บทที่ 114 แผนการของเด็กน้อยทั้งสาม
Ink Stone_Romance
เยี่ยนจิ่วเฉากลับมาถึงจวน อวี๋หวั่นก็ไม่อยู่ในบ้านแล้ว เธอง่วนอยู่ในครัว และกำลังเรียนรู้วิธีทำน้ำดองกุหลาบกับพ่อครัว
น้ำดองกุหลาบนี้เธอได้รู้จักเพราะพรของแม่นางตู้ วันนั้นน้ำดองกุหลาบของแม่นางตู้หกกระจายบนพื้นในหอเทียนเซียง กลิ่นหอมของน้ำดองกุหลาบนั้น ยังทำให้เธอรู้สึกน้ำลายสอทุกครั้งที่นึกถึงมันตราบจนทุกวันนี้
ลุงใหญ่ก็ทำได้ แต่ชนบทไม่สามารถหาวัตถุดิบชั้นสูงระดับนี้ได้ มีเพียงลุงวั่น ผู้ดูแลที่รักในการปลูกดอกไม้ผู้นี้เท่านั้น ที่สามารถสร้างเรือนกระจกปลูกกุหลาบในจวนคุณชายได้
การทำน้ำดองกุหลาบ หากจะพูดก็ถือว่าไม่ได้ยากนัก นำกลีบดอกไม้สดไปล้างแล้วผึ่งให้แห้งในที่ร่ม วางลงในชาม วางชั้นดอกไม้สลับกับชั้นน้ำตาล ซ้อนกันจนเต็มชาม จากนั้นใช้สากหินทุบกลีบดอกให้เละ หลังจากโขลกมวลผลึกออกมาหนึ่งชาม น้ำดองกุหลาบแสนอร่อยก็เสร็จสมบูรณ์
อวี๋หวั่นนำน้ำดองกุหลาบไปที่ศาลาของเรือนชิงเฟิง สิ่งที่ดีเช่นนี้ ต้องเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ไปพลางถึงจะกินได้อย่างสุขสม
“ไปดูว่าคุณชายกลับมาแล้วหรือยัง และไปเรียกคุณชายน้อยมา” อวี๋หวั่นกล่าวกับเถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์
ทั้งสองตอบรับด้วยความเคารพ และรีบแยกกับไปตาม เถาเอ๋อร์ไปที่เรือนด้านหน้า ส่วนหลีเอ๋อร์ไปที่สวน
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามไม่ได้อยู่ในสายตาของอวี๋หวั่น พวกเขาก็เริ่มกลายเป็นม้าป่าที่หลบหนี วิ่งหนีอุตลุดอยุ่ในบ้าน และวิ่งหายไปในช่วงพริบตาเดียว!
หลีเอ๋อร์คว้าอากาศอยู่ในสวน
ส่วนเถาเอ๋อร์รับเยี่ยนจิ่วเฉามาแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งรถเข็นไปยังเรือนชิงเฟิง ไปได้ครึ่งทาง กิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะก็เกิดเสียงแกร๊ก ทันใดนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็ได้รับบุตรชายที่ตกลงมาจากต้นไทร
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
เด็กน้อย “…”
การถูกบิดาจับรู้สึกไม่ดีนัก เด็กน้อยทั้งสามให้อิ่งสือซันอุ้มลงมา อยู่ที่มุมและหันหน้าเข้ากำแพง พิจารณาความผิดอย่างเชื่อฟัง
“คะ…คุณชาย…” หลีเอ๋อร์เดินมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ พลางโค้งคำนับ “ฮูหยินทำน้ำดองกุหลาบ รอให้คุณชายและคุณชายน้อยได้ลิ้มรสเจ้าค่ะ”
เหล่าเด็กจ้ำม่ำหูตั้ง และหันกลับไปมองท่านพ่อของพวกเขา
“คราหน้าค่อยจัดการกับพวกเจ้า!” เยี่ยนจิ่วเฉาพาเด็กน้อยทั้งสามกลับไปที่เรือนชิงเฟิง
พวกเขาทั้งสามล้างมืออย่างเชื่อฟัง และปีนขึ้นไปนั่งบนม้านั่งหิน
อวี๋หวั่นตักน้ำดองกุหลาบสี่ชาม ชามเล็กสามใบสำหรับบุตรชายของเธอ และชามใหญ่สำหรับเยี่ยนจิ่วเฉา “ไม่ใช่ว่าท่านชอบทานเปรี้ยวหรือ? ของท่าน ข้าใส่ซานจา[1]ลงไปเล็กน้อย”
เยี่ยนจิ่วเฉาชิมไปหนึ่งคำ
ในอดีตตอนที่ไม่รับรู้รสชาติ เขาคิดว่าอาหารที่เธอปรุงอาจมีรสชาติเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาเริ่มลิ้มรสความเปรี้ยวได้อย่างช้าๆ กินของที่เธอทำอีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีรสชาติมากขึ้น
“ท่านชอบหรือไม่?” ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูดอะไร แต่ท่าทางที่หยุดกินไม่ได้ของเขา ทำให้รู้ได้ชัดเจนว่าเขาชอบมันมาก
พ่อครัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มองมาแล้วก็อดยกมุมปากไม่ได้ ไม่อร่อยเพียงนั้นยังกินลงไปได้ คุณชายรักและเอ็นดูฮูหยินมากเหลือเกิน…
เยี่ยนจิ่วเฉากินน้ำดองกุหลาบชามใหญ่หมดอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยทั้งสามผลักชามของพวกเขาไปตรงหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างจริงใจ
เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกซาบซึ้งใจ เอาละ เห็นบุตรชายของเขากตัญญูถึงเพียงนี้ ตนจะไม่ลงโทษพวกเขาไปสักพัก
เด็กน้อยทั้งสามทำหน้าตาน่ารัก
ท่านพ่อคิดไกลเกินไปแล้ว ความจริงพวกเขาแค่ไม่อยากกิน ก็เลยหลบหนีมันต่างหาก!
…
การที่ลุงวั่นสามารถช่วยองค์ชายทั้งสองให้ออกจากตำหนักเย็นได้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผล อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นคนที่มีความสามารถเช่นนี้มาก่อน เมื่อวานเพิ่งคุยกันว่าจะให้อวี๋ซงเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน วันนี้ลุงวั่นก็จัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากกินอาหารกลางวัน ก็พาอวี๋ซงไปสอบที่กั๋วจื่อเจียน อวี๋หวั่นคิดอย่างจริงจังว่าคนธรรมดาคงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ลุงวั่นใช้สถานะของจวนคุณชายกดข่มผู้คน แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แม้จะเป็นคนของจวนคุณชาย ก็ยังต้องทำตามกระบวนการแบบคนทั่วๆ ไป นี่ไม่ใช่การปกปิดความจริงหรือ?
ผลการสอบของอวี๋ซงประกาศในทันที เขาได้เข้าเรียนในชั้นเรียนของอาจารย์เลี่ยว
“อาจารย์เลี่ยวดีหรือไม่?” อวี๋หวั่นมองลุงวั่นที่กลับจวนมารายงาน
ลุงวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “อาจารย์เลี่ยวดีแน่นอน”
ที่ไม่ดีคือชั้นเรียนของเขา แย่ที่สุดในกั๋วจื่อเจียน เหล่าคนตัวแสบที่เป็นเด็กเส้นทั้งหมดในเมืองหลวงอยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คุณชายรองทำอย่างเต็มที่ สอบครั้งถัดไป เขาก็อาจได้รับการเลื่อนชั้น มีคนจำนวนน้อยมากที่ได้เข้าสู่ชั้นเรียนอันดับหนึ่งด้วยการสอบเพียงครั้งเดียวอย่างเช่นจ้าวเหิง นักเรียนส่วนใหญ่มักจะค่อยๆ ขยับระดับขึ้นไปทีละชั้น
อวี๋หวั่นถามเกี่ยวกับกั๋วจื่อเจียนเพิ่มเติม และพบว่ากั๋วจื่อเจียนของต้าโจวมีทุนการศึกษาด้วย สามอันดับแรกของแต่ละเดือนที่ได้รับการจัดอันดับโดยปราชญ์จี้จิ่วจะได้รับรางวัลเงินห้าถึงสิบตำลึง หากอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่นับว่ามีอะไร แต่คนจากชนบทในหนึ่งปีจะมีสักคน
“จ้าวเหิงได้รับหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ลุงวั่นพยักหน้า “เขาเป็นอันดับหนึ่งของทุกเดือน”
นั่นคือสิบตำลึง สวรรค์เมตตาเขายิ่งนัก เขาหาเงินได้สิบตำลึงในการเรียนหนึ่งเดือน
อวี๋ซงถือว่าเป็นเด็กเส้น ต้องใช้เงินมหาศาลกว่าจะได้มาสักที่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกอวี๋ซง พี่รองได้เรียนอย่างสบายใจก็พอ อวี๋หวั่นไม่ต้องการให้เขามีภาระทางจิตใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่าอวี๋ซงจะอยู่ไม่เกินสองสามวัน อวี๋หวั่นไม่คิดว่าจะเป็นเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการลงทะเบียน อวี๋ซงแทบรอที่จะได้พบเพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่ไหว อวี๋หวั่นจำได้ว่าตอนที่เธออยู่โรงเรียนประจำที่โลกก่อนก็รอไม่ไหวแบบนี้เช่นกัน เธอยิ้มอย่างเข้าใจ ให้คนเตรียมรถม้า และพาอวี๋ซงไปส่งที่กั๋วจื่อเจียนด้วยตนเอง
อวี๋หวั่นนับกระเป๋าเดินทางของอวี๋ซง “ข้าใส่เสื้อผ้าไว้ในกระเป๋าใบนี้แล้ว เงินอยู่ในนั้น พู่กัน หมึกและกระดาษก็อยู่ในกล่อง…อ้อ ผ้าเช็ดหน้าข้าก็เตรียมไว้สองสามผืน ท่านอย่าลืมใช้มันนะ”
“เอาละ เอาละ ข้ารู้แล้ว ไยเจ้าถึงเป็นเหมือนแม่ของข้าเล่า?” อวี๋ซงไม่พอใจ
อวี๋หวั่นอดขำไม่ได้ ใช่แล้ว เธอเคยเป็นคนพูดน้อยที่สุด ทว่าตั้งแต่กลายมาเป็นแม่และภรรยา เธอก็กลายเป็นคนขี้บ่น
สองพี่น้องคุยกันสักพักที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจียน ขณะที่อวี๋ซงกำลังจะเข้าไป จ้าวเหิงก็ปรากฏตัวขึ้น
จ้าวเหิงอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นสองสามคน พวกเขาไปซื้อภาพประดิษฐ์ตัวอักษร และเพิ่งกลับมาจากถนน จ้าวเหิงเห็นรถม้าสี่ตัวที่หรูหราคันนั้น คนที่สามารถนั่งรถม้าแบบนี้ในเมืองหลวงได้ ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็เป็นองค์ชาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำถึงสองครั้ง จากนั้นเขาก็เห็นอวี๋หวั่นเดินลงมาจากรถม้า
อวี๋หวั่นสวมชุดเทพธิดาแขนกว้างสีแดงสลับขาว สีแดงขับเน้นให้เธอดูสดใสงดงาม คอเสื้อ แขนเสื้อ และกระโปรงสีขาว ทำให้เธอดูสวยบริสุทธิ์สะอาด อารมณ์ของเธอเงียบสงบ พร้อมกับรอยยิ้มที่ชัดเจนและอ่อนโยน ใบหน้ายังคงเป็นใบหน้านั้น แต่จ้าวเหิงกลับไม่กล้ารับรู้
นี่ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่นั่งยองๆ ล้างหน้าด้วยน้ำเหม็นอยู่ข้างบ่อปลาสกปรกคนนั้นอีกหรือ? หากบอกว่าเธอเป็นบุตรีของตระกูลสูงส่งก็คงไม่มีใครไม่เชื่อ แน่นอนเธอมัดมวยผมทรงสตรีที่แต่งงานแล้ว อธิบายได้ว่าเธอแต่งงานแล้ว
ใบหน้าของเธอมีเสน่ห์แบบผู้หญิงมากขึ้นเล็กน้อย ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
“มองอันใด?” เพื่อนร่วมชั้นมองตามสายตาของจ้าวเหิง เขาจำสัญลักษณ์ก้อนเมฆบนรถม้าได้ “อ้า รถม้าของจวนเยี่ยน คนผู้นั้นน่าจะเป็นภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของคุณชายเยี่ยน”
สตรีที่มีท่าทางรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นคนรับใช้ของจวนคุณชาย หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุผลเกินไป
แน่นอนว่าจ้าวเหิงรู้อยู่แล้วว่าคุณชายวั่นคือเยี่ยนจิ่วเฉา แต่รู้แล้วก็เป็นเรื่องหนึ่ง เห็นเธอแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉากับตาตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน
ครั้งหนึ่งเขาเคยรู้สึกว่าอาหวั่นสวย ทว่าคนในชนบท ย่อมไม่อาจสู้บุตรีในตำบล เมื่อมองเธออีกครั้งในตอนนี้ กลับรู้สึกว่าบุตรีในตำบล หญิงสาวจากจวนแม่ทัพเซียวกลับไม่อาจเทียบเธอได้แม้แต่น้อย
จ้าวเหิงขมวดคิ้ว มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างกำแน่น
“เหตุใดภรรยาของจวนคุณชายถึงมาที่นี่?”
“ได้ยินว่านางมาส่งพี่ชายเข้าเรียน”
นักเรียนสองคนกำลังคุยกัน
“ไปกันเถิด ไม่ต้องมองแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นกระตุ้นจ้าวเหิง เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้มีความอดทน หากรู้ว่าพวกเขาจ้องมองภรรยาของเขาเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก็ไม่อาจรับประกันได้
ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่จ้าวเหิงที่มอง แต่นักเรียนที่เดินผ่านไปมาก็อดไม่ได้ที่จะถูกอวี๋หวั่นดึงดูด เธอมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้ คืออารมณ์เงียบสงบที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอ
“เจ้ารีบขึ้นรถม้าเถิด ข้ากับลุงวั่นจะเข้าไปแล้ว!” อวี๋ซงก็สังเกตเห็นว่าคนอื่นๆ กำลังมองมาที่เธอ เขาไม่ต้องการให้น้องสาวของเขาถูกผู้ชายจำนวนมากจับตามอง
อวี๋ซงมองไม่เห็นจ้าวเหิง แต่จ้าวเหิงเห็นเขา
“มาก่อกวน” จ้าวเหิงพึมพำอย่างเย็นชา หลังจากเข้ามาในกั๋วจื่อเจียน
“มีอะไรหรือ?” เพื่อนร่วมชั้นถาม
เท้าของจ้าวเหิงหยุดชะงัก “นั่นไม่ใช่เด็กเรียน”
ชาวนาที่รู้จักแต่การเก็บรังนกทั่วหมู่บ้านไปเรื่อย มาที่กั๋วจื่อเจียนได้ ไม่ใช่มาก่อกวน แล้วอะไรกัน?
จ้าวเหิงที่รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของอวี๋หวั่นเมื่อครู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอวี๋หวั่นก็ได้เพียงแค่นี้เท่านั้น หลังจากเกาะกิ่งสูงสำเร็จ ก็อยากเรียนตามคนในเมือง แต่ก็ไม่ดูพี่ชายตัวเองว่ามีดีอะไร เป็นเพียงโคลนที่ฉาบอย่างไรก็ไม่ติดผนัง[2]ชัดๆ!
…………………………………………
[1] ซานจา 山楂 คือ ฮอว์ธอร์นจีน
[2] โคลนที่ฉาบอย่างไรก็ไม่ติดผนัง เป็นสำนวนหมายถึงคนไร้ความสามารถ