บทที่ 102 งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นอยู่มาสองชาติก็ยังไม่เคยแต่งงาน ไม่รู้ว่าการแต่งงานต้องตื่นเช้าเพียงนี้ ไก่ฟ้าบ้านเธอยังไม่ขัน ก็ถูกป้าสะใภ้ใหญ่ขุดให้ลุกจากเตียงเสียแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสแต่เช้าตรู่ หวีเกล้ามวยผมเรียบร้อยเป็นมันวาว ประดับด้วยปิ่นเงินหยกที่ไม่ค่อยหยิบมาใช้ในวันธรรมดา พร้อมกับทาปากด้วยชาดสีแดง
อวี๋หวั่นมองป้าสะใภัใหญ่ด้วยความประหลาดใจ พลางเอ่ยออกมาจากใจ “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านน่าจะแต่งตัวเช่นนี้ตั้งนานแล้ว ดูเด็กลงเป็นสิบปีแน่ะ”
ป้าสะใภัใหญ่หน้าแดง แสร้งถลึงตามองเธอ “อย่าเอ่ยเรื่อยเปื่อย! รีบตื่นได้แล้ว!”
อวี๋หวั่นมองหน้าต่างที่มืดสนิท พลางเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด “ไก่ขันแล้วหรือ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ทั้งโกรธทั้งขำ “ในบ้านเลี้ยงแต่แม่ไก่ เจ้าหวังให้แม่ไก่ร้องขันรึ?”
“เอ๊ก อีเอ๊ก เอ๊ก”
มีเสียงแม่ไก่ขันดังออกมาจากเล้าไก่จริงๆ
ป้าสะใภ้ใหญ่ “…”
อวี๋หวั่น “…”
วันนี้ไก่ฟ้ายอดเยี่ยมมาก แต่ละตัวออกไข่ถึงสองฟอง! ป้าใหญ่ขอให้ป้าจางมาช่วยเก็บไข่ และบอกว่าจะให้อวี๋หวั่นเอาไปกินไปที่จวนคุณชาย
อวี๋หวั่นจินตนาการว่าเธอกำลังถือตะกร้าไข่ไก่เข้าไปในจวนคุณชายท่ามกลางงานแต่ง…ก็สำลักพรวดออกมาอย่างรุนแรง
ป้าจางต้มไข่น้ำตาลทรายแดงหนึ่งชามให้อวี๋หวั่นกิน ป้าสะใภ้ใหญ่กังวลว่าอวี๋หวั่นอาจจะหิวในภายหลัง จึงบังคับให้อวี๋หวั่นกินเกี๊ยวไส้หมูผัดคะน้าสิบชิ้น อวี๋หวั่นอิ่มท้องกางจนเดินไม่ไหว ตอนนี้คนที่เป็นเฉวียนฝูมาถึงแล้ว
คนที่เป็นเฉวียนฝูนั้นแซ่อู๋ เป็นลูกพี่ลูกน้องในหมู่บ้านอู๋เจีย นางแต่งงานกับนายพรานผู้ซื่อสัตย์และให้กำเนิดบุตรชายสามคนและบุตรสาวหนึ่งคน พ่อแม่ของสามียังมีชีวิตอยู่ สะใภ้ในครอบครัวต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน ในหมู่บ้านแถบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับพรยิ่งใหญ่เช่นนี้ ป้าสะใภ้ใหญ่ขอให้นางมาแต่งตัวให้อวี๋หวั่น เพื่อให้อวี๋หวั่นได้รับพรจากนาง ในอนาคตให้เธอกับสามีรักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ให้กำเนิดบุตรชายที่ดีหลายๆ คน สุขสงบร่มเย็นตลอดไป
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ มีที่ใดในโลกสุขสงบร่มเย็นเช่นนั้น? เมืองหลวงก็คือหลุม ทว่าหากมีลูกๆ ของเธอและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่ก้นหลุม เธอก็ยินดีที่จะกระโดดลงไป
ห้องของอวี๋หวั่นถูกประดับตกแต่งอยู่เล็กน้อย ผนังติดป้ายยินดีสีแดงสด พร้อมกับเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นสีแดง มองแล้วรู้สึกสดใสยินดี เธอสวมชุดนอนผ้าฝ้ายธรรมดานั่งอยู่ท่ามกลางสีสันที่สดใส ก็ไม่ได้ทำให้สีสันหายไปแม้เพียงครึ่ง เหมือนกับดอกอวี้หลาน(แมกโนเลีย)ที่สะอาดบริสุทธิ์บานสะพรั่งสวยสดงดงาม
นางอู๋ตะลึงในทันทีที่เห็น นางพบเห็นหญิงสาวงดงามมามากมาย ทว่านี่เป็นคนแรกที่ทำให้นางรู้สึกว่า ‘ใบหน้าจะงามได้เพราะการเสริมแต่ง’ นั้นเป็นคำสบประมาท
“พี่อู๋ เชิญเข้ามาข้างใน” ป้าสะใภัใหญ่ต้อนรับขับสู้ด้วยความสุภาพและเอ่ยกับอวี๋หวั่น “นี่คือฮูหยินอู๋”
คนที่เป็นเฉวียนฝูในหมู่บ้านถูกเรียกให้เป็นฮูหยินด้วยความยกย่อง
อวี๋หวั่นยืนขึ้นกล่าวทักทาย “ฮูหยินอู๋”
น้ำเสียงน่าฟัง กิริยาท่าทางงดงาม วางตัวเหมาะสม นางอู๋เห็นอวี๋หวั่นก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก เหมือนกับนางเจียงในยามนั้น นางเจียงแต่งเข้าหมู่บ้าน ผู้คนในแถบนี้ก็ต่างฮือฮากัน พวกเขาไม่เคยเห็นสาวงามราวกับเทพธิดาเช่นนั้นมาก่อน และคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่มีวันได้เห็นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งหมดคิดผิด
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถิด” นางอู๋สลัดความคิดออกจากหัว
เด็กชายทั้งสามถูกพาไปนอนกับเถี่ยตั้นน้อยที่ห้องถัดไป ถังไม้เพิ่งซื้อมาใหม่ กลีบดอกไม้ก็เพิ่งเก็บมาสดๆ อวี๋หวั่นอาบน้ำร้อนอย่างสบายใจ สวมชุดชั้นใน ชั้นกลางสีแดงสด และสุดท้ายก็ถึงเวลาสวมชุดแต่งงาน
ชุดแต่งงาน…ชุดแต่งงานซับซ้อนเกินกว่าที่อวี๋หวั่นจะใส่ได้ นางอู๋และป้าสะใภ้ใหญ่ร่วมแรงกัน ในที่สุดก็สวมชุดแต่งงานที่ปักลายนกตระกูลหงส์ด้วยด้ายทองคำบริสุทธิ์ให้อวี๋หวั่นได้สำเร็จ รองจากนกเฟิ่งหวงคือนกชิงหลวน นี่คือชุดแต่งงานที่พระชายาเท่านั้นที่จะสวมใส่ได้ แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่รู้ พวกเขาคิดเพียงว่าชุดแต่งงานนี้ดูดีมาก วัสดุที่ใช้ก็ใส่สบายจนวางไม่ลง แม้อวี๋หวั่นยังไม่ได้ใช้เครื่องประทินโฉม ก็ยังดูหรูหราสง่างาม
นางอู๋และป้าสะใภ้ใหญ่มองด้วยความตกตะลึง
อวี๋หวั่นหันไปเห็นนางเจียงยืนอยู่ที่ประตูด้วยรอยยิ้ม ดวงตาลึกล้ำและอบอุ่น หัวใจของอวี๋หวั่นก็พลันรู้สึกร้อนขึ้นมา เธอเดินเข้าไปหา “เสียงดังรบกวนท่านแม่หรือ?”
ต้องโทษอวี๋ซง ฟ้ายังมืดไยมาจุดประทัด จะปลุกเธอก็ไม่ว่าอะไร แต่ยังปลุกให้ท่านแม่ของเธอตื่นด้วย โชคดีที่เด็กๆ ไม่ร้องไห้ ไม่เช่นนั้นคงยุ่งกันแต่เช้า
นางเจียงส่ายหัว พลางจับผมทัดหูอวี๋หวั่นอย่างเบามือ “อาหวั่นช่างงดงามยิ่งนัก”
อวี๋หวั่นก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
เธอไม่เคยเขินอายต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วเหตุใดเธอจึง ‘เขิน’ จนหน้าแดงด้วยคำเอ่ยของท่านแม่เพียงสองสามคำ…
นางเจียงกุมมืออวี๋หวั่นเข้าไปในห้อง
ในความทรงจำ… นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านแม่กุมมือเธอ แม้ฝ่ามือของท่านแม่เย็น แต่ภายในใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่น อุ่นจนไปถึงหูของเธอ
อวี๋หวั่นให้นางเจียงเดินนำไปที่เก้าอี้เหมือนเด็กน้อยที่เชื่อฟัง นางอู๋เปิดกล่องเครื่องประทินโฉม และเริ่มประทินผิวให้อวี๋หวั่น ก่อนแต่งหน้าก็ใช้ด้ายกำจัดขนบนใบหน้าออกก่อน วิธีนี้เรียกกันว่าเปิดใบหน้า เจ้าสาวทุกคนล้วนต้องได้สัมผัสกับมัน การเคลื่อนไหวของนางอู๋รวดเร็วมาก อวี๋หวั่นยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผิวหน้าของอวี๋หวั่นขาวใสเปล่งประกาย หากไม่ใช่เพราะอุ้งมือของเธอมีร่องรอยจากการทำงานหนัก นางอู๋ก็เกือบจะคิดว่าเธอเป็นสตรีที่ถูกปรนนิบัติอย่างดีมาตลอดทั้งปี
นางอู๋ประทินโฉมให้อวี๋หวั่น ส่วนนางเจียงและป้าสะใภ้ใหญ่ก็เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ดวงตาของนางเจียงทอประกายอ่อนโยน เบ้าตาของป้าสะใภ้ใหญ่ก็เป็นสีแดงระเรื่อ
หลังจากประทินโฉมเรียบร้อยก็เกล้าผม นางอู๋จับผมยาวของอวี๋หวั่นหวีอย่างช้าๆ ด้วยหวีเงิน
อวี๋หวั่นกระแอมหนึ่งที เป็นเชิงบอกว่าต้องท่องอะไรบางอย่างหรือไม่ จากนั้นก็ได้ยินนางอู๋ขับร้องเป็นท่วงทำนองออกมา “หนึ่งหวีจนสุด สองหวีผมและคิ้วเป็นสีขาว สามหวีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง…”
เมื่อนางอู๋ท่องเสร็จก็หวีผมเสร็จพอดี อวี๋หวั่นสวมมงกุฎหงส์ พู่สีทองยาวห้อยอยู่บนหน้าผาก บังลงมาถึงครึ่งตาของเธอ ประกายสีทองวาบไหว เธอเห็นใบหน้าของตนเองผ่านกระจกทองเหลือง รูปลักษณ์ของเธอในยามนี้ ไม่เพียงแต่นางอู๋ แม้แต่ตัวเธอเองก็แทบจำตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้มงามสง่าผู้นี้คือเธอจริงๆ หรือ? ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ในที่สุดเธอก็เชื่อว่าเธอถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เด็กๆ ตื่นนอน คนแรกที่ลืมตาคือเสี่ยวเป่า เขาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง และอวี๋หวั่นก็ไม่อยู่ เขาจึงร้องไห้ออกมา ทันทีที่เขาร้องไห้ เอ้อร์เป่ากับต้าเป่าก็ตื่น จากนั้นพวกเขาก็ร้องไห้เช่นกัน
เถี่ยตั้นน้อยมองไปที่ ‘น้องชายตัวน้อย’ ทั้งสามที่ร้องไห้ดังกว่าใครๆ ด้วยความมึนงง “…”
ป้าสะใภ้ใหญ่และนางเจียงไปอุ้มเด็กๆ เข้ามา ทั้งสามมองอวี๋หวั่นที่สวมมงกุฎหงส์อย่างว่างเปล่า ไม่กล้าที่จะรับรู้อยู่เนิ่นนาน
ทั้งสามเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าในเทศกาลงานรื่นเริง เป็นชุดแต่งงานแบบเดียวกับเจ้าบ่าว ที่หน้าอกติดดอกไม้สีแดงเล็กๆ ช่างดูน่ารักน่าชัง
อวี๋หวั่นอดใจไม่ไหว หอมแก้มบุตรชายคนละที จากนั้นทั้งสามก็ออกไปอย่างเขินอาย พร้อมกับรอยริมฝีปากสีแดงเพลิงบนใบหน้า
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ผู้คนเริ่มพลุกพล่านทั้งด้านในและด้านนอก อวี๋เซ่าชิง ลุงใหญ่และอวี๋เฟิงอวี๋ซงกำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขก นางเจียงและป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ในห้องกับอวี๋หวั่น ฤกษ์ดีคือตอนกลางคืน อวี๋หวั่นเดาว่าขบวนรับตัวเจ้าสาวจะมาถึงหมู่บ้านในช่วงบ่าย แต่ใครจะรู้ว่าเสียงฆ้องกลองจะดังขึ้น
“ขบวนรับตัวเจ้าสาวมาแล้ว! ขบวนรับตัวเจ้าสาวมาแล้ว” เสียงตะโกนของป้าไป๋ดังกังวานจนคนทั้งหมู่บ้านได้ยิน เด็กๆ ในหมู่บ้านพากันวิ่งกรูออกมาดูขบวนรับตัวเจ้าสาวกันอย่างคึกคัก
ผู้มารับตัวเจ้าสาวคืออิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน พวกเขานั่งอยู่บนหลังม้าใหญ่ชั้นดีในชุดสีแดงเข้มและรองเท้าสีดำพื้นขาวสะอาดตา ใบหน้าหล่อเหลา เต็มไปด้วยจิตวิญญาณวีรบุรุษ ด้านหลังคนทั้งสอง เป็นรถม้าที่ประดับด้วยผ้าไหมสีแดงคันหนึ่ง รถม้าได้รับการคุ้มกันอย่างน่าเกรงขามโดยองครักษ์ยี่สิบคนจากจวนคุณชาย และชายแข็งแกร่งอีกสิบคนเดินจูงม้า คนที่นั่งอยู่บนม้าคือนักดนตรีที่ได้รับเงินว่าจ้างมาจำนวนมาก
ฉากนี้ทำให้คนในละแวกนี้ต่างตกตะลึง
“ได้ยินมาว่าแต่งงานกับคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวง!” ป้าจากหมู่บ้านต่างถิ่นกล่าว
“เป็นแม่นางสกุลอวี๋กระมัง?” ชายชราจากหมู่บ้านต่างถิ่นถาม
ป้าตอบ “ใช่แล้ว แม่นางสกุลอวี๋ ลูกพี่ลูกน้องของข้าเคยทำงานเป็นช่างไม้ที่เขตก่อสร้างบ้านใหม่ของนาง เจ้าเห็นบ้านหลังใหญ่นั่นหรือไม่? ลูกพี่ลูกน้องของข้าและพวกเขาสร้างมันขึ้นมา!”
ยามนางกล่าวเช่นนี้ นางรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจ แต่ใครจะรู้ นางเป็นคนแรกที่คัดค้านเมื่อได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องของนางจะไปทำงานที่หมู่บ้านเหลียนฮวา นางบอกว่าในที่ยากจนเช่นนั้นจะมีอะไรดี อย่ามัวรอช้า รีบไปหางานดีๆ ในเมืองเถิด ยามนี้นางรู้สึกขอบคุณที่ลูกพี่ลูกน้องของนางไม่ได้ฟังนาง และไปทำงานที่บ้านสกุลอวี๋เป็นเวลาหนึ่งเดือนจนมีรายได้มากกว่าปีที่แล้ว
“ไม่รู้ว่าสกุลอวี๋ยังขาดคนงานอยู่หรือไม่…” ป้าผู้นั้นกอดอก มองไปรอบๆ พลางบ่นพึมพำ และสาบานว่าหากสกุลอวี๋เปิดรับคนงานอีกครั้ง นางตั้งใจจะเป็นคนแรกที่ส่งบุตรชายของนางไป!
“แม่นางสกุลอวี๋อะไร? ก็แค่แม่หม้ายที่ไม่มีผู้ใดต้องการ!” หญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้วจากหมู่บ้านซิ่งฮวากล่าว
“เจ้าเอ่ยไร้สาระอะไร?” ป้าผู้นั้นมองนางอย่างไม่พอใจ
ทุกคนสลับกันมองนางทีละคน ชาวบ้านของหมู่บ้านเหลียนฮวาถูกสกุลอวี๋เชิญให้ไปช่วยงานหมดแล้ว ส่วนคนที่อยู่รอบๆ ที่มามุงดูอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านล้วนมาจากหมู่บ้านอื่น
หญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้วจากหมู่บ้านซิ่งฮวาเย้ยหยัน “พวกเจ้าไม่รู้รึ? นางหมั้นกับบัณฑิตซิ่วไฉสกุลจ้าวตั้งแต่เด็ก แต่ต่อมาก็คบหากับชายอื่น กระทั่งสกุลจ้าวทราบและยกเลิกการแต่งงาน คนในเมืองนั่นไม่รู้เรื่องของนาง คิดว่านางเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ จึงขอนางแต่งงาน ให้ข้าเอ่ย…ว้าย”
ก่อนเอ่ยจบ ป้าไป๋ก็เข้ามากำจัดความชั่วร้าย!
“โอ๊ย” หญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้วจากหมู่บ้านซิ่งฮวาถูกตีจนร้องออกมา หากเป็นเมื่อก่อนคงเป็นเรื่องฮือฮาแล้ว ทว่ายามนี้เสียงฆ้องกลองดังสนั่น ไม่มีใครได้ยินว่านางกำลังได้รับความไม่เป็นธรรม แม้กระทั่งคนที่ดูความตื่นเต้นอยู่ข้างๆ ก็ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของพวกเขา เพราะนางก็ปากเสียจริงๆ
ป้าไป๋คว้าคอเสื้อนาง และหยิบส้นรองเท้าขึ้นมาตบๆๆ นางจนหน้าหัน หญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้วถูกตบจนต้องยกมือบังหัว!
ป้าไป๋เตะนางลงไปที่พื้น “หลบอยู่ในบ้านไม่ดีหรือ? ต้องมารบกวนผู้อื่น? กลัวว่าพวกเจ้าจะทำไม่สำเร็จ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
ที่นั่นยังมีชายจากหมู่บ้านซิ่งฮวาอีกสองสามคน พวกเขากำลังจะออกหน้าแทนหญิงอายุน้อยที่แต่งงานแล้ว ทว่าพี่ชายซวนจื่อนำกลุ่มอดีตทหารนอกรีตเข้ามา แต่ละคนถือมีดพร้า และดูดุร้าย ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนเยี่ยวรดตดหาย!
คนจากหมู่บ้านซิ่งฮวาวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน
อวี๋หวั่นถูกอวี๋เฟิงส่งขึ้นรถม้า
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนเองอยู่มาสองชาติ ในสายตาของเธอ ไม่ว่าจะเป็นอวี๋เฟิงหรือเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาต่างก็เป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อน จนถึงวินาทีนี้ที่เธอซบอยู่บนไหล่กว้างของเขา ในที่สุดก็รู้สึกว่าตนเองเป็นน้องสาว ชายคนนี้เป็นพี่ชายที่เธอสามารถพึ่งพาได้เสมอ
“พี่ใหญ่”
“หือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรียกเฉยๆ”
ในทางกลับกัน ในที่สุดเถี่ยตั้นน้อยก็รู้ว่าการแต่งงานหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่มีพี่เขยเข้ามาอยู่ในบ้านเพิ่มอีกคน ทว่าเขากำลังจะสูญเสียพี่สาวไป
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในรถม้า แต่เขากลับไม่อาจตามเข้าไปนั่งด้วยแม้เพียงครู่เดียว เช้าวันนี้เขาร้องไห้ราวกับเป็นเด็กน้อยอย่างเด็กน้อยทั้งสาม!
“ข้าต้องการท่านพี่… ข้าต้องการท่านพี่…”
เถี่ยตั้นน้อยโอดครวญ!
“เจ้าเด็กคนนี้!” ป้าสะใภ้ใหญ่ทำให้เถี่ยตั้นน้อยร้องไห้ทั้งน้ำตา
เถี่ยตั้นน้อยวิ่งเข้าไปในรถม้า แต่อวี๋เซ่าชิงก็กอดเขาไว้
อวี๋เซ่าชิงกอดบุตรชายที่คร่ำครวญไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับภรรยาผู้มีดวงตาอ่อนโยน เฝ้ามองรถม้าที่เคลื่อนออกไปอย่างแน่นิ่ง
เด็กน้อยทั้งสามนั่งอยู่ข้างๆ อวี๋หวั่น หัวเล็กๆ ของพวกเขาโผล่ออกจากหน้าต่างรถ และเมื่อพวกเขาเห็นเถี่ยตั้นน้อยร้องไห้ พวกเขาก็อยากจะร้องเช่นกัน ฮือ~
เจ้าสาวไม่ร้องไห้ ทว่าเด็กทั้งสี่กลับร้องห่มร้องไห้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซาบซึ้งสุดหัวใจ…
อวี๋หวั่นอยากจะมองพ่อแม่และครอบครัวของเธออีกครั้ง ทันทีที่มือของเธอสัมผัสผ้าคลุมหน้า อิ่งสือซันก็เอ่ยปาก “ผ้าคลุมหน้าต้องให้เจ้าบ่าวเปิดจึงจะเป็นมงคล”
อวี๋หวั่นลดมือลง
เด็กน้อยทั้งสามกล่าวอำลาท่านน้าของพวกเขาอย่างโศกเศร้า เถี่ยตั้นน้อยร้องไห้จนเหนื่อยหอบ “ข้าต้องการท่านพี่…”
พี่สาวจากไปแล้ว เธอนั่งรถม้าออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวาท่ามกลางเสียงฆ้องกลองดังสนั่น
เด็กทั้งสามร้องห่มร้องไห้อย่างหนักจนมึนงง พวกเขาเบิกตากว้างมองอวี๋หวั่นที่สวมผ้าคลุมหน้าอย่างไม่กะพริบตา
พวกเขาคล้ายกับรู้ว่าผ้าคลุมหน้านั้นไม่อาจเปิดได้ พวกเขาจึงเอียงหัว มองลอดเข้าไปใต้ผ้าคลุมหน้า
อวี๋หวั่นทำหน้าผี
อ๊าก!
ทั้งสามตกใจกลัวขนหัวลุก!
อวี๋หวั่นหัวเราะ ฮ่าๆๆ
…………………………………………