บทที่ 118 อดีตและปัจจุบัน (1)
Ink Stone_Romance
หลังจากที่ความจริงเปิดเผย ก็มีขันทีจากวังหลวงมาไต่ถามเรื่องราวจากอวี๋หวั่นถึงจวนคุณชาย อวี๋หวั่นได้ยินคำพูดของสวี่เสียนเฟยมาตั้งแต่แรกแล้ว นางบอกว่าเธอตกลงในน้ำ ทั้งยังไม่ทันระวัง จึงดึงหานจิ้งซูลงไปด้วย เธอไม่ทันระวังอะไรกัน? เธอตั้งใจดึงหานจิ้งซูลงไปด้วยต่างหากเล่า
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น คล้ายกับว่ามีคนผลักข้าจากด้านหลัง ในตอนนั้นพระสนมยืนอยู่ด้านหลังข้า ไม่สู้ท่านถามพระสนมดีกว่าว่าพบเห็นผู้ใดน่าสงสัยหรือไม่”
เธอก็แค่ไม่ได้บอกว่าคนร้ายก็คือสวี่เสียนเฟย
อวี๋หวั่นไม่มีหลักฐาน แต่บางเรื่องไม่ต้องมีหลักฐาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายต้องการเชื่อแบบใด ได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยตนเอง จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงยกให้ฮองเฮาดูแลงานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนู ใครจะกล้าพูดได้เล่าว่าฮ่องเต้และจวนอัครมหาเสนาบดีมิได้เคลือบแคลงสวี่เสียนเฟย?
“ฮูหยิน จะปล่อยให้เรื่องนี้จบเช่นนี้หรือเจ้าคะ? นางเป็นคนผลักท่านนะเจ้าคะ!” หลีเอ๋อร์ถือตะกร้าอยู่ด้านหลังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นตัดดอกกุหลาบหนึ่งดอกใส่ตะกร้าที่หลีเอ๋อร์ถืออยู่ “นางผลักข้า ข้าก็ดึงหานจิ้งซูลงไปด้วย ถ้าหากนางถูกลงโทษ ข้าคงจะหนีไม่รอดเหมือนกัน”
ตอนนี้เป็นเช่นนี้นับว่าดีแล้ว ฮ่องเต้สงสัยสวี่เสียนเฟย จวนอัครมหาเสนาบดีไม่ไว้ใจเยี่ยนไหวจิ่ง เธอไม่ได้ศีรษะกระแทกหินจนหัวโนอย่างไร้ประโยชน์
“ฮูหยิน ตะกร้าเต็มแล้วเจ้าค่ะ เท่านี้พอแล้วหรือไม่เจ้าคะ? ถ้าไม่พอ บ่าวจะไปหยิบตะกร้ามาเพิ่ม” หลีเอ๋อร์ยกตะกร้าขึ้นมาให้อวี๋หวั่นดู
อวี๋หวั่นมองไปยังตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ แล้วพยักหน้า “น่าจะพอแล้ว”
คุณสามีงอนซะแล้ว อวี๋หวั่นคิดว่าจะทำของที่เขาชอบกินไปง้อ น้ำกุหลาบนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ยังไม่ใช่แผนการหลักของวันนี้ เธอให้คนไปหยิบซานจามา ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูของซานจา ซานจาเหล่านี้เป็นเพียงเนื้อซานจาแห้ง แกะเม็ดออกแล้ว ให้รสเปรี้ยวมากกว่าผงซานจาตามท้องตลาดเล็กน้อย
“ใส่น้ำตาลหรือไม่เจ้าคะ?” หลีเอ๋อร์ขยับมาข้างๆ พลางเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นแบ่งซานจาซึ่งบดเป็นผงแล้วครึ่งหนึ่งไว้ในชาม “ใส่น้ำตาลไปสองก้อน”
หลีเอ๋อร์เคาะน้ำตาลก้อนใหญ่ออกมาเป็นสองก้อนแล้วใส่ลงไป แล้วมองไปยังชามที่ยังไม่ได้ใส่น้ำตาลด้วยความสงสัย แค่มองก็รู้สึกเปรี้ยวเข็ดฟันขึ้นมาทันที
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากราวกับว่าล่วงรู้ถึงความสงสัยของเธอ “อยู่ๆ คุณชายก็ชอบกินเปรี้ยว[1]ขึ้นมา”
หลีเอ๋อร์อ้าปากค้าง เหตุใดคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ…คนที่หลังจากแต่งงานแล้วก็ชอบกินเปรี้ยวควรจะเป็นฮูหยินไม่ใช่หรือ?
ขนมซานจาน้ำกุหลาบชุดที่ไม่มีน้ำตาลถูกส่งไปยังห้องหนังสือของเยี่ยนจิ่วเฉา ชุดที่มีน้ำตาลเหลือไว้ให้เด็กน้อยทั้งสาม หลังจากทำเสร็จก็ถึงเวลาเรียนกับวั่นมามา เมื่ออวี๋หวั่นเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงรุดออกไป เพิ่งเดินออกมาจากเรือนชิงเฟิง ก็พบกับลุงวั่นซึ่งมีท่าทางกระวนกระวาย
“ลุงวั่น” อวี๋หวั่นทักทาย
“ฮูหยิน” ลุงวั่นค้อมกายเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “จะไปเรียนกับวั่นมามาหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “วันนี้วั่นมามาจะทดสอบกฎระเบียบต่างๆ แล้วก็พงศาวลีราชวงศ์”
พงศาวลีมิใช่ปัญหาใหญ่ เธอจำได้เกือบทั้งหมดแล้ว แต่เรื่องกิริยามารยาทท่าทางล้วนต้องไปทำด้วยตัวเองนั้น เธอยังจำได้ไม่หมด กลัวว่าจะต้องถูกวั่นมามาทำโทษอย่างแน่นอน
ลุงวั่นเห็นท่าทางของอวี๋หวั่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน “หลานชายของวั่นมามาเข้าเมืองหลวงวันนี้ เมื่อครู่นางบอกข้าว่าให้เจ้าหยุดหนึ่งวัน พรุ่งนี้จะมาทดสอบ”
อวี๋หวั่นโล่งใจ เธอรักษาชีวิตเอาไว้ได้อีกวัน!
“ใช่สิ มีอีกเรื่องหนึ่ง” ลุงวั่นกล่าว “แม่นางชุยมาที่นี่ นำผ้าต่วนสองพับและใบชาซึ่งเป็นบรรณาการจากเจียงหนานมาให้เจ้า”
“ให้ทำไมหรือ? พวกเขาให้ของกำนัลมาตั้งมากมายแล้วนี่?” อวี๋หวั่นฉงนใจ
เรื่องที่สระไท่เยี่ยย่อมมิอาจปกปิดลุงวั่น อิ่งลิ่ว และอิ่งสือซัน ลุงวั่นตอบว่า “แปดในสิบส่วน ฮองเฮาต้องทรงคิดว่าฮูหยินลงมือกับองค์ชายรองและสวี่เสียนเฟยเช่นนั้นก็เพื่อช่วยนางแย่งตราประทับเฟิ่งอิ๋นกลับคืนมากระมัง”
เข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ได้ทำเพื่อฮองเฮา แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้นที่ถูกเยี่ยนไหวจิ่งลักพาตัวไปในวันแต่งงาน
“ไหนๆ ก็ให้มาแล้ว รับไปเถิด” ลุงวั่นบอก
น้ำเสียงแบบนี้ ฟังดูเหมือนไม่อยากรับความปรารถนาดีจากฮองเฮาสักเท่าไร ราวกับว่าได้แผ่นแป้งมาสามสี่แผ่น ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ใจ
อวี๋หวั่นคิดว่า ทุกวันนี้เธอเป็นนายหญิงของจวนคุณชาย ก็ต้องมองจากมุมมองของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่อาจตื่นตะลึงเพียงเพราะผ้าต่วนสองพับและใบชาสองสามกระป๋องได้อีก
ลุงวั่นไหนเลยจะไม่ล่วงรู้ความคิดของอวี๋หวั่น เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร อีกหน่อยก็ชิน”
“จวนเยี่ยนอ๋อง…ใหญ่กว่าจวนคุณชายหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ลุงวั่นตอบด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว”
หลังจากที่ไปเมืองเยี่ยนมาถึงได้รู้ว่าสวรรค์แห่งทรัพย์ศฤงคารแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
“ดังนั้นข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยใช่ไหม” อวี๋หวั่นพึมพำ หลังจากแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา เธอก็ไม่ได้เป็นเพียงนายหญิงของจวนคุณชาย แต่ยังเป็นภรรยาหลวงของเยี่ยนจิ่วเฉาอีกด้วย เธอต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับสถานะเช่นนี้
วั่นมามาไม่อยู่ อวี๋หวั่นจึงได้พักหนึ่งวัน เธอคิดว่าจะพาเด็กน้อยทั้งสามไปเดินเล่น ที่จริงแล้วเธออยากไปหาซั่งกวนเยี่ยนที่จวนสกุลเซียว อย่างไรนางเป็นแม่สามีของเธอ แต่งงานมาแล้วก็ควรไปไหว้สักครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะยินดีทำอย่างนั้นหรือไม่?
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะหว่านล้อมเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไร บ่าวคนหนึ่งที่ประจำอยู่นอกเรือนก็วิ่งหัวหกก้นขวิดมาที่เรือนชิงเฟิง
“มีเรื่องอะไรหรือ?” หลีเอ๋อร์รั้งเขาไว้หน้าประตู
บ่าวตอบว่า “แม่นางหลีเอ๋อร์ รบกวนท่านไปบอกฮูหยินให้หน่อยขอรับว่าคุณชายรองเกิดเรื่องแล้ว!”
“พี่รองเกิดเรื่องอะไร?” อวี๋หวั่นเดินออกมา
บ่าวค้อมกายหนึ่งครั้ง แล้วตอบว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่กระจ่างขอรับ เสมียนของกั๋วจื่อเจียนส่งข่าวมา ได้ยินว่าเป็นเรื่องด่วน ท่านว่าต้อง…”
“เขาอยู่ไหน?” อวี๋หวั่นถาม
บ่าวตอบ “หน้าประตูจวนขอรับ!”
เสมียนที่นำข่าวมาแจ้งเป็นคนแซ่จาง เขาทำงานปัดกวาดในสำนักบัณฑิต ลุงวั่นกังวลว่าอวี๋ซงจะไม่คุ้นเคยกับที่นั่น แต่ก็ไม่กล้ารบกวนอวี๋หวั่น จึงติดสินบนเสมียนคนหนึ่งว่าให้คอยดูอวี๋ซง หากเกิดเรื่องอะไรให้มารายงานต่อจวนคุณชายโดยตรง
เสมียนคนนั้นลอบหนีออกมา เมื่อส่งข่าวเสร็จจำต้องรีบกลับสำนักบัณฑิตไป
อวี๋หวั่นให้เขาสรุปเรื่องให้ฟัง
เสมียนจางตอบว่า “ข้าก็ไม่มั่นใจ สรุปแล้วก็คือคุณชายอวี๋กับคนจากเฉิงซินถังทะเลาะกันแล้วขอรับ!”
อวี๋หวั่นได้ยินเรื่องจากสำนักบัณฑิตมาบ้าง รู้ว่ากั๋วจื่อเจียนแบ่งเป็นหกห้อง เจิ้งอี้ถัง ฉงจื้อถัง และก่วงเยี่ยถัง นับเป็นชั้นปีที่หนึ่ง ซิวเต้าถังและเฉิงซินถังคือชั้นปีที่สอง ชั้นปีที่สูงที่สุดเรียกว่าซ่วยซิ่งถัง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าซั่งเส่อ เมื่อเจี้ยนเซิงของซั่งเซ่อสอบผ่าน ก็จะมีคุณสมบัติไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ทรงอนุญาต ก็จะสามารถพระราชทานตำแหน่งให้ได้โดยตรง
เจี้ยนเซิงของสำนักบัณฑิตมิได้แบ่งชั้นปีจากอายุ แต่ใช้คะแนนในการแบ่ง เมื่อตอนที่อวี๋ซงเข้าไปในสำนักบัณฑิต พื้นฐานความรู้ของเขาไม่มาก จึงสอบได้เพียงก่วงเยี่ยถังห้องสอง
อวี๋หวั่นคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอวี๋ซงถึงไปมีเรื่องกับคนจากเฉิงซินถังได้ นั่นมันข้ามชั้นมากไปแล้ว
“อีกประเดี๋ยวคุณชายออกมาจากห้องหนังสือ เจ้าช่วยบอกเขาทีว่าข้าไปกั๋วจื่อเจียน” จะไปไหนมาไหนก็ควรบอกเยี่ยนจิ่วเฉาสักหน่อย แต่ตอนนี้บอกกับเจ้าตัวคงไม่ทันแล้ว เพราะฉะนั้นอวี๋หวั่นจึงบอกกับเถาเอ๋อร์ แล้วพาหลีเอ๋อร์ขึ้นรถม้าออกไป
ณ สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียน อวี๋ซงและคู่กรณี รวมไปถึงเจี้ยนเซิงที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างถูกเรียกออกมานอกหอพัก อาจารย์เลี่ยวและอาจารย์แซ่ซุนอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกป่าไผ่ จ้องพวกเขาด้วยสีหน้าดุดัน
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของอาจารย์สักท่านดังขึ้นจากไกลๆ น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พวกเจ้าทั้งสองคนทะเลาะกันได้อย่างไร?”
“เขาขโมยของข้า!” คนที่ทะเลาะกับอวี๋ซงตอบ ดูจากรอยแผลก็รู้ว่าผู้ใดเสียเปรียบ ใบหน้าของเขาบวมไปซีกหนึ่ง กำปั้นของเขาก็มีรอยแผล
“ข้าไม่ได้ขโมย!” อวี๋ซงบอก
เจี้ยนเซิงคนนั้นชี้หน้าอวี๋ซง “เจ้านั่นแหละที่ขโมย! ข้าหาของเจอที่ใต้เตียงเจ้า! ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ถามพวกเขาได้! พวกเขาเข้าไปในห้องพร้อมข้า! พวกเจ้า…พวกเจ้าเห็นข้าหาตั๋วแลกเงินเจอจากใต้เตียงของเขาใช่หรือไม่?”
เหล่าเจี้ยนเซิงซึ่งยืนอยู่โดยรอบต่างก็พยักหน้า
…………………………………………..
[1] กินเปรี้ยว นอกจากจะหมายถึงกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวแล้ว ยังเป็นคำแสลงหมายถึงหึงหวงหรือขี้หึงได้อีกด้วย