บทที่ 106 สามีภรรยา
Ink Stone_Romance
อาเว่ยถือกำเนิดในคืนหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาถือกำเนิดในปีที่เผ่าเกิดภัยแล้ง หลายคนอดตาย บิดาของเขาเป็นปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจ เขาพาทุกคนไปหาแหล่งน้ำ และวันหนึ่งพวกเขาก็หาพบ บางคนอดใจรอไม่ไหวที่จะกระโดดลงไปในน้ำ แต่กลับลืมไปว่าที่แห่งนั้นคือทะเลสาบที่ลึกจนหาก้นทะเลสาบไม่เจอ บิดาของเขาจมลงสู่ก้นทะเลสาบเพื่อช่วยชีวิตผู้คน และไม่เคยกลับขึ้นมาอีกเลย
คนในตระกูลต่างบอกว่าบิดาของเขาเป็นคนดี
แต่คนดีคนนี้กลับทิ้งให้เขาและมารดาต้องมีชีวิตยากลำบาก
มารดาของเขาเป็นคนดีเช่นกัน นางมักจะช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า ทว่าเมื่อนางละเมิดกฎของครอบครัวโดยไม่ตั้งใจ ผู้คนที่นางเคยช่วยเหลือ กลับไม่มีใครสักคนออกหน้าแทนนาง
หลังจากที่เขาเติบโตขึ้น ก็แอบหลงรักสตรีผู้หนึ่งในเผ่า นางบอกกับเขาว่า ‘อาเว่ย เจ้าเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้’
ดังนั้น การเป็นคนดีจะมีประโยชน์อะไร?
ทั้งหมดคือการทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพื่อประโยชน์ของคนอื่น คนโง่เท่านั้นที่จะเป็นคนดี
เขาฆ่าคนครั้งแรกตอนอายุยี่สิบ!
เขาจะเป็นวายร้ายที่สุดในเผ่า ไม่… วายร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า!
“อาเว่ยหลังคาของข้ารั่ว เจ้ามาช่วยข้าซ่อมได้ไหม?” ป้าจางจากบ้านข้างๆ เอ่ยด้วยเสียงเบา
อาเว่ยกระโดดลงจากเตียงภายในหนึ่งวินาที “มาแล้ว!”
…………..
คืนมืดลมแรง สายลับจากจวนคุณชายในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดออกไปค้นหาร่องรอยของอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉานั่งรถม้าไปยังภูเขาในเขตชานเมืองทางตะวันออก ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่อิ่งสือซันพบเห็นตำแหน่งของเยี่ยนไหวจิ่ง
อิ่งสือซันจอดรถม้าบนทางเล็กๆ ที่มีต้นหญ้าขึ้นชุกชุม อิ่งสือซันแยกกับอิ่งลิ่วไปสำรวจเส้นทาง ฟ้าใกล้สางแล้ว ตามความเข้าใจของพวกเขา เยี่ยนไหวจิ่งน่าจะพาอวี๋หวั่นออกจากเมืองหลวงหลังจากประตูเปิด หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะตามหา พวกเขาต้องชิงตัวอวี๋หวั่นกลับมาจากเยี่ยนไหวจิ่งก่อนรุ่งสางให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองต้องผิดหวังคือ หลังจากออกตามหาไปรอบๆ ก็ยังไม่พบร่องรอยของการมาเยือนของเยี่ยนไหวจิ่ง
ทั้งสองเปลี่ยนสถานที่ค้นหา เมื่อทั้งสองกลับมาถึงรถม้า จึงตัดสินใจรายงานแผนการกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าเมื่ออิ่งสือซันยกม่านขึ้น พวกเขากลับเห็นคุณชายของพวกเขา…และฮูหยินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของคุณชายเสียแล้ว
อิ่งสือซันตกตะลึงตาค้าง “เอ่อ…เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
เยี่ยนจิ่วเฉา “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน”
เขาเพียงแค่นั่งรอฟังข่าวอยู่บนรถม้า และทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับแรงเหวี่ยงไร้เทียมทาน สตรีผู้หนึ่งถูกโยนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธ กระทั่งอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร เขายังเห็นไม่ชัด อีกฝ่ายก็หายไปในความมืดโดยไม่ย้อนกลับมาแล้ว
ดูจากเงาหลังเลือนราง มาตรได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบอวี๋หวั่นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง และมาถึงจวนคุณชายในเวลาค่อนคืน จุดหลับใหลของอวี๋หวั่นได้ถูกคลายแล้ว แต่เธอยังคงหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
บนเตียงสีแดงขนาดใหญ่ในห้องหอ เด็กน้อยทั้งสามร้องหาอวี๋หวั่น พวกเขาร้องไห้เกือบทั้งคืนก่อนจะหลับไป ใบหน้าน้อยๆ ของพวกเขายังมีร่องรอยของคราบน้ำตา ลุงวั่นนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ ด้วยความเหนื่อยล้า
อิ่งสือซันตบไหล่ลุงวั่น
ลุงวั่นลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “คุณชาย?”
เยี่ยนจิ่วเฉาใช้สายตาบอกให้เขากลับห้องไปพักผ่อน ลุงวั่นมองไปที่เขา และอวี๋หวั่นที่อยู่ในอ้อมแขน ลุงวั่นระงับความต้องการที่จะถามรายละเอียดและย่องออกไปเบาๆ
อิ่งสือซันก็หันหลังกลับและออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูให้คนทั้งสองอย่างรู้ความ
เยี่ยนจิ่วเฉาวางอวี๋หวั่นลงกับเตียง ทันทีที่สัมผัสเตียงอวี๋หวั่นก็ตื่นขึ้น เธอลืมตาขึ้นมองเยี่ยนจิ่วเฉาครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไป ก็เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “ข้ากลับมาแล้วหรือ?”
เธอบอกว่ากลับมา
นาทีนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็รู้สึกว่าจวนคุณชายแห่งนี้คือบ้าน
“อื้ม เจ้ากลับมาแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงเบา
อวี๋หวั่นยื่นมือออกไปลูบหัวน้อยๆ ที่มีผมยาวทั้งสาม และยิ้มอย่างมีความสุข พลางโน้มกายไปจูบหน้าผากเด็กชายตัวเล็กๆ ทีละคน
ดีจังเลยที่ได้กลับมา!
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอ ดวงตาเยือกเย็นของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ฉายแววอ่อนโยนที่หาได้ยากออกมา
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ อวี๋หวั่นจึงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามว่า “อาเว่ยละ? อาเว่ยช่วยข้าไว้!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้ ตอนที่สวี่ส้าวส่งหน่วยกล้าตายไปลอบสังหารอวี๋หวั่นที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ชายหนุ่มผู้นี้ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านเหลียนฮวา และอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าสกุลจ้าวออกมาสังหารหน่วยกล้ายตายได้ทันเวลา ครั้งนั้นเป็นการพบเข้าโดยบังเอิญ แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาพบอวี๋หวั่นได้อย่างไร
อวี๋หวั่นถูกอาเว่ยกดจุดหลับใหล แต่เธอไม่รู้ คิดว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไปจนเป็นลม เยี่ยนจิ่วเฉากลับคิดว่าเยี่ยนไหวจิ่งเป็นคนทำ แต่ไม่ได้ถามรายละเอียด เพราะเกรงว่าอวี๋หวั่นจะเข้าใจผิดว่า เขาสงสัยในความบริสุทธิ์ของเธอ
ทว่าอวี๋หวั่นกลับเริ่มเอ่ยเรื่องความบริสุทธิ์เสียเอง “ท่านมีอะไรอยากถามหรือไม่? อย่างเช่น ใครจับข้าไป? แล้วได้ทำอะไรกับข้าไปหรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบจอนผมของเธอ “มิต้องหรอก แค่เจ้ากลับมาก็พอแล้ว”
ในวันธรรมดาผู้ชายคนนี้มักชอบกวนประสาท ทว่าในช่วงเวลาสำคัญเขากลับสามารถทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้ ต่อให้คำหวานทุกคำมารวมกัน ก็ไม่สู้หนึ่งวลีนี้ ‘แค่เจ้ากลับมาก็พอแล้ว’
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “เยี่ยนจิ่วเฉา”
“หืม?”
“พวกเรา…นับว่าแต่งงานกันหรือยังเจ้าคะ? ยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน แล้วก็ยังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลเลย”
“อยากกราบไหว้ฟ้าดินหรือ?”
อวี๋หวั่นหลุบตาลง พยักหน้าเบาๆ
รอเวลานี้มาสองภพชาติ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว ผู้คนต่างบอกว่าชีวิตต้องการความรู้สึกที่มีพิธีรีตอง สองพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือการแต่งงานและการคลอดลูก…เธอพลาดมันไปทั้งหมด
น่าเศร้าใจนิดหน่อย
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมือของเธอ “ตามข้ามา”
สายตาอวี๋หวั่นตกกระทบลงบนขาของเขา “ท่าน…เดินได้หรือ?”
แม้เลือดของเธอจะสามารถใช้พิษสู้กับพิษได้ แต่เป็นเพียงการระงับพิษที่ขาส่วนล่างชั่วคราวเท่านั้น ในยามที่เขาขยับร่างกายก็ยังไม่สะดวกนัก
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงรถเข็นเข้ามาและใช้มือพยุงตัวขึ้นนั่ง
อวี๋หวั่นเดินตามไปด้านหลังและช่วยเข็นให้
แสงจันทร์สาดส่องเป็นประกายเยือกเย็นไปทั่วพื้นห้อง เมื่อผ่านโต๊ะ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หยิบผ้าคลุมหน้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา อวี๋หวั่นเข้าใจความหมาย จึงโค้งกายลงให้เขาสวมมันกับมือ จากนั้นอวี๋หวั่นก็หยิบดอกไม้ผ้าสีแดงบนโต๊ะ มาผูกรอบหน้าอกของเขา
“ไปทางไหนหรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
“ข้างหน้า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
คนหนึ่งมองทาง อีกคนหนึ่งผลักรถเข็น สายลมยามค่ำคืนพัดโชยแผ่วเบา ส่งกลิ่นหอมของดอกพุด
“ถึงแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาเตือน
อวี๋หวั่นหยุดและเดินอ้อมรถเข็น ไปดันประตูให้เปิดออกเบาๆ ตั้งแต่เขาเดินไม่ถนัด ธรณีประตูของแต่ละห้องก็มีแผ่นไม้วางอยู่ จากนั้นอวี๋หวั่นก็ดันรถเข็นเขาเข้าไป
ภายในห้องจุดไฟที่ส่องสว่างตลอดวัน แสงของโคมไฟไม่ได้สว่างไสว แต่ก็ไม่ถึงกับริบหรี่ ความโบราณนี้ชวนให้เกิดความรู้สึกเคารพศรัทธา
“ป้ายวิญญาณของพ่อข้า” เยี่ยนจิ่วเฉาดึงมือเธอไว้ พลางชี้ไปทางโต๊ะที่ตั้งป้าย จากนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก และยื่นปลายผ้าสีแดงข้างหนึ่งให้เธอ
ทั้งสองหันหน้าไปทางประตู
หนึ่ง คำนับฟ้าดิน
และหันไปทางป้ายวิญญาณอีกครั้ง
สอง คำนับบิดามารดา
ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน พร้อมกับจับผ้าไหมสีแดงร่วมกัน และโค้งคำนับกันอย่างสุดซึ้ง
จากนี้ไป เธอเป็นภรรยาของเขา และเขาคือสามีของเธอ
อวี๋หวั่นจับมือของเขา ฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ว่าเขาถึงขีดจำกัดแล้ว เธอก็พยุงเขาที่กำลังจะหมดแรงกลับไปนั่งบนรถเข็นและพากลับไปยังห้องหอ
ธูปเทียนหงส์มังกรสั้นลงไปกว่าครึ่งแล้ว น้ำตาเทียนไหลลงทีละหยด ราวกับเลือดบริสุทธิ์สีแดงสดที่หลั่งริน
เขาเปิดผ้าคลุมหน้าของเธอ ทั้งสองคล้องมือดื่มเหล้ามงคลภายใต้แสงเทียน
แก้มของอวี๋หวั่นแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะเมาเหล้า…หรือว่าจิตใจร้อนรุ่ม
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ต่างจากเธอนัก หัวใจของเขาเต้นรัว ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ดวงตาร้อนราวกับกองไฟที่กำลังลุกโชน
แม้ว่าจะมีลูกด้วกันแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งคู่ต่างทำอะไรไม่ถูก
เยี่ยนจิ่วเฉากลืนน้ำลายและเอื้อมมือดึงม่านลง
อวี๋หวั่นก้มหน้าอย่างเขินอาย และปลดกระดุมเสื้อผ้าของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นมือของเธอสั่นเล็กน้อย
“ตื่นเต้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาสั่นเครือ
แก้มของอวี๋หวั่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามต่อต้านความเขินอาย และโน้มกายเข้าหาเขา
ลมหายใจทั้งคู่สอดประสาน ริมฝีปากใกล้ประกบ ทว่าทันใดนั้นก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พวกเขาหยุดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กะพริบตาปริบๆ และหันไปในทิศเดียวกันช้าๆ มองเห็นเด็กน้อยทั้งสามคน ที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาเมื่อไรเบิกตากว้างมองมาที่ทั้งคู่ด้วยสีหน้างวยงง
ทั้งสองสะดุ้งอย่างแรง พลางขยับออกห่างกัน
เด็กทั้งสามมองเยี่ยนจิ่วเฉาสลับกับอวี๋หวั่นอย่างประหลาดใจ แล้วคิ้วก็พลันขมวดเข้าหากัน
ทั้งสามปีนขึ้นไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น และกอดคออวี๋หวั่นด้วยมือเล็กๆ ของพวกเขา พร้อมกับหันไปจ้องบิดาของพวกเขาอย่างขึงขัง ราวกับว่ากำลังประกาศว่าอวี๋หวั่นเป็นของพวกเขา ท่านพ่อไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง!
คุณชายเยี่ยนที่ถูกบุตรชายแย่งเจ้าสาว “…”
อวี๋หวั่น ‘หายตัวไป’ ทั้งวันโดยไม่มีคำเอ่ยใดๆ ทำให้เหล่าเด็กน้อยลำบากใจ พวกเขานอนในอ้อมแขนของอวี๋หวั่นราวกับเด็กทารก ต้องการจุมพิตหนักๆ สักสิบหน หลังจุมพิตจนใบหน้าของคุณชายน้อยทั้งหลายเขียวไปหมด ท้ายที่สุดพวกเขาก็หาวออกมาอย่างพึงพอใจและผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกอดพวกเขาอยู่นาน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาหลับสนิท ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกพวกเขาได้ จากนั้นจึงเรียกแม่นมให้พาพวกเขากลับไปที่ห้องของตนเอง
“ท่านอยาก…ไปต่อหรือไม่?”
อวี๋หวั่นถาม
เมื่อเรื่องบางเรื่องถูกขัดจังหวะ ความรู้สึกก็หมดแล้ว อวี๋หวั่นจึงไม่แน่ใจว่าเขายังสนใจอยู่หรือไม่
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบ
อวี๋หวั่นรู้สึกอับอาย หากรู้แต่แรกก็คงไม่ถาม ดูเหมือนตนเองวิตกกังวลเกินไป เห็นได้ชัดว่าเพราะจะถอนพิษให้เขา…
“นอนเถิด” เยี่ยนจิ่วเฉาดึงผ้านวมเข้ามาและเอนตัวนอนลง
จะ…จะนอนแล้วรึ?!
หลังจากสตรีถามว่าต้องการทำต่อไหม ยังมีการตอบสนองที่ทำร้ายความนับถือตนเองมากไปกว่านี้อีกหรือไม่? อวี๋หวั่นโกรธแทบสิ้นลม!
“ท่าน…” อวี๋หวั่นหยุดเอ่ย
พอแล้ว นอนก็นอน ใครหมกมุ่นเรื่องแบบนี้กัน!
อวี๋หวั่นหันหลังให้เขา และนอนลงด้วยความโมโห
เสียงนกร้องจากด้านนอกดังเข้ามา ฟ้าใกล้สางแล้ว
อวี๋หวั่นเก็บกลั้นความโกรธจนหัวใจปวดร้าวไปด้วยเพลิงโทสะ
“…ไม่ใช่ว่าข้ามิต้องการ” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งที่พยายามกดข่มอารมณ์ไว้
อวี๋หวั่นหูตั้ง ได้ยินเสียงเขาสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยอย่างละอายใจออกมา “ฟ้า…ฟ้าสว่างไม่อาจร่วมประเวณีได้”
ดวงตาของอวี๋หวั่นเบิกกว้าง มองไปยังบานหน้าต่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้น เพราะเหตุนี้จึงไม่อาจร่วมหอกับเธอต่อได้?
ช่างฟ้าสว่างไม่อาจร่วมประเวณีนั่นเถอะ!
อวี๋หวั่นพลิกตัวกลับมา พลันคว้าข้อมือและกดเขาไว้ใต้ร่างของเธอ…
…………………………………………