หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 116 หวั่นหวั่นหน้าเนื้อใจเสือ

บทที่ 116 หวั่นหวั่นหน้าเนื้อใจเสือ

Ink Stone_Romance

ประโยคที่อวี๋หวั่นพูดออกมาเปรียบดังฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้าของสวี่เสียนเฟยแรงๆ หนึ่งฉาด สวี่เสียนเฟยครองอำนาจในวังหลวงมาหลายปี เอาชนะทั้งลี่เฟยและฮองเฮา ทั้งยังมีสตรีอีกมากมายที่นางเคยฟาดฟันเพื่อชิงความโปรดปราน ในที่สุดก็ได้ครอบครองตราประทับเฟิ่งอิ๋นมาได้ และครองอำนาจสูงสุดในวังอย่างแท้จริง นางเมามายในความคิดว่าตนเป็นฮองเฮาไร้มงกุฎมาตลอด บัดนี้คำพูดของอวี๋หวั่นกลับย้ำเตือนตัวตนที่แท้จริงของนาง เตือนสตินางว่าต่อให้นางปีนป่ายขึ้นสูงมากเท่าไร นางก็ยังเป็นเพียงอนุที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท!
สวี่เสียนเฟยมืดมนราวกับท้องฟ้าในวันที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก
กระนั้นสิ่งที่อวี๋หวั่นพูดก็ไม่ผิด แต่ไหนแต่ไรมาพระชายาของเยี่ยนอ๋องไม่คุกเข่าให้สนม
เมื่อมองท่าทางเหิมเกริมของนางแพศยาตรงหน้า สวี่เสียนเฟยก็นึกเสียดายที่เมื่อก่อนมิได้ให้นางคุกเข่ามากกว่านี้
สวี่เสียนเฟยยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า แล้วข้าจะไม่มีวิธีจัดการเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากวิธีของพระสนมคือการสร้างความลำบากให้ข้า โปรดอย่าลืมว่าท่านมิใช่คนเดียวที่มีอำนาจค้ำฟ้าอีกต่อไป ฮองเฮาย้ายเข้ามาในตำหนักเจาหยางแล้ว เสียนเฟยจะทำอะไรหม่อมฉันก็ควรต้องถามฮองเฮาก่อนมิใช่หรือ?”
ข้าต้องไปถามนาง? นางก็เป็นเพียงฮองเฮาที่ปราศจากอำนาจ
เมื่อในใจของสวี่เสียนเฟยคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง “อย่ามาใช้ฮองเฮากดดันข้า พระวรกายของฮองเฮายังไม่แข็งแรง ไยต้องนำเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไปรบกวนนาง?”
ทันทีที่กล่าวประโยคนั้นออกไป แม่นางชุยก็เดินมาพร้อมกับนางกำนัลและขันทีอีกจำนวนหนึ่ง นางคำนับสวี่เสียนเฟย “คารวะสวี่เสียนเฟย” หลังจากนั้นก็หันไปหาอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับยิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่ได้ยินว่าฮูหยินน้อยเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮองเฮา ฮองเฮาทรงรออยู่นานแต่ไม่เห็นฮูหยินน้อยเข้ามา ที่แท้ก็อยู่นี่เอง”
อวี๋หวั่นเหลือบมองสวี่เสียนเฟย “ข้าได้รับความเอ็นดูจากเสียนเฟย จึงสนทนากันเล็กน้อย”
สวี่เสียนเฟยกวาดสายตามองอวี๋หวั่นและแม่นางชุยไปมา ด้วยท่าทางคุ้นเคยกันของทั้งสอง ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อว่าพวกนางพบหน้ากันเป็นครั้งแรก สายตาของสวี่เสียนเฟยมีเลศนัย นางบอกกับแม่นางชุยว่า “ข้าเองก็อยากเข้าเฝ้าฮองเฮา พวกเราไปด้วยกันเถิด”
ฮองเฮาป่วยหนัก ทว่าสวี่เสียนเฟยแต่งกายเสียหรูหราวับวาม มีแต่คนโง่งมเท่านั้นที่จะเชื่อว่านางตั้งใจมาเข้าเฝ้าฮองเฮา แต่ก็อาจทำให้ฮ่องเต้สับสนได้พอสมควร
แม่นางชุยและอวี๋หวั่นรู้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่เดินไปพร้อมกับเกี้ยวของสวี่เสียนเฟยไปยังตำหนักเจาหยาง
ฮ่องเต้ให้ขันทีวังคัดเลือกนางกำนัลให้ฮองเฮา ข้างกายของฮองเฮาจึงมิได้เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป
ฮองเฮาสวมผ้าคาดศีรษะนั่งอยู่บนหัวเตียง นางสีหน้าซีดเซียว ทว่าสติสัมปชัญะของนางยังคงกระจ่างชัด ข่าวว่าฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทท่าทางจะแพร่สะพัดออกไปแล้ว วันนี้ผู้ที่มาเข้าเฝ้านางมิได้มีเพียงอวี๋หวั่น แต่ยังมีคุณหนูจากตระกูลขุนนางอีกหลายคนและราชนิกุลอีกหนึ่งคน
ราชนิกุลคนนั้นก็คือพระชายาองค์โต ลูกสะใภ้ของนาง
อวี๋หวั่นเรียนจากวั่นมามาได้ไม่มาก จึงไม่เข้าใจว่าท่าทางนี้ของนางมีความหมายโดยนัยว่าอย่างไร เธอรู้เพียงว่าเมื่อสวี่เสียนเฟยเห็นคุณหนูเหล่านี้ ความประหลาดใจก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
“พระสนม เสียนเฟยและฮูหยินน้อยเยี่ยนมาเข้าเฝ้าเพคะ” แม่นางชุยรายงาน
ฮองเฮาเห็นตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่นางรอให้แม่นางชุยเอ่ยปาก เมื่อฟังจบก็เผยรอยยิ้มแปลกใจออกมา “น้องหญิงมาพร้อมกับฮูหยินน้อยได้อย่างไรหรือ?”
อวี๋หวั่นถวายบังคมฮองเฮา ครั้นพบหน้ากันครั้งแรกเธอได้ถวายบังคมแบบเต็มรูปแบบแล้ว วันนี้จึงไม่ต้องมากพิธี
สวี่เสียนเฟยก้าวไปข้างหน้า ค้อมกายแล้วตอบว่า “ถวายบังคมท่านพี่”
รอยยิ้มของฮองเฮาสง่างามและใจดี “ไม่พบกันนานหลายปี น้องยังงดงามเหมือนเดิม แต่ข้าชราลงแล้ว”
งดงามเหมือนเดิม? พูดต่อหน้าเหล่าโฉมสะคราญอ่อนเยาว์เหล่านี้น่ะหรือ?
ไม่รู้ว่าฮองเฮาเอ่ยชมนางด้วยความจริงใจหรือกล่าวแดกดัน
สวี่เสียนเฟยมีสีหน้ายิ้มแย้มทว่าในใจรู้สึกเดือดดาล “ท่านพี่ล้อกันเล่นแล้วเพคะ ท่านพี่ป่วยหนัก หน้าซีดไปสักหน่อย รอท่านพี่แข็งแรงกว่านี้ ท่านก็จะกลับมางดงามดังดอกโบตั๋นแล้วเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างอ่อนแรง “น้องยังปากหวานเหมือนเดิม”
พูดจบ ฮองเฮาก็หันไปมองอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อยคงยังไม่เคยพบพระชายาองค์ใหญ่กับญาติของข้ากระมัง?”
คุณหนูทั้งหลายต่างลุกขึ้นยืน
พระชายายังคงนั่งหลังตรง
อวี๋หวั่นคำนับนาง นางค้อมกายตอบ จากนั้นเหล่าคุณหนูก็คำนับอวี๋หวั่น
ฮองเฮาแนะนำญาติด้วยตนเอง จนมาถึงคุณหนูคนสุดท้ายนั้นยืนอยู่ข้างพระชายา ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คือคุณหนูอวิ๋นจากจวนติ้งกั๋วกง”
มิน่าเล่าสวี่เสียนเฟยถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป จวนติ้งกั๋วกงจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคน ลูกหลานมีความสามารถ ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋น สำหรับฝ่าบาทแล้ว ความสำคัญของพวกเขาในราชสำนักมิได้ด้อยไปกว่าอัครมหาเสนาบดี ครานี้ฮองเฮาคงตั้งใจเลือกพระชายารองให้องค์ชายใหญ่
ติ้งกั๋วกงย่อมไม่ยินดีให้บุตรีของตนต้องเป็นชายารอง แต่หากได้เป็นว่าที่หวงเฟยเล่า?
ทุกคนต่างสนทนาอยู่กับฮองเฮาครู่หนึ่ง สวี่เสียนเฟยรู้สึกรำคาญใจ จึงลูบมุกประดับข้างจอนผม แล้วลุกขึ้นยืน “น้องยังมีงานต้องทำ ขอตัวกลับก่อนเพคะ วันหลังจะมาเยี่ยมท่านพี่อีก”
“ไปส่งพระสนม” ฮองเฮาบอกแม่นางชุย
“มิจำเป็นเพคะ” สวี่เสียนเฟยตอบ
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ พลางลุกขึ้น “หม่อมฉันเองก็ต้องไปเช่นกัน หากไม่รังเกียจ หม่อมฉันจะไปส่งพระสนมเองเพคะ”
หากจะปฏิเสธอีกครั้งก็จะเป็นการหักหาญน้ำใจเกินไปสักหน่อย
สวี่เสียนเฟยจึงมิได้กล่าวอะไรอีก และเดินออกมาจากตำหนักเจาหยางพร้อมกับอวี๋หวั่น
ก่อนที่เหล่าขันทีจะยกเกี้ยวขึ้น สวี่เสียนเฟยก็โบกมือ พวกเขาจึงถอยออกไปอย่างรู้งาน
จากตำหนักเจาหยางไปจนถึงตำหนักเสียนฝู จำต้องผ่านสระไท่เยี่ย นางกำนัลต่างเดินตามอยู่ห่างๆ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้หากปราศจากคำสั่งของสวี่เสียนเฟย
เมื่อเดินไปถึงต้นหลิ่วต้นหนึ่ง สวี่เสียนเฟยก็หยุดฝีเท้าลง “นางอวี๋ เจ้าตอบข้ามาตรงๆ ที่ไฟไหม้ตำหนักเฟิ่งชีเป็นฝีมือจวนคุณชายใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นทอดสายตาไปยังผิวน้ำทอประกายวิบวับ “เหตุใดพระสนมจึงคิดเช่นนั้น?”
สวี่เสียนเฟยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้ารู้นิสัยของฮองเฮาดีกว่าเจ้า นางไม่มีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้น และไม่มีความกล้าหาญถึงเพียงนั้นด้วย”
อวี๋หวั่นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ดังนั้นพระสนมจึงมั่นใจว่าเป็นจวนคุณชายหรือ? เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าเป็นฝีมือของพระสนมกันเล่า?”
สวี่เสียนเฟยมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเย็นเยียบ “นั่นไม่ใช่ข่าวลือที่พวกเจ้าแพร่ออกไปหรอกรึ!”
อวี๋หวั่นไม่ได้มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย “ถ้าใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? พระสนมกลัวหรือเพคะ?”
สวี่เสียนเฟยโมโหจนแทบจิกเล็บลงในเนื้อของตน “นางอวี๋ เจ้าอย่าคิดว่าเมื่อแต่งเข้าจวนคุณชายมาแล้วจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้นะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าฝ่าบาทจะทรงส่งต่อพระราชกิจอันใหญ่หลวงให้กับกากเดนอย่างนั้น? องค์ชายใหญ่ไม่เอาไหน จะไปรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพียงนั้นได้อย่างไร? ฝ่าบาททรงได้ยินข่าวลวงและเข้าใจผิด จึงปล่อยฮองเฮามาคานอำนาจข้า ลูกของข้าสิที่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เจ้าล่วงเกินข้าย่อมไม่มีผลดีต่อตัวเจ้าเอง! ข้าขอเตือนให้เจ้าถอยออกไป ครานี้ข้าจะอภัยให้กับเจ้าที่ยังเยาว์วัยและไม่รู้ความ แต่หากเจ้ายังขืนมาตอแยต่อไปละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อวี๋หวั่นเอ่ยถามอย่างมิได้สะทกสะท้าน “พระสนมจะไม่เกรงใจข้าอย่างไรหรือ?”
“พระสนมเพคะ!”
ขณะที่สวี่เสียนเฟยกำลังจะตอบ ก็ได้ยินเสียงอันรื่นหูของสตรีดังมาแต่ไกล
สวี่เสียนเฟยระงับโทสะซึ่งเพิ่งถูกอวี๋หวั่นกระตุ้น จากนั้นก็ค่อยๆ หันไป รอยยิ้มใจดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ว่าอย่างไรหรือ ซูเอ๋อร์?”
ผู้มาเยือนมิใช่ใครอื่น แต่เป็นหานจิ้งซู คุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดี
หานจิ้งซูสวมเสื้อสีชมพู กระโปรงสีขาว หน้าตาสะสวย ในมือถือตะกร้าซึ่งดูประณีตงดงาม เดินมาหาสวี่เสียนเฟยด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“คำนับพระสนม!” หานจิ้งซูคำนับพระสนมอย่างร่าเริง “ฮองเฮาทรงประชวรหรือเพคะ? ท่านแม่ของข้าพาข้าและพี่สาวข้ามาเข้าเฝ้า แต่ข้ามาหาพระสนมก่อน!”
ข่าวว่าฮองเฮากลับมาได้แพร่สะพัดออกไป ผู้คนต่างก็แวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ การปรากฏตัวของหานจิ้งซูก็ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน
“นางคือผู้ใดหรือเพคะ?” หานจิ้งซูมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ที่จริงแล้วผู้ที่หานจิ้งซูสังเกตเห็นเป็นคนแรกก็คืออวี๋หวั่น แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นสตรีที่หน้าตาและท่วงท่าโดดเด่น งามแต่ไม่ฉูดฉาด เยือกเย็นแต่ไม่น่ากลัว มองแล้วมิอาจละสายตาไปได้ ทว่านางก็ไม่ได้โง่งม จึงกล่าวทักทายสวี่เสียนเฟยก่อนจึงเอ่ยถามถึงอวี๋หวั่น
สวี่เสียนเฟยชื่นชอบการรู้จักกาลเทศะของหานจิ้งซู นางดูไร้เดียงสาแต่มิได้ด้อยสติปัญญา สตรีเช่นนี้จึงเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาที่ดี
สวี่เสียนเฟยแนะนำอวี๋หวั่น “ภรรยาที่เพิ่งสมรสของคุณชายเยี่ยน”
“ฮูหยินเยี่ยนหรอกหรือ” หานจิ้งซูคำนับ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสดใสว่า “ข้าแซ่หาน นามว่าจิ้งซู”
“นางอวี๋” อวี๋หวั่นยิ้ม
แม่นางหานคนนี้ดูใสซื่อ แต่แท้จริงแล้วนางเป็นคนฉลาดหลักแหลม อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่าในตอนที่สวี่เสียนเฟยแนะนำว่าเธอเป็นใคร ความหวาดระแวงในสายตาของนางก็อันตรธานไปทันที
นางคงไม่ได้คิดว่าที่เธออยู่กับสวี่เสียนเฟยเช่นนี้เป็นเพราะสวี่เสียนเฟยต้องการหาชายารองให้เยี่ยนไหวจิ่งหรอกใช่ไหม?
อวี๋หวั่นอยากจะหัวเราะ
เป็นเพราะว่าแม้สวี่เสียนเฟยจะไม่ได้เลือกชายารองให้เยี่ยนไหวจิ่ง แต่เยี่ยนไหวจิ่งก็ยังไม่หยุดวอแวเธอ กระทั่งในวันแต่งงานของเธอ เขายังเกือบถูกจับได้ว่าพยายามพาเธอออกไปจากเกี้ยว หานจิ้งซูยังเด็กเกินไป นางคิดว่าถ้าหากผู้หญิงแต่งงานไปแล้ว ผู้ชายก็จะเลิกชอบไปเอง แต่หารู้ไม่ว่าผู้ชายบางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น
“วันนี้องค์ชายรองเข้าวังหรือไม่เพคะ?” หานจิ้งซูเอ่ยถามสวี่เสียนเฟยด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
สวี่เสียนเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยน “เขาเข้ามาหาข้าทุกวัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หานจิ้งซูก้มหน้าด้วยความขวยเขิน
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” อวี๋หวั่นยืนอยู่ระหว่าง ‘แม่สามีและลูกสะใภ้’ คู่นี้แล้วเหนื่อยใจเหลือเกิน
“ดอกไม้ดอกนั้นงามนัก ซูเอ๋อร์เจ้าไปเด็ดให้ข้าหน่อย” สวี่เสียนเฟยรอให้หานจิ้งซูออกไป จากนั้นหันไปมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “ทางที่ดี เจ้านำคำพูดของข้าเมื่อครู่ไปไตร่ตรองเสีย”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ก่อนที่พระสนมจะข่มขู่ข้าเช่นนี้ อย่างน้อยก็ควรไปถามบุตรชายของท่านก่อนว่าทำอะไรเอาไว้ในการแต่งงานของข้านะเพคะ”
สวี่เสียนเฟยขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่เร่งร้อนว่า “บุตรชายของท่านบอกกับข้าเองว่า เขาได้เป็นฮ่องเต้เมื่อไร ก็จะรับข้าเข้าวังทันที ถึงตอนนั้นพระสนมคงจะยอมรับข้าใช่หรือไม่?”
สวี่เสียนเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที “จะ…เจ้าพูดอะไรเหลวไหล!”
อวี๋หวั่นยิ้ม “เหลวไหลหรือไม่เหลวไหลพระสนมไปถามองค์ชายรองเองเถิด แทนที่พระสนมจะคอยกังวลเรื่องของข้า มิสู้ไปดูแลองค์ชายให้ดี ให้เขาแต่งงานกับคุณหนูหานอย่างสบายใจดีกว่าหรือ! อย่างไรเสียพระสนมก็ใกล้จะหมดสิทธิ์ครอบครองตราประทับเฟิ่งอิ๋นแล้ว หากขุนเขาใหญ่อันเป็นที่พึ่งอย่างจวนอัครมหาเสนาบดีหลุดมือไปอีก ฐานะขององค์ชายรองก็คงจะสั่นคลอนจริงๆ เสียแล้ว”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็มิได้มองหน้านางอีก เธอค้อมกายให้ แล้วหันหลังเดินออกไป
กล้าข่มขู่นาง แถมยังเดินจากไปด้วยท่าทางจองหองเช่นนี้ สวี่เสียนเฟยโทสะพลุ่งพล่าน นางเหลือบไปมองสระไท่เยี่ย จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วผลักอวี๋หวั่นลงไป!
กระนั้นอวี๋หวั่นก็ไม่ได้ตกลงไปในน้ำเพียงคนเดียว หานจิ้งซูกำลังเก็บดอกไม้อยู่ข้างสระน้ำ อวี๋หวั่นคว้านางเอาไว้แล้วลากนางลงไปด้วยกัน
“ว้ายยยย”
หานจิ้งซูกรีดร้องเสียงดัง
นางว่ายน้ำไม่เป็น!
สวี่เสียนเฟยตกใจแทบแย่ นางไม่คิดว่าอวี๋หวั่นจะใจร้ายใจดำถึงกับลากหานจิ้งซูลงไปในน้ำด้วยเช่นนี้!
นางคิดจะทำอะไร? จะลากหานจิ้งซูไปตายด้วยกันอย่างนั้นรึ?!
สวี่เสียนเฟยไม่อาจทนดูหานจิ้งซูจมน้ำได้ จึงรีบตะโกนเรียกคนในวังที่อยู่ไม่ไกลออกไป “ยืนอึ้งกันอยู่ทำไมเล่า? ยังไม่ลงไปช่วยคนอีก?”
คนในวังต่างกรูกันลงไปในสระน้ำราวกับเทเกี๊ยวลงไปต้มในหม้อ
“กรี๊ด…”
หานจิ้งซูตะเกียกตะตายอยู่ในน้ำ คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังจะจมลงไป
สวี่เสียนเฟยเหงื่อโทรมกายเพราะความร้อนใจ “ช่วยคุณหนูหาน! ช่วยคุณหนูหานเดี๋ยวนี้!”
พวกเขาจึงว่ายน้ำเข้าไปหาหานจิ้งซู
ไม่มีผู้ใดสนใจว่าอวี๋หวั่นเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เพียงแต่ว่าการช่วยหานจิ้งซูขึ้นจากน้ำมิได้ง่ายดายอย่างที่คิด เท้าของหานจิ้งซูไปเกี่ยวกับรากไม้ที่ก้นสระ พวกเขาดึงแล้วดึงอีกแต่ก็ไม่หลุด สุดท้ายจำต้องดำลงไปแกะรากไม้ออก
หานจิ้งซูไม่อาจกลั้นหายใจได้อีก สีหน้าของนางย่ำแย่เหลือเกิน
ในตอนนั้นเอง ก็มีร่างกำยำล่ำสันกระโจนลงในน้ำ
หานจิ้งซูนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นทันที องค์ชายรอง!
หานจิ้งซูตื่นเต้นเสียจนลืมไปว่าตนกำลังจมอยู่ใต้น้ำ นางอ้าปากหมายจะเรียกเขา แต่น้ำในสระกลับท่วมทะลักเข้าปาก
โชคดีที่เยี่ยนไหวจิ่งว่ายน้ำเข้ามาหานาง นางจึงยื่นมือออกไปเตรียมโผเข้าหาเขา แต่กลับดูเหมือนว่าเยี่ยนไหวจิ่งจะมองไม่เห็นนาง และว่ายน้ำผ่านหน้านางไป
เยี่ยนไหวจิ้วอุ้มสตรีที่แต่งงานแล้วผู้นั้น และช่วยนางขึ้นฝั่งไป
………………………………………..

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset