บทที่ 8 ไข่ล้ำค่าสามฟอง (2)
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นไม่เพียงแต่เอ่ยด้วยความตั้งใจ ทว่ายังได้พิจารณาอย่างจริงจังแล้ว ในสายตาของคนภายนอก หมู่บ้านเหลียนฮวาเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ห่างไกล และมีผู้คนอาศัยอยู่น้อยที่สุด แต่ในสายตาของอวี๋หวั่น เธอกลับมองว่าพวกเขาอยู่ในที่ที่อุดมสมบูรณ์ หากไม่ได้พัฒนาให้ดี ก็นับว่าเสียของ
และไม่ได้ขัดแย้งกับธุรกิจเต้าหู้แต่อย่างใด กลับได้พัฒนาอย่างหลากหลายและทำให้ธุรกิจของพวกเขายิ่งเติบโต
อวี๋หวั่นมองไปที่ภูเขาที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด “หลี่เจิ้ง ข้าต้องการให้หมู่บ้านของเรากลายเป็นหมู่บ้านอันดับหนึ่งในตำบลเหลียนฮวา!”
หลี่เจิ้งตกใจแทบอ้าปากค้าง
หลี่เจิ้งตกใจกับคำพูดของอวี๋หวั่น ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาถูกทำลายจนหมด ไม่นานท้องของพวกเขาก็จะหิว ทว่าอาหวั่นบอกเขาว่าพวกเขาจะกลายเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยที่สุดในตำบลเหลียนฮวา จะเป็นไปได้จริงหรือ?
…
ครอบครัวอวี๋รู้เรื่องที่เด็กน้อยทั้งสามแยกจากครอบครัวแล้ว เมื่อคืนนางเจียงพาเด็กน้อยไปทานอาหารเย็นที่บ้านหลังเก่า
เถี่ยตั้นน้อย เด็กหญิงตัวเล็กและเด็กชายทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและกินขนมถ้วยฟูน้ำตาลทรายแดง ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนทำอาหารเช้า นางทำอาหารไม่เก่งเท่าลุงใหญ่ แต่อาหารมื้อนี้ก็ใช้ใจทำ ขนมถ้วยฟูน้ำตาลทรายแดงโรยด้วยงาและฝังอินทผลัมที่คว้านเม็ดออก
เด็กน้อยทั้งสามนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กินกันอย่างอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งอวี๋หวั่นก็ป้อนโจ๊กคำเล็กๆ ให้พวกเขา
อวี๋หวั่นมองพวกเขาที่กำลังกินอาหาร พลันรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากกว่าตัวเองกินเสียอีก
เถี่ยตั้นน้อย “ท่านพี่ไม่ป้อนข้าบ้าง”
อวี๋หวั่น “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
เถี่ยตั้นน้อยซึมเศร้า “ท่านพี่ไม่รักข้าแล้ว”
อวี๋หวั่น “…”
หลังอาหารค่ำ อวี๋หวั่นบอกครอบครัวเรื่องการวางแผนจะไปรักษาขาลุงใหญ่ที่เมืองหลวง
คนสกุลอวี๋ไม่มีความเห็น แต่การแข่งขันใหญ่ถูกระงับ โรงงานก็ปิดชั่วคราว หากจะลองเสี่ยงโชคไปรักษาที่เมืองหลวงดูก็ดีกว่าการอยู่บ้านเฉยๆ
“หมอที่ไปหาคราวก่อน เขาเคยเป็นหมอทหารมาก่อน จึงรักษาอาการบาดเจ็บได้ดีมาก” อวี๋หวั่นจำหมอผู้นั้นที่เป่าจือถังได้ เขาดูมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง
“ไปเถิด” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าว
ลุงใหญ่ลังเลที่จะเอ่ย
อวี๋หวั่นเข้าใจสิ่งที่เขากังวล หลังจากผิดหวังมาครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ไม่กล้าให้ความหวังอีก
แต่อวี๋หวั่นก็ไม่อยากยอมแพ้
หากไม่ใช่เพราะลุงใหญ่ คนที่ต้องขาเป๋ก็คงเป็นเธอ เธอไม่ได้กำลังรักษาการบาดเจ็บของลุงใหญ่ ทว่ากำลังรักษาแผลใจของตนเอง
“เช่น…เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ลุงใหญ่กล่าว
อวี๋ซงไปที่บ้านของซวนจื่อเพื่อขอยืมรถเกวียนวัว อวี๋หวั่นประคองลุงใหญ่ขึ้นไป
เมื่อเห็นอวี๋หวั่นขึ้นรถ เด็กน้อยทั้งสามก็รีบปีนขึ้นไปด้วย
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยความเจ็บปวด “ก็ได้ หากข้าพบท่านพ่อของเจ้า ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไป”
เด็กจ้ำม่ำที่ดูสับสน “…”
สายเกินไปแล้วหรือไม่ที่จะลงจากรถตอนนี้?
พวกเขาเปลี่ยนรถม้าอีกคันในตำบล และอวี๋ซงก็ขับรถเกวียนวัวกลับไป อวี๋หวั่น อวี๋เฟิง ลุงใหญ่และเด็กน้อยทั้งสามนั่งรถม้าไปยังเป่าจือถังในเมืองหลวงด้วยกัน
ไม่ได้มาหนึ่งเดือน ธุรกิจของเป่าจือถังก็ดูรุ่งเรืองขึ้น
“เจ้านั่งรออยู่ที่รถม้า ข้าจะไปต่อแถว” อวี๋เฟิงเอ่ย หลังจากต่อแถวยาวเหยียด ดูเหมือนว่า กว่าจะถึงคราวพวกเขาคงเป็นช่วงบ่ายไปแล้ว
อวี๋หวั่นค้นของที่เอว “อาหารที่ป้าสะใภ้ใหญ่เตรียมไว้ ข้าลืมไว้ที่รถเกวียนวัว อีกประเดี๋ยว ท่านลุงอยากกินอะไรหรือไม่? ข้าจะไปซื้อมาให้”
“ข้าไม่หิว” ลุงใหญ่ไม่มีความอยากอาหาร
สารถีกล่าว “ในตรอกตรงนั้นมีบ้านขายแกงข้นเนื้อแพะรสชาติดีเลยล่ะ!”
“ซู้ดด~” เด็กจ้ำม่ำทั้งสามน้ำลายไหล
ลุงใหญ่ยิ้ม “เช่นนั้นก็เอาแกงข้นเนื้อแพะแล้วกัน”
ยามนี้พวกเขามีเงินพอสำหรับแกงข้นเนื้อแพะสองสามชามแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยากจน ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจทนทรมานเด็กๆ ได้
อวี๋หวั่นกระโดดลงจากรถม้าและอุ้มเด็กน้อยทั้งสามลงมา
เธอจับคนโตไว้ในมือข้างหนึ่ง คนโตจับคนรองไว้ด้วยอีกมือข้างหนึ่ง และอีกข้างของอวี๋หวั่นก็จับคนเล็ก แล้วก็เดินไปหาอวี๋เฟิง “พี่ใหญ่ ข้าจะไปซื้อแกงข้นเนื้อแพะ”
อวี๋เฟิงกล่าวด้วยความเจ็บปวด “เช่นนั้นข้าเอาแค่แผ่นแป้งอบโม๋โมก็พอ”
ข้ารู้ว่าท่านจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าหากข้าซื้อมาแล้ว จะไม่กินได้หรือ?
อวี๋หวั่นหรี่ตาลงมองและพาทั้งสามคนไปยังทิศที่สารถีรถม้าชี้
แม้เสื้อผ้าที่เธอใส่จะดูธรรมดา ทว่าไม่อาจปิดบังความงดงามตามธรรมชาติของเธอได้ เธอจูงเด็กสามคนที่เหมือนกันราวกับแพะ เป็นภาพที่น่ารักจนต้องตกตะลึง ตลอดทางที่เดินไป ไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมามากมายเพียงใด
ร้านแกงข้นเนื้อแพะเป็นร้านแผงลอยของครอบครัวสี่คน คู่สามีภรรยาแก่และบุตรชายกับลูกสะใภ้ แผงลอยดูสะอาดสะอ้าน เนื้อแพะสดใหม่ น้ำแกงมีกลิ่นหอมของเนื้อแพะจางๆ ผสมกับความหอมของเครื่องปรุงและต้นหอม
“ห้าชามก็น่าจะเพียงพอแล้ว” อวี๋หวั่นเดินมาที่แผงลอย “แกงข้นเนื้อแพะราคาเท่าไร?”
คู่สามีภรรยาแก่กำลังง่วนอยู่กับการแล่เนื้อแพะ คนที่ทำแกงและเก็บเงินเป็นคู่รักหนุ่มสาว
ในตอนแรกเมื่อทั้งคู่เห็นเด็กๆ ก็ตกใจ แต่แล้วสตรีตัวเล็กก็เอ่ยตอบ “ชามเล็กยี่สิบห้าอีแปะ ชามใหญ่สามสิบอีแปะ โม๋โมสามอีแปะ”
ราคานี้ถือว่าแพงกว่าในตำบลมาก
คนที่ฟุ่มเฟือยอย่างอวี๋หวั่นก็ยังรู้สึกปวดใจ
เด็กน้อยทั้งสามเงยหน้าขึ้นสบตาสตรีตัวเล็กอย่างรวดเร็ว น่ารัก น่ารัก น่ารัก!
“ไอ้หยา” หัวใจของสตรีตัวเล็กแทบละลาย “แกงเนื้อแพะ ข้าลดให้เจ้าพิเศษสองอีแปะแล้วกัน แล้วก็แถมโม๋โมอีกสองชิ้น”
ช่วยอวี๋หวั่นประหยัดได้สิบหกอีแปะสำเร็จ!
อวี๋หวั่นจ่ายเหรียญกษาปณ์ทองแดงและกำลังจะส่งชามใบแรกให้ลุงใหญ่ ทว่าจู่ๆ ก็มีรถม้ามาขวางทางเธอ
“คุณหนู ดูนั่นสิ! ไม่ใช่คุณชายน้อยหรอกหรือ?”
นั่นเป็นเสียงของลี่จือ
คุณชายน้อยหายตัวไป จวนสกุลเหยียนส่งกำลังออกตามหาทั่วเมืองหลวง แม้แต่เหยียนหรูอวี้ก็นั่งรถม้าตามหาพวกเขาตลอดทั้งคืน เดิมทีนางคิดว่าความหวังช่างริบหรี่เลือนลาง ไม่รู้จะตามหาพวกเขาจากที่ใด ทว่าก็พบกับปาฏิหาริย์ระหว่างทางไปจวนคุณชาย เพื่อสารภาพผิดและขอความช่วยเหลือ!
ยอดเยี่ยมเสียจริง!
เหยียนหรูอวี้สวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียว เดินออกจากรถม้าด้วยสีหน้าเย็นชา
นางได้เบาะแสจากฮูหยินเหยียน ผู้ที่ทำร้ายฮูหยินเหยียนเป็นสตรี แม้ฮูหยินเหยียนเห็นหน้านางไม่ชัด ทว่าได้ยินเสียงดูถูกเหยียดหยามของนาง เสียงนั้นยังคงดูเด็กมาก
คิดว่าคนตรงหน้าคงเป็นสตรีผู้นั้นที่ทำร้ายมารดาและพรากบุตรของนางไป
“ข้าอยากรู้นัก ว่าผู้ใดช่างอาจหาญท้าทายอำนาจจวนแม่ทัพ!” เหยียนหรูอวี้รีบก้าวเข้าไปและมองหน้าเธออย่างตั้งใจ ก็ถึงกับตกตะลึงในทันที “เจ้าเองรึ?”
“เหยียนหรูอวี้?” อวี๋หวั่นตกใจเล็กน้อยเช่นกัน ชะตาของเธอต้องมีเรื่องกับคนสกุลเหยียนหรืออย่างไร? อยู่ตรงนี้ก็ยังมาพบกัน?
เหล่าเด็กน้อยรีบคว้ามืออวี๋หวั่น
ดวงตาของเหยียนหรูอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “มาหาแม่”
เด็กสามคนหดตัวหลบอยู่ข้างหลังอวี๋หวั่นด้วยความหวาดกลัว
แม่? สตรีผู้นี้หรือเป็นมารดาของแฝดทั้งสาม? ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าสตรีผู้นั้นเหมือนมารดาที่แท้จริงมากกว่า…สตรีตัวเล็กที่แผงลอยแกงเนื้อแพะอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
“ไม่ฟังแม่แล้วหรือ? มานี่!”
ท่าทีต่อต้านของเด็กทั้งสามทำให้ใบหน้าของเหยียนหรูอวี้แตกละเอียด นางพยายามกลั้นโทสะและกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ฟังที่แม่กล่าวแล้วหรือ? บอกให้มานี่!”
อวี๋หวั่นมองนางอย่างเย็นชา “อย่าดุพวกเขา!”
“ข้าสั่งสอนบุตรชายข้า เจ้าเข้ามายุ่งอันใด?” เหยียนหรูอวี้เอ่ยพร้อมกับพุ่งมือออกไป หมายจะจับเด็กที่ยืนอยู่ด้านข้างอวี๋หวั่น
ดุร้ายเช่นนี้ ไม่กลัวจะไปทำร้ายเด็กหรือ?!
อวี๋หวั่นจับข้อมือของนาง
เหยียนหรูอวี้พยายามดิ้นขัดขืนทว่าดิ้นไม่หลุด นางจ้องมองอวี๋หวั่นด้วยความโกรธแค้น “เจ้าบังอาจยิ่งนัก! สิ่งที่เจ้าทำ ตายร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีเก่ากับเจ้า เจ้ากลับยิ่งกำเริบเสิบสาน”
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยความโกรธ “ข้าทำอันใดหรือ? เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าไม่อาจทนกับเด็กๆ ได้ สุดท้ายเจ้าก็เอาความโกรธของเจ้าไปลงกับเด็ก มีแม่คนใดทำเช่นนี้? เจ้าเป็นมารดาที่ให้กำเนิดพวกเขาจริงๆ รึ?!”
เหยียนหรูอวี้กระทืบเท้าด้วยความเจ็บปวด ไฟโทสะในใจยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรง “สตรีปากคอเราะร้ายเช่นเจ้า ดูเหมือนว่าหากข้าไม่ได้สั่งสอนบทเรียนให้เจ้าในวันนี้ เจ้าคงไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ! ทหาร ทหาร! ตบปากมัน!”
…………………………