคืองแค้นตนเอง จึงหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดไฟโทสะที่ลุกโชน แล้วเดินกลับบ้านไป
……
“ท่านพี่ ข้าท่องได้หมดแล้ว!” ในบ้าน เถี่ยตั้นน้อยดึงแขนเสื้อของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าท่องได้หมดแล้ว เจ้าท่องผิดสองจุด ต้องเป็น ‘หลงซือหั่วตี้ เหนี่ยวกวนเหริน
หวง[1]’ ไม่ใช่ ‘เหนี่ยวกงเหรินหวง’ แล้วก็ ‘โจวฟาอินทัง[2]’ ไม่ใช่ ‘โจวฟาซางทัง’”
เถี่ยตั้นน้อยไม่มีอะไรจะพูด ท่านพี่ดูท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขายังคิดว่าท่านพี่ไม่รู้ ทว่าแม้แต่คำผิดเล็กๆ น้อยๆ นางก็ยังจับได้
ท่านพี่นี่น่ากลัวจริงๆ!
“ท่านพี่ ท่านมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?” เถี่ยตั้นน้อยกะพริบตาปริบๆ พลางมองไปยังอวี๋หวั่น มีบางเรื่องที่อวี๋หวั่นไม่พูด แต่พี่น้องก็สามารถเชื่อมใจถึงกัน เขาพอจะสัมผัสได้ว่าท่านพี่อารมณ์ไม่ค่อยดี
ท่านพี่ขุ่นเคืองใจ ขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าตอนที่เขาทะเลาะกับโก่ววาเสียอีก
อวี๋หวั่นปลดกระดุมที่เขาติดผิดแล้วติดให้ใหม่ “ไม่เกี่ยวว่ามีอะไรในใจหรอก แต่เกี่ยวกับว่าข้าทนเห็นเนื้อแน่นๆ ไม่ได้ ถ้าข้ายังไม่ได้กิน คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้แตะ”
เถี่ยตั้นน้อยครุ่นคิด “อ้อ งั้นต่อไปข้าจะให้ท่านพี่กินเนื้อก่อน”
อวี๋หวั่นกดยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่เนื้อของบ้านเรา”
เด็กช่างใสซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน ดีจริงๆ
อวี๋หวั่นตอบว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าออกไปเล่นเถอะ อย่าลืมเก็บหนังสือด้วย”
“อื้ม!” เมื่อคิดถึงคำว่าเล่น เถี่ยตั้นน้อยก็ไม่สนสิ่งใดอีก เขารีบเก็บหนังสือ “น้องเล็ก! น้องเล็ก!”
เขาตะโกนพลางวิ่งไปหาเด็กน้อยทั้งสามที่บ้านข้างๆ
อวี๋หวั่นได้ยินเสียงน้ำจากบ้านข้างๆ และได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ เป็นสตรีพิษคนนั้นที่กำลังอาบน้ำ นางจงใจทำเสียงดัง ก็เพื่อบอกเธอว่าอีกประเดี๋ยวนางจะถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว
ด้วยความสามารถในการได้ยินของเธอ น่าจะได้ยินเสียงกระบวนการถอนพิษของพวกเขาทั้งสอง อวี๋หวั่นคิดว่าทางที่ดีตนควรจะออกไปจากหมู่บ้านสักพัก มิเช่นนั้นเธอกลัวตนเองจะอดรนทนไม่ไหว บุกเข้าไปจับผู้หญิงคนนั้นเหวี่ยงออกมาจากเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉา
“อาหวั่น!” เสียงของอวี๋เฟิงดังมาจากหน้าประตู
“มีอะไรหรือ พี่ใหญ่?” อวี๋หวั่นเดินออกจากบ้าน
อวี๋เฟิงหยุดอยู่หน้าประตู แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “ข้าจะพาท่านพ่อไปรักษาขาในเมืองหลวง เจ้ามีอะไรไปส่งที่หอจุ้ยเซียนหรือไม่?”
“ไม่มี เงินค่าของจ่ายครบแล้ว ของก็ส่งไปแล้ว” พูดจบ อวี๋หวั่นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปเมืองหลวงกับท่าน”
“เอ…” อวี๋เฟิงตกใจ “เจ้าไปได้หรือ?”
ไม่ต้องดูแลเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วหรือ?
ผู้ชายคนนั้นมีคนดูแลแล้วนี่ มิหนำซ้ำยังดูแลเสียดิบดี โชคดีเสียจริง อวี๋หวั่นหลุบตาลงพลางยิ้ม “ไปได้ ข้าจะไปซื้อของในเมืองหลวงพอดี”
“ซื้อตำราแพทย์หรือ?” อวี๋เฟิงถาม
ปรมาจารย์กำลังจะถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉา ตำราแพทย์อะไรนั่น เห็นทีคงจะไม่ต้องใช้แล้ว อวี๋หวั่นถอนหายใจ แล้วพยักหน้า “ใช่ ตำราแพทย์”
อวี๋เฟิงมิได้สงสัย เขาเรียกซวนจื่อให้นำเกวียนมาพาพวกเขาเข้าไปในตำบล
จากนั้นซวนจื่อก็นำเกวียนกลับหมู่บ้าน ส่วนพวกเขาก็เปลี่ยนไปนั่งรถม้า
ในตอนนี้เอง อวี๋เฟิงก็มองออกว่าอวี๋หวั่นแปลกไป ปกติแล้วอวี๋หวั่นนับว่าเป็นคนเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบเหมือนตอนนี้
อวี๋เฟิงมองตากับบิดา ลุงใหญ่ส่ายศีรษะเล็กน้อย เป็นเชิงปรามว่าอย่าพูดอะไรมาก
อวี๋เฟิงลอบถอนหายใจ แล้วกล้ำกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
เข้าใกล้ช่วงบ่าย รถม้าก็เคลื่อนมาถึงเป่าจือถัง อวี๋เฟิงพยุงบิดาลงจากรถม้า หมอจี่รออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นทั้งสอง รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า “พ่อครัวอวี๋ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ลุงใหญ่ยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ดีกว่าปีก่อนมาก ข้าจะเดินให้ท่านดู!”
“ดีๆ!” หมอจี่ปล่อยลุงใหญ่
ลุงใหญ่ส่งไม้เท้าให้บุตรชาย ค่อยๆ ก้าวขาซึ่งสั่นเล็กน้อย เขาเดินอยู่ในร้านยา แต่ละก้าวของเขายังคงเชื่องช้า หากแต่ไม่กะโผลกกะเผลกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ลุงใหญ่กล่าวว่า “ท่านหมอจี่ฝีมือเก่งกาจ!”
หมอจี่หยอกล้อว่า “ต่อให้เก่งกาจกว่านี้พวกเจ้าก็ต้องมาให้ข้ารักษา ก่อนหน้านี้ค่ารักษาแพง พวกเจ้าไม่อยาก
รักษาแล้วใช่ไหมเล่า?”
ลุงใหญ่หัวเราะ ใช่น่ะสิ เขากับลูกไม่คิดจะรักษาอยู่แล้ว แต่อาหวั่นคะยั้นคะยอให้รักษา ทั้งยังยืมเงินมาจากเยี่ยนจิ่วเฉาอีก ตอนนี้มาคิดดูแล้วเสียดายจริงๆ
ลุงใหญ่หันไปมองรถม้า ก็เห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ได้อยู่บนรถม้าแล้ว
“น้องสาวเจ้าเล่า?” ลุงใหญ่ถามอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงตอบว่า “ไปซื้อหนังสือแล้ว”
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในร้านหนังสือจริง ทว่าไม่ได้ซื้อหนังสือ เธอเพียงแต่ออกมาทำจิตใจให้สงบก็เท่านั้น
อวี๋หวั่นเดินผ่านชั้นหนังสือด้านหน้า ผู้จัดการก็เดินมาแล้วถามอย่างมีมารยาทว่า “แม่นางกำลังหาหนังสืออะไรอยู่หรือ? ข้าจะช่วยหาให้”
“ไม่เป็นไร ข้าขอเดินดูก่อน” อวี๋หวั่นเดินวนรอบร้านหนังสืออยู่รอบหนึ่ง เมื่อไม่พบหนังสือที่ถูกใจ จึงซื้อชุดสำหรับคัดตัวอักษรให้เถี่ยตั้นน้อย
อวี๋หวั่นถือของออกจากร้านหนังสือ ขณะที่กำลังเดินไปยังเป่าจือถัง ทันใดนั้นเอง ในตรอกที่ไม่ห่างออกไปก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง อวี๋หวั่นได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
และเพื่อที่จะยืนยันสิ่งที่ตนคาดเดา อวี๋หวั่นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในตรอกนั้น
เมื่ออวี๋หวั่นเดินเข้าไปถึง การเคลื่อนไหวนั้นก็หยุดลงแล้ว บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดที่ยังไม่แห้ง ผู้ชายคนหนึ่งนั่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น เขาใช้กระบี่ค้ำกายที่จะล้มลงไปเมื่อไรก็ได้ อีกมือหนึ่งกดท้องที่มีเลือดไหลทะลักออกมา
“อวี้จื่อกุย?” อวี๋หวั่นถาม
ผู้ชายสวมเสื้อสีฟ้าหันมา นัยน์ตาของเขาปรากฏความแปลกใจ “เหตุใดเป็นเจ้า?”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาเย้าแหย่ “มือกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรกัน? ท่านไม่ได้เก่งกาจมากหรอกหรือ? ข้าเองยังถูกบีบจนตกเขาเชียวนะ”
เมื่ออวี้จื่อกุยได้ยินอวี๋หวั่นแดกดันเขาก็ขมวดคิ้ว พยายามพยุงตนเองให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าถูกผู้ใดทำร้ายเล่า?”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ข้าแน่นอน”
อวี้จื่อกุยทนความเจ็บปวดจากบาดแผล “จะไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำของในถุงผ้าไหมหายไป ข้าจะถูกอาจารย์ตามล่าได้อย่างไร ตอนนี้ทุกคนคิดว่าข้าต้องรับผิดชอบ บังคับให้ข้าส่งมอบของให้ ข้าจะไปส่งมอบได้อย่างไร? จะเอาอะไรไปให้เล่า?”
อวี๋หวั่นหัวเราะด้วยความโกรธ “นี่เป็นเรื่องของท่าน โทษคนอื่นไม่ได้ ตอนนั้นใครให้ท่านเอาของมาใส่ในตะกร้าสะพายหลังข้าโดยไม่บอกกล่าวเล่า? ข้าทำหายก็ไม่ใช่ความผิดข้าสักหน่อย อีกอย่างข้าก็คืนถุงให้ท่านไปแล้ว ท่านจะเอาอย่างไรอีก? ท่านบอกว่าของในถุงหายไป แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าไม่แน่อาจมีคนนำของในถุงออกไปตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเอาถุงใส่ตะกร้าของข้าอีก”
อวี้จื่อกุยโต้แย้งทันที “เป็นไปไม่ได้! ตอนที่อยู่ในวัดร้างข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ของยังอยู่!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ยังอยู่ก็ยังอยู่ ท่านจะโมโหทำไมเล่า! ต่อให้ข้าเอาไปจริงๆ ท่านจะทำอะไรได้? สภาพท่านร่อแร่เช่นนี้ ยังคิดจะแย่งของคืนอีก?”
“เจ้า…” อวี้จื่อกุยยกกระบี่ขึ้นชี้ไปยังอวี๋หวั่น ขณะที่กำลังรวมพลังภายใน เขาก็กระอักเลือดออกมา เขาคุกเข่าลงข้างเดียวอีกครั้งหนึ่ง พยายามใช้กระบี่ค้ำร่างที่อ่อนแรงของตน
อวี๋หวั่นโล่งออก
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปทีละก้าวๆ “อวี้จื่อกุย ท่านว่าถ้าข้าฆ่าท่านตอนนี้ จะมีคนรู้หรือไม่?”
“เจ้า…”
อวี๋หวั่นมองลงต่ำ “ข้าทำไม? ข้าไม่ควรฆ่าท่านหรือ? ท่านทำให้ข้าจนตรอกหลายครั้ง ทำให้ข้าตกเขาก็ยังทำมาแล้ว ท่านคิดว่าแค่บอกว่าท่านไม่เคยคิดจะฆ่าข้า แล้วทุกอย่างจะจบหรือ? ท่านไม่ได้เปิดเผยเรื่องของข้ากับอาจารย์ ข้าก็ควรจะซาบซึ้งในบุญคุณของท่านรึ? อวี้จื่อกุย ข้าไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
อวี้จื่อกุยมองอวี๋หวั่นด้วยความสงสัย เด็กคนนี้บอกว่านางไม่ได้ใจดีกับเขา หรือพูดเรื่องอื่นกันนะ?
อวี๋หวั่นดึงมีดสั้นออกมา
อวี้จื่อกุยตวัดกระบี่ขึ้นป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ “ขอเพียงเจ้าส่งราชันสัตว์พิษมา ข้ารับรองว่าหลังจากนี้จะไม่มาให้เจ้าเห็น!”
อวี๋หวั่นตกใจ “ท่านพูดถึงอะไร? ราชันสัตว์พิษ?”
……………………………….
[1] หลงซือหั่วตี้ เหนี่ยวกวนเหรินหวง กล่าวถึงชื่อเรียกตำแหน่งต่างๆ ในสมัยจีนโบราณ ได้แก่ หลงซือ หั่วตี้ เหนี่ยวกวน และเหรินหวง
[2] โจวฟาอินทัง โจวฟาหมายความถึงกษัตริย์โจวอู่หวัง ผู้สถาปนาราชวงศ์โจว และอินทังหมายความถึงกษัตริย์เฉิงทัง ผู้สถาปนาราชวงศ์ซาง