ทุกคนไม่ได้คาดหวังว่าจะมีฉากละครเช่นนี้ ตอนที่แม่ทัพเวยหย่วนแห่งหนานจ้าวพูดจาดูถูกเหยียดหยามเซียวเจิ้นถิง ทุกคนก็คิดว่าทูตต่างชาติที่น่าสงสารผู้นี้คงต้องโดนแม่ทัพใหญ่เซียวตบหน้าเป็นแน่ แต่ใครจะคิดละว่า เซียวเจิ้นถิงกลับโดนตบหน้าในที่สาธารณะก่อนที่คันธนูจะถูกดึงเสียอีก?
เสียงกระซิบของบรรดาแขกก็ดังขึ้น
“นั่น…นั่นเป็นชุดเกราะของแม่ทัพใหญ่เซียวจริงๆ หรือ? เป็นไปได้ว่าจำผิดหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ทุกครั้งที่แม่ทัพใหญ่เซียวออกเดินทางสู่สนามรบ ข้าจะเฝ้ามองเขาจากข้างทาง ชุดเกราะนั่นข้าไม่รู้ว่าเห็นเขาสวมไปกี่ครั้งแล้ว ไม่มีทางจำผิดแน่!” แขกคนแรกที่อุทานออกมาเมื่อครู่ ชี้ไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้น “เห็นรอยบุ๋มที่ไหล่ขวาหรือไม่ นั่นคือรอยที่แม่ทัพใหญ่เซียวถูกศัตรูแทงจากการออกรบครั้งแรก ยังมีที่ท้องน้อยด้านขวาอีก…”
เขาชี้ให้เห็นที่มาของ ‘รอยแผลเป็น’ ทุกจุดบนชุดเกราะได้อย่างคล่องแคล่ว ราวกับรู้เห็นทุกอย่าง แต่ทุกคนก็ยังไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าทำเลียนแบบ?” แขกคนหนึ่งกล่าว
“ผู้ใดจะเลียนแบบได้เหมือนเพียงนี้?”
ข้อสงสัยนี้เกรงว่าคงมีเพียงเซียวเจิ้นถิงเท่านั้นที่ตอบได้ เขาไม่มีวันจำชุดเกราะของตนเองไม่ได้
ทุกคนมองไปที่เซียวเจิ้นถิง หวังว่าสีหน้าของเขาจะบอกว่านั่นเป็นของปลอม แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อดวงตาของเซียวเจิ้นถิงเย็นเยียบพอที่จะฆ่าคนได้ นี่ไม่น่าจะเป็นของปลอมแล้ว…
แต่นี่มันแปลกมากมิใช่หรือ? ชุดเกราะของแม่ทัพใหญ่เซียวจะมาปรากฏอยู่บนร่างของทูตหนานจ้าวได้อย่างไร?
“โอ้! ไยพวกท่านแต่ละคนมีสีหน้าเช่นนี้เล่า? มีสิ่งใดผิดปกติกับผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ของข้าหรือ?” แม่ทัพเวยหย่วนถามด้วยท่าทีไร้เดียงสา
ไหนเลยทุกคนจะกล้าตอบ?
อวี๋หวั่นมองเซียวเจิ้นถิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล และหันมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างๆ เธอรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แม้เธอจะไม่รู้ว่าชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิงตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายได้อย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเซียวเจิ้นถิง ตัวเขาเองยังไม่รู้เรื่องเลย เยี่ยนจิ่วเฉาก็คงจะยิ่งไม่รู้ ส่วนแม่ทัพเวยหย่วนผู้นี้…อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเขาน่าจะแกล้งทำเป็นโง่ และจงใจท้าให้เซียวเจิ้นถิงเผชิญหน้ากับเขา แต่จุดประสงค์คือทำให้เซียวเจิ้นถิงอับอายด้วยชุดเกราะ
ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ เพราะเกลียดเซียวเจิ้นถิง หรืออ้างเหตุเพื่อตบหน้าราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมด?
“เฉิงอ๋อง ไยพวกท่านเอาแต่จ้องมองผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเล่า?” แม่ทัพเวยหย่วนเห็นทุกคนไม่ตอบสนอง จึงชี้นิ้วไปที่เฉิงอ๋อง
เฉิงอ๋องกระวนกระวาย เอ่ยในใจว่าวันนี้จบเห่แล้ว เกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะให้คนแต่งงานดีๆ ไม่ได้หรือ?
เซียวเจิ้นถิงเอ่ยปากถามอย่างเคร่งขรึม “ชุดเกราะบนร่างกายของเขามาจากที่ใด?”
แม่ทัพเวยหย่วนกล่าว “ท่านหมายถึงอันนี้รึ ข้าซื้อมาจากพ่อค้าคนหนึ่งในต้าโจวของพวกท่าน เหอะ พ่อค้าผู้นั้นคุยโวอย่างดี ข้าจึงหลงซื้อมันมา แล้วก็พบว่ามันเป็นแค่ของที่พังแล้วเช่นนี้ ข้าจึงให้เป็นรางวัลแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า!”
ชุดเกราะเหล็กของเทพเจ้าสงครามผู้สง่างามกลายเป็น ‘ของที่พังแล้ว’ ในปากของเขา…ชายเขลาผู้นี้รู้หรือไม่ว่าหนึ่งร่องรอยบนเกราะเหล็กหมายถึงหนึ่งชัยชนะแห่งสมรภูมิ มันไม่เพียงแต่เป็นเกียรติยศของเซียวเจิ้นถิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมดด้วย!
ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังจะโกรธจนบ้าคลั่ง
หากจะบอกว่าจงใจ ก็ไม่มีหลักฐาน แต่จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ก็บัดซบยิ่งนัก!
องค์ชายรองแห่งซยงหนูไม่เกี่ยวข้อง แต่แม้กระทั่งเขาก็ยังสังเกตเห็นความไม่ถูกต้อง คนหนานจ้าวโอหังเกินไปแล้วกระมัง ทำให้แม่ทัพใหญ่เซียวอับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?
สีหน้าของเซียวเจิ้นถิงเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ แม่ทัพเวยหย่วน เห้อเหลียนฉีทำทีไม่ยอมถอยโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายสถานการณ์เริ่มตึงเครียด หัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋องก็ออกมาเร่ง
“ท่านอ๋อง! เหล้าและอาหารพร้อมแล้ว ได้เวลาเข้างานเลี้ยง!” หัวหน้าขันทีกล่าว
เฉิงอ๋องถอนหายใจอย่างโล่งอกและเอ่ยเสียงดัง “หากให้อาหารเย็นก็คงจะไม่ดี แม่ทัพใหญ่เซียวกับแม่ทัพเวยหย่วนวันหน้าค่อยเรียนรู้ฝีมือกันเถิด!”
วันนี้เป็นวันมงคลของเฉิงอ๋อง เมื่อเขาพูด ทุกคนก็ยังต้องฟัง ฝูงชนค่อยๆ แยกย้ายกันไปสองทาง เซียวเจิ้นถิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาร้อนผ่าวประดุจคบเพลิงที่แผดเผา จ้องมองแม่ทัพเวยหย่วนแห่งหนานจ้าวไม่กะพริบตา
เห้อเหลียนฉียิ้มอย่างเบิกบาน “อ้า ได้เวลากินอาหารแล้ว ข้าก็หิวอยู่พอดี หากแม่ทัพใหญ่เซียวไม่รังเกียจ เราค่อยนัดกันใหม่แล้วกัน”
เอ่ยจบ เขาก็โยนธนูที่เขาเพิ่งหยิบมากลับใส่มือลูกน้องแล้วเดินจากไป
ทันทีที่เขาเดินออกจากสนามหญ้า อวี๋หวั่นเห็นรอยยิ้มพึงใจที่มุมปากของเขาอย่างชัดเจน
เขาจงใจทำจริงๆ!
ทุกคนเข้าสู่งานเลี้ยงแล้ว อวี๋หวั่นก็กลับไปที่เรือนฉงอัน เรื่องในสนามยังไม่แพร่มาถึงฝั่งนี้ บรรดาฝ่ายหญิงของตระกูลกำลังพูดคุยว่าละครที่เพิ่งเล่นไปเป็นอย่างไร และพระชายาเฉิงอ๋องเป็นอย่างไร เกรงว่าผ่านค่ำคืนนี้ไป พวกนางจะได้ยินข่าวที่เซียวเจิ้นถิงถูกทูตหนานจ้าวทำให้อับอายอย่างร้ายแรงจากปากของสามีและบุตรชายของพวกนาง
ข่าวแพร่กระจายเร็วกว่าที่คาดไว้ งานเลี้ยงดำเนินไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง วังหลวงก็ส่งคนมา ให้พาเซียวเจิ้นถิงเข้าวังด้วยเหตุหารือทางราชการ
ฮ่องเต้ถูกอวี๋เซ่าชิงทำให้กริ้วเจียนขาดใจ ยังไม่ทันพักหายใจ ก็มีเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ฮ่องเต้รู้สึกว่าผมของพระองค์จะร่วงจนหัวแทบล้าน
“ฝ่าบาท” เซียวเจิ้นถิงก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ และทำความเคารพคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ต้องพิธีรีตอง วันนี้ที่จวนอ๋องมันเรื่องอันใดกัน? ชุดเกราะนั้นเป็นของเจ้าจริงๆ หรือ?”
เซียวเจิ้นถิงไม่แปลกใจที่ข่าวแพร่มาถึงหูของฮ่องเต้รวดเร็วเพียงนี้ ฮ่องเต้หูตากว้างไกล แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็มีคนเป็นหูเป็นตาให้เขาทุกความเคลื่อนไหว
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นของกระหม่อม” เซียวเจิ้นถิงกล่าวตามความเป็นจริง
แม้จะพอเดาได้ แต่เมื่อได้ยินเขาสารภาพด้วยตัวเอง ก็ยังไม่วายทำให้ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ชุดเกราะของเจ้าไปอยู่ที่คนหนานจ้าวได้อย่างไร?”
หากไม่ใช่เซียวเจิ้นถิงถูกชายเขลาผู้นั้นทำให้ได้รับความอับอาย ฮ่องเต้ก็เกือบจะสงสัยว่าเซียวเจิ้นถิงมีแผนชั่วที่ไม่อาจบอกใครกับพวกหนานจ้าวลับหลังเขาหรือไม่ แล้วยังมอบชุดเกราะของตัวเองเพื่อเอาใจอีกฝ่าย!
เซียวเจิ้นถิงไม่เอ่ยสิ่งใด
ฮ่องเต้ระเบิดโทสะที่สั่งสมมานาน “อะไรกัน? เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วรึ? ข้ากำลังถามเจ้า! ชุดเกราะของเจ้ามันเรื่องอะไรกัน? เจ้าขายมันไปจริงๆ หรือ!”
เห้อเหลียนฉีประกาศว่าตนซื้อมาจากพ่อค้าคนหนึ่งในต้าโจว แค่ถามเห้อเหลียนฉีกับพ่อค้าคนนั้นก็รู้แล้วว่าจริงหรือเท็จ เขาไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับฮ่องเต้ได้ เซียวเจิ้นถิงจึงยอมรับแต่โดยดี “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขายชุดเกราะไปแล้ว”
“เจ้า!” ฮ่องเต้สำลัก “ชุดเกราะนั้นเป็นสิ่งที่ขายได้รึ!”
ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าจะแปลกใจที่เขาขายมันไปจริงๆ หรือแปลกใจที่เขายอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ต้องการชุดเกราะของเขา เขาไม่ให้สักคน ครั้งหนึ่งขุนนางชั้นสูงของแคว้นเว่ยเสนอซื้อชุดเกราะของเขาในราคาสูงเสียดฟ้า หนึ่งแสนตำลึงทอง เขาปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แม้กระทั่งเซียวเหยี่ยนหลานชายของเขาก็อยากได้มันมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นเขาให้
ฮ่องเต้สูดหายใจ “ขายราคาเท่าใด?”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวว่า “ห้าหมื่นตำลึงทองพ่ะย่ะค่ะ”
ยังถูกกว่าอีก! ! !
ฮ่องเต้กริ้วจนแทบจะระเบิด “สิบปีก่อน ขุนนางชั้นสูงแคว้นเว่ยเสนอราคาให้เจ้าหนึ่งแสนตำลึงทอง แต่เจ้าก็ไม่หวั่นไหว ไยตอนนี้แค่ราคาเพียงห้าหมื่นตำลึงทองเจ้าก็ยอมขาย? เซียวเจิ้นถิง เจ้าทำให้ข้าโกรธ! บอกสิ! บอกข้ามา! ไยเจ้าจึงขายมัน?!”
“เพราะคุณชาย”
………………………
ณ จวนคุณชาย อิ่งลิ่วรายงานเยี่ยนจิ่วเฉาถึงสิ่งที่เขาถามจากซั่งกวนเยี่ยน
“ปรมาจารย์พิษผู้นั้นเสนอราคาแรกหนึ่งแสนตำลึงทอง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่อาจหยิบออกมาได้ จำใจต้องขายชุดเกราะ พ่อค้าผู้นั้นรู้ว่าเขาต้องการเร่งด่วน จึงตั้งใจกดราคาเขา”
ขุนนางชั้นสูงของแคว้นเว่ยยังเคยยกย่องศรัทธาชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิง เขาเสนอราคาหนึ่งแสนตำลึงทอง เป็นที่รู้กันดี
เซียวเจิ้นถิงอาจเป็นมือดีในสนามรบ ทว่าการต่อรองราคาไม่ใช่จุดแข็งของเขา หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขามีส่วนต่างถึงห้าหมื่นตำลึงทอง แม้พูดอย่างไรก็ไม่อาจต่ำไปกว่านี้ ก็เกรงว่าพ่อค้าผู้นั้นจะกดราคาไปเรื่อยๆ
“สารเลว!” เยี่ยนจิ่วเฉากำหมัดแน่น
“พ่อค้ากับทูตหนานจ้าวสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่?” อิ่งสือซันถาม หากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นหลุมพราง
อิ่งลิ่วส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ เห้อเหลียนฉีพบกับพ่อค้าคนนั้นที่กำลังอวดชุดเกราะอยู่ในร้านอาหารโดยบังเอิญ พวกขี้เมากลุ่มนั้นไม่เชื่อว่าเขาซื้อชุดเกราะมาจริงๆ แต่เห้อเหลียนฉีเชื่อ เขาจึงทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้มา”
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “เขาจ่ายน้อยได้มาก!”
อิ่งลิ่วกล่าวอีกครั้ง “แม่ทัพใหญ่เซียวถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวัง คิดว่าฝ่าบาทก็คงทราบเรื่องแล้ว และกำลังกริ้วอย่างหนัก”
ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจชุดเกราะ เพราะชุดเกราะเป็นของเซียวเจิ้นถิง เขาจะทำอย่างไรกับมันก็ไม่มีผลใดๆ กับฮ่องเต้ ทว่าหากมีใครยืมชุดเกราะมาตบหน้าราชวงศ์ต้าโจว ฮ่องเต้ก็คงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก
อิ่งลิ่วถอนหายใจ “เกรงว่าฝ่าบาทจะโกรธแม่ทัพใหญ่เซียว”
ภายใต้เงาของโคมไฟ สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาดูน่ากลัวเล็กน้อย
วันรุ่งขึ้น ข่าวที่น่าตกใจแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แม่ทัพใหญ่เซียวผู้ไม่ยอมสยบให้อำนาจอิทธิพล แม้มียศทรัพย์อำนาจก็ไม่เหลวไหล ยอมขายชุดเกราะของเขาให้กับชาวเมืองหนานจ้าว เพื่อทองเพียงไม่กี่หมื่นตำลึง ข่าวลือน่าตื่นเต้นกว่าความจริงเสมอ ตัวละครพ่อค้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยในข่าวลือ และเรื่องทั้งหมดก็กลายเป็นการเจรจาการค้าระหว่างเซียวเจิ้นถิงกับหนานจ้าวเพียงสองฝ่าย ตอนที่ขุนนางชั้นสูงของแคว้นเว่ยเสนอราคาหนึ่งแสนตำลึงทอง เขายังไม่สนใจ ทว่าคนหนานจ้าวเสนอเงินให้เพียงห้าหมื่นตำลึงทอง เขากลับยอมยกชุดเกราะให้เสียอย่างนั้น พฤติกรรมประจบประแจงเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!
มีเสียงก่นด่าจากผู้คนมากมาย ในวังหลวงก็กล่าวขานกันไม่หยุดหย่อน
ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปแล้วว่า ชายผู้นี้เคยบุกน้ำลุยไฟช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากภัยร้ายในแต่ละครั้งมาอย่างไร แค่ข่าวลือที่มีมูลเพียงน้อยนิดเรื่องเดียว กลับทำให้เขาตกจากแท่นบูชาได้อย่างง่ายดาย
อวี๋หวั่นเดาออกว่าหลังจากเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาคงไม่มีอารมณ์จะสนุกสนาน เมื่อคืนพาเด็กน้อยทั้งสามมาไว้ในห้อง พอเธอตื่นขึ้นมา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ออกไปแล้ว ที่มาที่ไปเกี่ยวกับเรื่องชุดเกราะ อิ่วลิ่วรายงานเยี่ยนจิ่วเฉาตามความจริง ซึ่งก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเธอไปได้แม้แต่น้อย เธอรู้ว่าเซียวเจิ้นถิงยอมทำสิ่งที่ตนเองไม่ปรารถนาเพื่อรวบรวมเงินมารักษาเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องกับทูตหนานจ้าว เยี่ยนจิ่วเฉาดูเหมือนไร้หัวใจ แต่ใครจะรับประกันว่าหลังจากได้ฟังความจริง เขาจะรู้สึกดีไปกว่าเธอ?
“สองสามวันนี้ พวกเจ้าต้องทำตัวดีๆ หน่อยรู้หรือไม่?” อวี๋หวั่นบีบแก้มอ้วนกลมเล็กๆ ของเด็กน้อยทั้งสาม
ทั้งสามมองมารดาของพวกเขาด้วยความงุนงง
หลังจากอวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าให้พวกเขาแล้ว ก็ให้เถาเอ๋อร์กับหลีเอ๋อร์พาพวกเขาลงไปล้างหน้าล้างตา
แกงข้นนมแพะที่ตุ๋นไว้ในครัวเย็นพอดี ทั้งสามหันมองน้ำลายไหล
แกงข้นนมแพะเป็นสูตรอาหารใหม่ที่พ่อครัวคิดขึ้น โดยนำนมแพะสดมาต้ม แล้วรอให้เย็น จากนั้นนำหน้านมที่แข็งตัว มาใส่ลงในข้าวเจ้าที่สุกแล้ว และใช้เกลือเกล็ดหิมะเล็กน้อย กับเนื้อแพะตากแห้งหั่นเต๋าต้มเป็นโจ๊กข้นๆ และตัดหน้านมแห้งเป็นเส้นๆ แล้วใส่เข้าไป จะได้โจ๊กรสชาติเข้มข้น และมีกลิ่นหอมของน้ำนม
อวี๋หวั่นไม่ค่อยชอบรสชาติแบบนี้ แต่มีเด็กน้อยที่หากไม่ใส่นมจะไม่ชอบโปรดปรานมันมาก เด็กอ้วนเจ้าเนื้อถือช้อนในมือและอ้าปากกว้าง ท่าทีราวกับเด็กโง่ไร้เดียงสา
อวี๋หวั่นหัวเราะ กินโจ๊กไปได้เพียงครึ่งชามเล็กๆ ไม่รู้เพราะอากาศร้อนหรือไม่ ความอยากอาหารของเธอไม่ดีเท่าสองสามวันก่อน ขณะที่เธอกำลังจะสั่งให้คนรับใช้มาเก็บชามและตะเกียบลงไป ก็ได้ยินคนรับใช้มารายงานว่าไป๋ถังมาหา
ไป๋ถังไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้ว อวี๋หวั่นก็คิดถึงนางอยู่เช่นกัน รีบให้คนพานางเข้ามาที่เรือนชิงเฟิง
เมื่อเข้ามาในบ้าน เด็กน้อยทั้งสามยังคงก้มหน้าก้มตาจัดการกับแกงข้นนมแพะ ทั้งสามคนอ้วนขึ้นกว่าก่อนที่อวี๋หวั่นจะแต่งงาน แก้มที่กลมป่อง ไขมันที่เด้งดึ๋งๆ ทำให้ไป๋ถังตะลึงตาค้าง
“เอ๋? เหตุใดกลายเป็นเด็กอ้วนตัวน้อยไปแล้วละ?” ไป๋ถังยื่นมือออกมาด้วยความตกตะลึง และถูแก้มอ้วนป่องของทั้งสาม “อ้า รู้สึกดียิ่งนัก”
ทั้งสามยอมให้บีบแก้มอย่างเชื่อฟัง ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทว่ายังพยักหน้าทักทายอย่างกับสุภาพบุรุษตัวน้อย เขายื่นแก้มขวาไปข้างๆ ราวกับจะถามไป๋ถังว่า นางยังต้องการบีบข้างนี้ด้วยหรือไม่
“ไอ้หยา!” หัวใจของไป๋ถังละลายเพราะความน่ารัก มีเด็กที่น่ารักเช่นนี้ได้อย่างไร? อยากจะห่อใส่ถุงกลับไปต้องทำอย่างไร…
ไป๋ถังเกิดความต้องการอย่างรุนแรง
เด็กน้อยทั้งสามกินแกงข้นนมแพะเสร็จแล้ว ก็เอาน้ำที่เถาเอ๋อร์เทให้มาล้างฟัน และกระโดดลงจากเก้าอี้ไป พลางมองไปที่อวี๋หวั่นด้วยท่าทางน่ารัก
อวี๋หวั่นลูบหัวของพวกเขาเบาๆ และยิ้ม “ไปเล่นกันเถิด”
ทั้งสามคนโค้งคำนับและอำลาไป๋ถังกับอวี๋หวั่นอย่างสุภาพ ราวกับสุภาพบุรุษตัวน้อยสามคน พวกเขาเดินออกจากบ้านไปอย่างเป็นระเบียบ
ไป๋ถังลุ่มหลงจนแทบจะร้องไห้
เด็กดีแบบนี้ นางอยากได้! อยากได้! อยากได้!
แต่กลับไม่รู้เลยว่า หลังออกจากเรือนชิงเฟิงและแน่ใจว่าท่านแม่ของพวกเขามองไม่เห็น สุภาพบุรุษน้อยทั้งสามก็กลายร่างเป็นปีศาจน้อยในทันที ซุกซนจนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา!
…………………………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 148 พี่จิ่วรู้ความจริง สุภาพบุรุษน้อยสามคน
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…