ในการตัดชุดทางการ อวี๋หวั่นต้องไปด้วยตนเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีสาวใช้ติดตามไปสองคน จื่อซูเป็นหัวหน้าสาวใช้ นางต้องไปด้วย อีกคนหนึ่งก็…
หลีเอ๋อร์และเถาเอ๋อร์มาก่อน แต่พวกนางอายุยังน้อย ช่วงนี้ฝูหลิงค่อนข้างได้รับความเอ็นดูจากฮูหยินน้อย จื่อซูจึงคิดว่าฮูหยินน้อยน่าจะพานางไปด้วย
“ซูมู่ทำอะไรอยู่?” อวี๋หวั่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองหน้าจื่อซูผ่านกระจก
มือของจื่อซูซึ่งกำลังหวีผมให้เธอพลันชะงักไป นางตอบว่า “หลังจากที่นางตกน้ำ ฮูหยินน้อยก็สั่งให้นางพักรักษาตัว นางไม่ได้ออกจากเรือนจู๋เยวี่ยเลยเจ้าค่ะ”
กล่าวตามตรง นี่ฟังดูราวคล้ายกับเป็นเรื่องที่ซูมู่กุขึ้นมา แม้ว่าจะเกิดเรื่องหลายครั้ง แต่ชื่อเสียงของซูมู่ก็ยังไม่ได้มลายหายไปเสียหมด เห็นอยู่ว่านางเข้าวังมาได้เพียงไม่กี่วันก็ทำให้ผู้อื่นชื่นชมได้เท่าไร นางเป็นคนมีความสามารถ แต่ว่าอวี๋หวั่นได้ยึดอำนาจคืนมาแล้ว และเธอเองก็มีความอดทนมากพอ
สิ่งที่อวี๋หวั่นสงสัยก็คือจุดประสงค์ที่ซูมู่เข้าจวนมา นางต้องการแย่งทุกอย่างจากเธอหรือ? ทำไมนางถึงต้องทำอย่างนี้? ในตอนนั้นเหยียนหรูอวี้ทำไปเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และเพื่อหาสามีที่เพียบพร้อมให้กับตนเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถเติมเต็มโมหันธ์ในใจของนางได้ แต่ซูมู่เล่า? นางหมายจะปีนขึ้นบนเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เพราะนางชอบเขา หรือนั่นเป็นเพียงวิธีจับเขากันแน่?
อวี๋หวั่นสั่งจื่อซูว่า “เจ้าไปที่เรือนจู๋เยวี่ย ให้นางเตรียมตัวเข้าวังกับข้า”
จื่อซูตกใจ “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ซูมู่นาง…”
อวี๋หวั่นมองจื่อซูผ่านกระจก สายตานิ่งๆ นั้นกลับทำให้จื่อซูรู้สึกหวาดผวา จื่อซูก้มหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะนำความไปบอกนาง”
จื่อซูออกไปเรียกปั้นซย่ามาหวีผมให้อวี๋หวั่นต่อ
ผ่านไปหนึ่งเค่อ อวี๋หวั่นก็พาจื่อซูและซูมู่เดินทางเข้าวัง
คนในจวนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันให้เซ็งแซ่
“ซูมู่โชคดีเหลือเกิน ครั้งที่แล้วฮูหยินน้อยพาเข้าวัง ครั้งนี้ก็ได้เข้าวังอีก”
“นางสร้างเรื่องเอาไว้มาก ฮูหยินน้อยกลับใจคอโอบอ้อมอารี…”
“ได้ยินว่าครั้งก่อนนางเข้าตาฮองเฮา ฮองเฮาพระราชทานของให้นางด้วย”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าฮูหยินน้อยทำไปก็เพื่อประจบฮองเฮาหรือ?”
การประจบประแจงฮองเฮากลายเป็นเหตุผลที่อวี๋หวั่นพาซูมู่เข้าวัง เธอไม่รู้เรื่องนี้ด้วย แต่หากรู้ เธอก็คงไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียเหตุเมื่อเทียบกับเหตุผลที่แท้จริงของเธอ เหตุผลหลังก็น่าสนใจกว่ามาก
รถม้าเคลื่อนผ่านประตูวังหลวง
อวี๋หวั่นนำสาวใช้ทั้งสองลงจากรถม้า จื่อซูรู้ดีว่าอวี๋หวั่นไม่ชอบซูมู่ ตลอดทางนางจึงคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของซูมู่ ด้วยกลัวว่านางจะลงมือทำสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืนได้กับอวี๋หวั่น
“ฮูหยินน้อยเชิญทางนี้” แม่นางชุยเดินนำอวี๋หวั่นไปยังห้องเย็บปักของตำหนักเจาหยาง
คนจากกองพระราชสำนักเดินทางมาถึงแล้ว กำลังวัดตัวให้พระชายาองค์ใหญ่อยู่
“อย่าทำเครื่องรางพังเล่า” ฮองเฮาบอกกับพระชายา
พระชายารีบถอดเครื่องรางบนคอออกมา เมื่อช่างตัดเสื้อวัดตัวเสร็จ นางจึงจะสวมกลับเข้าไปใหม่
ฮองเฮาไม่โปรดปรานนางมากนัก องค์ชายใหญ่เองก็ไร้ความสามารถ อยู่กับพระชายามาหลายปียังไม่อาจสู้องค์ชายองค์อื่นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นลูกสะใภ้ซึ่งเป็นตัวแทนของนาง บัดนี้ฮองเฮาออกจากตำหนักเฟิ่งชีแล้ว ไม่มีทางปฏิบัติต่อนางไม่ดี
อวี๋หวั่นถวายบังคมฮองเฮาและพระชายา
ฮองเฮาโบกมือให้อวี๋หวั่นทำตัวตามสบาย
อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่าใบหน้าของฮองเฮาดูมีความสุขสดชื่นกว่าแต่ก่อน แล้วมองไปยังพระชายา มือข้างหนึ่งของนางวางไว้ที่ท้อง ใบหน้าเขินอาย
“พี่สะใภ้…” อวี๋หวั่นมองไปยังฮองเฮาด้วยความประหลาดใจ
ฮองเฮาทรงยิ้มด้วยความปลื้มปีติ “เพิ่งตั้งครรภ์ อายุครรภ์ไม่มาก กราบทูลฝ่าบาทแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศออกไป”
อวี๋หวั่นจับมือของพระชายา แล้วกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ยินดีด้วยเพคะ”
ไม่ว่าจะเป็นราษฎรทั่วไปหรือเชื้อพระวงศ์ การตั้งครรภ์นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายล้วนแต่มีพระธิดา ยังไม่มีผู้ใดให้กำเนิดพระโอรสมาก่อน หากท้องนี้เป็นผู้ชาย ฮ่องเต้ต้องทรงดีใจจนไม่อาจซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้เป็นแน่
เดิมทีคิดว่าจะหาชายาที่มีชาติตระกูลมาให้องค์ชายใหญ่เพิ่ม ทว่าบัดนี้ไม่จำเป็นต้องนึกถึงคุณหนูเหล่านั้นแล้ว เป็นเพราะต้องการให้พระชายาบำรุงครรภ์ได้อย่างสบายใจ เรื่องหาอนุให้บุตรชายนั้นพักไว้ก่อน
พระชายาเป็นคนพูดน้อย โดยมากนางมักจะนั่งเงียบๆ ผู้คนต่างบอกว่าฮองเฮาไม่โปรดนาง ฮ่องเต้ทรงหาพระชายาที่ภูมิหลังไม่สูงส่ง แต่ในความคิดของอวี๋หวั่น การได้แต่งงานกับแม่นางที่อ่อนโยนเช่นนี้นับว่าเป็นโชคดีเหลือเกิน ฮ่องเต้ไม่ได้ไม่รักองค์ชาย แต่ทรงรู้ว่าลำพังสติปัญญาขององค์ชายไม่อาจแบกรับภาะอันใหญ่หลวงนี้ได้ หากหาคุณหนูจากสกุลซึ่งมีความทะเยอทะยานสูง สุดท้ายแล้วก็คงต้องตายเพราะพยายามช่วงชิงบัลลังก์ของพระองค์ ไม่สู้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้จะดีกว่า
แต่ไม่รู้ว่า…ฮองเฮาสามารถ ‘ยอมรับชะตากรรม’ เช่นนี้ได้หรือไม่
ช่างตัดเสื้อวัดตัวให้อวี๋หวั่นเสร็จก็ออกไป
คนท้องมักรู้สึกง่วงนอน ฮองเฮาเห็นว่าลูกสะใภ้พยายามตั้งสติ จึงให้แม่นางชุยพยุงนางไปพักผ่อน
ฮองเฮาจึงพูดคุยเรื่องในบ้านกับอวี๋หวั่น “ข้าได้ยินเรื่องของจิ่งเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์ พวกเขาทะเลาะกันได้อย่างไร? ฉงเอ๋อร์ไม่เป็นไรกระมัง?”
“เขาไม่เป็นไรเพคะ” อวี๋หวั่นตอบ แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขาทะเลาะกันได้อย่างไร
ฮองเฮาทอดถอนใจ “นิสัยของฉงเอ๋อร์ข้าเข้าใจดี เขามักมีเรื่องวิวาทไปทั่ว แต่ไม่มีทางหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ดูแล้วสองพี่น้องคงจะมีเรื่องไม่ลงรอยกัน”
จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
อวี๋หวั่นฟังออกว่าฮองเฮาไม่ได้ใช้คำพูดอ้อมค้อม เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจปิดบังนางกับฮ่องเต้ได้ ความรู้สึกที่เยี่ยนไหวจิ่งมีต่ออวี๋หวั่น นางเองกระจ่างดี แต่เรื่องบางเรื่องรู้อยู่แก่ใจย่อมเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำออกมาบอกให้ผู้อื่นรู้
ฮ่องเฮาถามถึงเด็กน้อยทั้งสาม “เหตุใดครั้งนี้ไม่พาพวกเขามาด้วยเล่า?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านพ่อท่านแม่ข้าคิดถึงพวกเขา จึงรับพวกเขาไปอยู่ด้วยสักพักเพคะ”
ฮองเฮายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เป็นฉงเอ๋อร์ที่คิดว่าพวกเขาขัดแข้งขัดขา จึงจับพวกเขาไปโยนไว้นอกวังกระมัง? แม้แต่ไข่ไก่แดงก็นำไปแจกที่ตำหนักจินหลวนแล้วนี่!”
แจก…แจกไข่ไก่แดง?
เธอไม่ได้คลอดลูกสักหน่อย!
เขาไปแจกไข่ไก่สีแดงทำไมกัน!
ฮองเฮากล่าวต่อ “ทั้งยังตั้งโรงทานบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฎร คนอื่นแจกโจ๊ก เขากลับแจกไข่ไก่สีแดง…พวกเจ้าเข้า
หอกันแล้วสินะ…”
ฮองเฮาเป็นผู้มีประสบการณ์มาก่อน มีเรื่องใดที่นางเดาไม่ออก?
ใบหน้าของอวี๋หวั่นแดงระเรื่อ อวี๋หวั่นอยากแทรกแผ่นดินหนี
ภาพเหตุการณ์ปรากฏในสมองของเธอ เยี่ยนจิ่วเฉาถือไข่ไก่สีแดงไว้ในมือ เดินเข้าไปในตำหนักจินหลวนอย่างผึ่งผายราวกับมีคำว่า ‘ข้าเข้าหอแล้ว พวกเจ้ารีบมาแสดงความยินดีกับข้าเร็ว!’ เขียนอยู่บนใบหน้า
อวี๋หวั่น…อวี๋หวั่นนึกอยากจะตีเขาให้ตาย
ฮองเฮาหยอกล้อเธอจนพอใจ ก็ยิ้มพลางเบนสายตาไป พลันเหลือบไปเห็นสาวใช้ทั้งสองของจวนคุณชาย ครั้งก่อนพวกนางเคยมาแล้ว หนึ่งในนั้นสนิทสนมกับองค์ชายน้อย ฮองเฮาจึงจดจำนางได้ดี
แต่ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ แม่นางคนดีดูไม่เหมือนครั้งก่อน
อวี๋หวั่นมองฮองเฮา แล้วมองไปยังจื่อซูและซูมู่ “ของที่ข้าให้พวกเจ้าหยิบ พวกเจ้านำมาด้วยหรือไม่?”
จื่อซูตอบว่า “เรียนฮูหยินน้อย นำมาแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นบอกว่า “ไปหยิบมา”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบ แล้วเดินออกไปห้องด้านข้างของตำหนักเจาหยางพร้อมกับซูมู่ ของที่พวกนางนำมานั้นได้นำไปวางในห้องปีกซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษ
ทั้งสองถือตะกร้าสองใบเข้ามา
จวนคุณชายมีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ นอกจากอิงเถาแล้วยังมีผลไม้ชนิดอื่นๆ อีก อวี๋หวั่นให้คนเก็บลูกหม่อน สาลี่ ลูกท้อหวาน และเซียงกวา(เมล่อน) ในวังก็มีผลไม้เหล่านี้ แต่กลับไม่อร่อยเท่าของจวนคุณชายเยี่ยน
ฮองเฮารับสั่งให้นางกำนัลจัดผลไม้ใส่จาน นางลองชิมเซียงกวาไปคำหนึ่ง รสชาติหอมหวานสดชื่นยิ่งนัก จากนั้นจึงลองชิมสาลี่และลูกท้อหวาน เดิมทีคิดว่าผลไม้เหล่านี้คงมีรสเปรี้ยวและฝาดเจือปนอยู่ ไหนเลยจะรู้ว่ารสหวานและกลิ่นหอมทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
ฮองเฮาไม่เคยกินลูกหม่อนมาก่อน อวี๋หวั่นคัดแต่ลูกสีม่วงอมดำให้นาง รสชาติที่ไม่คุ้นชิน แต่กลับอร่อยถูกปาก
“แบ่งให้พระชายาไปสักหน่อย” ฮองเฮาบอก
“บนรถม้ายังมีอีกเพคะ” อวี๋หวั่นบอกจื่อซูและซูมู่ “พวกเจ้าไปหยิบมา แล้วนำไปให้พระชายาที่ห้องบรรทม”
“เจ้าค่ะ”
………………………………………………
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 135 วิธีของหวั่นหวั่น (1)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…