ทั้งสองออกไปแล้ว
ทั้งสองนำผลไม้ไปให้พระชายาองค์ใหญ่ที่ห้อง อวี๋หวั่นสนทนากับฮองเฮาอยู่ครู่หนึ่งก็เตรียมตัวกล่าวลา ทว่าขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากตำหนักเจาหยางนั้นเอง นางกำนัลซึ่งคอยรับใช้ข้างกายของพระชายาก็กระวีกระวาดเข้ามา
ฮองเฮามองนาง “มีอะไรหรือ?”
นางกำนัลตอบว่า “กราบทูลฮองเฮา เครื่องรางของพระชายาหายไปแล้วเพคะ!”
ฮองเฮาหน้าถอดสี “หายไปก็รีบไปหาสิ ไปหาเร็ว!”
อวี๋หวั่นมองฮองเฮาด้วยความมึนงง
ฮองเฮารู้ดีว่าตนตกใจมากไปสักหน่อย เรียกว่าเสียอาการก็เห็นจะได้ กระนั้นนางจะไม่วิตกก็ไม่ได้ นั่นเป็น
เครื่องรางที่นางให้ลูกชายไปขอที่วัดผู่จี้ด้วยตนเอง ได้รับการปลุกเสกจากเจ้าอาวาสของวัดผู่จี้เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองพระชายา ให้นางให้กำเนิดโอรสอย่างปลอดภัย
“ปลุกเสกแล้ว ใช้คุ้มครองสองแม่ลูกให้ปลอดภัย” ฮองเฮาบอกกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพยักหน้า คนโบราณเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ของสำคัญเช่นนี้หายไปย่อมต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเป็นธรรมดา
“เป็นอย่างไรหรือเพคะ? ประเดี๋ยวพวกหม่อมฉันช่วยหา” เธอบอก
ฮองเฮาเอ่ยขึ้น “เป็นถุงสีแดง ข้างในมียันต์กระดาษและหยกฝังทอง หยกนั่นปลุกเสกแล้วเช่นกัน”
หินผายังแตกหักได้ ความพยายามก็ทำให้มีบุตร
อวี๋หวั่นมองไปยังจื่อซูและซูมู่ “พวกเจ้าไปหาในลานบ้าน ดูว่าพระชายาทรงทำหล่นไว้ระหว่างทางหรือไม่”
ทั้งสองรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
เครื่องรางนี้มีความสัมพันธ์กับครรภ์ของพระชายา เมื่อหายไปจึงเป็นเรื่องใหญ่ ต่อให้ตกลงไปในหลุมลึกสามฉื่อ ก็จำต้องขุดขึ้นมา อย่างไรก็ดี คนทั้งตำหนักเจาหยางล้วนแต่มาช่วยกันหาเครื่องรางที่หายไป ทั้งด้านนอกและด้านในตำหนัก
ฮองเฮารู้สึกร้อนรนเหลือเกิน
นางยังหวังให้ในครรภ์ของพระชายามีหลานชายคนโตของนาง เหตุใดของที่เพิ่งเห็นอยู่เมื่อครู่กลับหายไปได้? พระชายาก็ตื่นตระหนกเช่นกัน นางจับท้องด้วยความรู้สึกผิด ฮองเฮามิได้ต่อว่านางด้วยกังวลว่าจะกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่ในใจก็กล่าวโทษนางไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่รู้หรือว่าเรื่องรางนี้สำคัญยิ่งนัก? ให้เจ้าเก็บไว้เจ้ากลับไม่เก็บให้ดี!
ในขณะที่ฮองเฮากำลังรู้สึกร้อนใจ นางกำนัลอาวุโสนางหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าจะ…ถูกคนขโมยไปเพคะ?”
ตอนที่พระชายาเข้ามาในตำหนักเจาหยาง ฮองเฮาก็ทรงเห็นเครื่องรางชิ้นนี้แล้ว หลังจากนั้นนางก็อยู่แต่ในตำหนักเจาหยาง ฮองเฮาจึงมั่นใจว่าเครื่องรางจะต้องอยู่ในตำหนักเจาหยาง
ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อารักขาประตูใหญ่ ตั้งแต่บัดนี้ให้เข้าแต่ไม่ให้ออก! เรียกทุกคนไปที่ห้องโถงกลาง!”
“พวกเราก็อยู่ที่นี่ก่อนเถอะ” อวี๋หวั่นพูด
แม้ว่าฮองเฮาจะมิได้นึกสงสัยอวี๋หวั่น แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่…เธอชิงออกปากก่อนว่าจะอยู่ที่นี่ย่อมเป็นการดี
คนในตำหนักล้วนถูกเรียกมารวมตัวกัน แม่นางชุยให้ขันทีสองคนและนางกำนัลอาวุโสค้นตัวทุกคน ผลก็คือไม่พบสิ่งที่กำลังค้นหา
“น่าแปลก ไม่อยู่ในตำหนัก และไม่อยู่ที่คนในตำหนัก” ฮองเฮาขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเอง ซูมู่ก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา
ฮองเฮาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในฉับพลัน!
สายตาของฮองเฮาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนาง นางมิได้แสดงสีหน้าวิตกกังวลแต่อย่างใด กระนั้นมือของนางกลับกำแน่น และมองดูสั่นเล็กน้อย…
ฮองเฮาใบหน้าเย็นเยียบ แม้ว่านางจะเป็นสาวใช้ของจวนคุณชายเยี่ยน แต่เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงหลานชายของนาง นางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าจวนคุณชาย “จับตัวนางมา”
อวี๋หวั่นและจื่อซูมองตามสายตาของฮองเฮา แล้วเผยสีหน้างุนงงขึ้นพร้อมกัน
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ฮองเฮาเพคะ ท่านทรงสงสัยหรือว่าสาวใช้ของหม่อมฉันขโมยเครื่องรางของพระชายา?”
ฮองเฮาตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ข้าก็เพียงขจัดความเคลือบแคลงในตัวพวกเจ้าก็เท่านั้น”
จะว่าไป พวกเธอก็เป็นผู้ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน สาวใช้สองคนนำตะกร้าเข้าไปในห้องของพระชายา หากจะลงมือก็ย่อมมีโอกาส
“เช่นนั้นก็ค้นตัวทั้งคู่ รบกวนแม่นางชุยค้นตัวข้าด้วย” อวี๋หวั่นบอก
“เอ่อ…” แม่นางชุยหันไปมองฮองเฮาด้วยความลำบากใจ ค้นตัวสาวใช้หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ แต่ให้ค้นตัวฮูหยินน้อยแห่งจวนคุณชายนั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงจะฟังดูไม่ดีนัก
ฮองเฮาย่อมตระหนักถึงเหตุผลข้อนี้ ทว่านางกลับมิได้โต้แย้งแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่านางให้ความสำคัญกับเครื่องรางมาก ทางที่ดีคนจากจวนคุณชายควรจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มิเช่นนั้น…ความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองฝ่ายก็คงถึงคราวขาดสะบั้น
จื่อซูยืนนิ่งให้แม่นางชุยค้นตัว
เมื่อถึงคราวของซูมู่ ซูมู่กลับเกิดอาการต่อต้าน
อวี๋หวั่นใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คง…คงจะไม่ใช่…ไม่ใช่นางจริงๆ หรอก?
ถ้าหากเป็นนางจริง ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว
ซูมู่เป็นสาวใช้ของจวนคุณชาย หากพบเครื่องรางบนตัวนาง เห็นทีฮูหยินน้อยคงหนีความผิดไม่พ้น
แต่เพราะเหตุใดซูมู่จึงทำเช่นนี้? เป็นเพราะซูมู่แค้นฝังใจกับสิ่งที่ฮูหยินน้อยทำกับนาง จึงใช้โอกาสนี้แก้แค้นฮูหยินน้อยหรือ? ครานี้หากฮองเฮาทรงถามขึ้น นางก็จะอ้างว่าฮูหยินน้อยสั่งให้นางทำ เช่นนั้นต่อให้ฮูหยินน้อยกระโดดแม่น้ำฮวงโหก็คงหนีความผิดไม่พ้น
เครื่องรางนั้นใช้สำหรับคุ้มครองให้พระชายาคลอดโอรสอย่างปลอดภัย ฮูหยินน้อยขโมยมันไป ไม่เท่ากับว่าคิดร้ายต่อองค์ชายที่ยังมิได้ลืมตาดูโลกหรอกหรือ?
ฮองเฮาทรงต้องโกรธเกลียดฮูหยินน้อยด้วยเหตุผลนี้!
เมื่อความคิดแล่นปราดเข้ามาในสมองของจื่อซู นางก็ใบหน้าซีดเผือด กำผ้าเช็ดหน้าแน่น ในใจได้แต่ภาวนาให้หาไม่เจอ อย่าให้เป็นซูมู่…
กระนั้นจื่อซูก็รู้อยู่เต็มอกว่าความเป็นไปได้นั้นน้อยมาก เท่าที่นางรู้จักซูมู่ ซูมู่ไม่ใช่คนที่ตกใจง่ายถึงเพียงนั้น เมื่อครู่คงจะจงใจแสดงออกเช่นนั้นเพื่อดึงดูดความสนใจของฮองเฮา
นางอยากให้ฮองเฮาค้นตัว!
เป็นดังคาด แม่นางชุยซึ่งค้นตัวซูมู่อยู่หลังฉากกั้นก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “เครื่องราง?!”
จื่อซูนึกเกลียดตนเองเหลือเกิน ไหนบอกแล้วอย่างไรว่าจะจับตาดูซูมู่ไม่ให้คลาดสายตา เหตุใดนางยังลงมือได้อีก? ครานี้จะทำอย่างไรดีเล่า? ซูมู่ต้องกล่าวโทษฮูหยินน้อยเป็นแน่! จื่อซูหันไปจ้องซูมู่ซึ่งถูกแม่นางชุยพาตัวออกมาจากด้านหลังฉากกั้น
แม่นางชุยส่งเครื่องรางให้ฮองเฮา
ฮองเฮารับถุงเครื่องรางสีแดงมา ใบหน้าของนางคล้ายกับมีเมฆดำปกคลุมในฉับพลัน “คุกเข่าบัดเดี๋ยวนี้!”
ฮองเฮาสายตาเย็นเยียบ “ข้าชมเจ้าว่ามีไหวพริบดี แต่เจ้ากลับเมินเฉย! ใจกล้าถึงกับขโมยเครื่องรางของพระชายาเชียวรึ?!”
ซูมู่มิได้โต้แย้ง
ฮองเฮาชี้หน้านาง “พูด! เหตุใดเจ้าจึงขโมยเครื่องราง? ปากแข็งรึ? ย่อมได้ ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะปากแข็งได้นานเท่าไร”
หมายความว่าฮองเฮากำลังจะสั่งทรมานซูมู่
นางกำนัลสองคนซึ่งมีพละกำลังก็เข้ามาคว้าแขนซ้ายขวาของซูมู่
ซูมู่ดูประหนึ่งรู้สึกขลาดกลัวในที่สุด นางพูดขึ้นเบาๆ ว่า “เป็นฮูหยินน้อย”
หัวใจของจื่อซูหล่นวูบ…
ทุกคนล้วนหันขวับไปมองอวี๋หวั่นเป็นตาเดียว
นางบงการซูมู่รึ? นางต้องการอะไร? นางกำลังปองร้ายทารกในครรภ์ของพระชายารึ?
สายตาซับซ้อนและเย็นเยียบของฮองเฮาไปหยุดที่ใบหน้าของอวี๋หวั่น “เป็นเจ้า?”
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน ย่อกายเล็กน้อย “เป็นหม่อมฉัน เครื่องรางนี้หม่อมฉันเป็นคนมอบให้ซูมู่เองเพคะ”
มอบให้?
ฝูงชนต่างตะลึงงัน
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ซูมู่ตกน้ำและตื่นกลัว หม่อมฉันจึงซื้อเครื่องรางให้นาง หวังว่าภายภาคหน้าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกเพคะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เปิดถุงเครื่องราง พร้อมกับเทของข้างในออกมาดู กลับพบว่าหาใช่เครื่องรางที่องค์ชายใหญ่ไปขอให้พระชายาไม่ หากแต่เป็นหินอัคนีสีดำก้อนหนึ่งและยันต์กระดาษที่แสนจะธรรมดาอีกใบหนึ่ง
หินชนิดนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหลงจิง เล่ากันว่าใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ผู้คนมักพกเอาไว้ในถุงเครื่องรางเพื่อนำพาโชคดีและหลีกหนีโชคร้าย
เมื่อพินิจพิจารณาถุงเครื่องรางนี้อีกครั้ง ก็พบว่าคล้ายกับถุงเครื่องรางของพระชายามาก ด้านล่างมีชื่อของซูมู่ปักไว้ หากจะบอกว่านางสับเปลี่ยนของด้านในก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ใครจะสามารถปักชื่อของตนเองบนถุงเครื่องรางได้ในเวลาอันสั้นเช่นนั้น?
ฮองเฮาถอนหายใจ “ข้าเข้าใจเจ้าผิด ลุกขึ้นเถิด”
ครานี้ กลับเป็นซูมู่ที่ยืนงงร่างแข็งทื่อ
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปหาซูมู่ ค่อยๆ พยุงนางขึ้นมา เธอหัวเราะถากถางข้างหูซูมู่เบาๆ ว่า “คิดจะใส่ความข้าหรือ?”
ซูมู่มองไปยังอวี๋หวั่นอย่างไม่อยากเชื่อ ราวกับกำลังถามว่าอวี๋หวั่นทำได้อย่างไร เห็นอยู่ว่าเครื่องรางอยู่ที่นาง อวี๋หวั่นมิได้แตะต้องมันเลยสักนิด จะสับเปลี่ยนถุงเครื่องรางได้อย่างไรกัน?
…………………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 135.2 วิธีของหวั่นหวั่น (2)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…