บทที่ 13 จดจำได้ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนถือดาบใหญ่บุกเข้ามา พวกเขาทำลายลานบ้านจนเละเทะ ดูจากเสื้อผ้า บวกกับเสียงฝีเท้าของม้าแล้ว อวี๋หวั่นนึกสงสัยว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับโจรลักม้าผู้เป็นที่เล่าขาน
โจรลักม้าต่อกรได้ยากกว่าโจรทั่วไปเป็นไหนๆ โจรทั่วไปลักทรัพย์ แต่โจรลักม้าสามารถฆ่าคนได้
“พวกเจ้าปล่อยลูกข้า! ปล่อยเขานะ!”
เป็นเสียงร้องของชุ่ยฮวา
สือโถวถูกจับตัวไป เถี่ยตั้นน้อยกำหมัดแน่น
อวี๋หวั่นจับมือของเขาไว้ไม่ให้ขยับ
อวี๋ซงหยิบเสียมจากด้านข้าง อวี๋หวั่นส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้เขาผลีผลาม โจรลักม้าเพียงสองคนนั้นจัดการได้ง่าย แต่ด้านนอกยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ทางที่ดีไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น ควรรอให้โอกาสมาถึงแล้วค่อยลงมือ อวี๋ซงทำได้เพียงดึงมือกลับที่เดิม
“พวกเจ้า มานี่!”
โจรลักม้าหนวดเฟิ้มหนึ่งในนั้นกวัดแกว่งดาบ ไล่คนสกุลอวี๋ออกมาจากบ้าน
โจรร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งยังอยู่ในบ้าน ดูเหมือนว่าเขากำลังจะทำการรื้อค้นและทำลายข้าวของ
เมื่อคนสกุลอวี๋ออกมาจากบ้าน ก็พบว่ามีโจรลักม้าสิบกว่าคนถือดาบเล่มใหญ่ กำลังค้นทรัพย์สินในแต่ละบ้าน อวี๋ซงเค้นกำปั้นเปียกชุ่ม โชคดีที่เขาไม่ได้ลงมือ มิเช่นนั้นหากถูกโจรจำนวนมากถึงเพียงนี้โจมตี พวกเขาก็คงไม่ได้ตายเพียงอย่างเดียว แต่อาจถูกถลกหนังด้วย
ยังมีโจรลักม้าอีกสิบกว่าคนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน นอกจากแม่สามีของแม่หม้ายหลิวแล้ว คนที่เหลือล้วนถูกไล่ไปรวมกันที่หน้าหมู่บ้าน
ในตอนที่เหล่าโจรลักม้าเข้ามาในหมู่บ้าน นายพรานก็คิดต่อสู้ ผลก็คือเขาถูกโจรลักม้ารุมทำร้าย ชุ่ยฮวาก็ถูกถีบ สือโถวรีบเข้ามาช่วยแม่ ก็ยังถูกเตะเช่นกัน
ชาวบ้านเห็นว่าโจรลักม้าน่ากลัวถึงเพียงนี้ ก็ไม่กล้าลุกขึ้นสู้
บุตรสาวอายุเจ็ดขวบของแม่หม้ายหลิวร้องไห้ด้วยความกลัว
โจรลักม้าก็บอกให้นางหุบปาก แต่นางก็มิอาจหยุดร้องไห้ มิหนำซ้ำยังร้องไห้หนักกว่าเดิม โจรคนหนึ่งก็เดินไปเตะบุตรสาวของแม่หม้ายหลิวอย่างไร้ความปรานี!
แม่หม้ายหลิวกอดบุตรสาวเอาไว้ในอ้อมอก
ทว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดดังที่คิดไว้ แม่หม้ายหลิวได้ยินเสียงร้องอย่างอัดอั้น ก็เห็นว่าหวังหมาจื่อถลาเข้ามารับลูกเตะแทนนาง
แม่หม้ายหลิวขอบตาแดงก่ำ
ไม่นาน คนสกุลอวี๋ก็ถูกผลักเข้าไปรวมกับฝูงชน
ลุงใหญ่ขอโทษขอโพยพ่อครัวเทพเป้า “ต้องขอโทษด้วย ลำบากท่านแล้ว หากรู้แต่แรก ข้าคงให้ท่านรีบกลับไปนานแล้ว”
พ่อครัวเทพเป้ามิได้ตอบ สายตาของเขาจับจ้องไปยังโจรลักม้าซึ่งกำลังรื้อค้นหมู่บ้าน
บรรดาโจรลักม้ากำลังปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับ ‘ชาวบ้าน’ อย่างไร
“บุรุษฆ่าทิ้ง สตรีขายทิ้ง!”
“แล้วเด็กเล่า?”
“ก็ขายทิ้งเสีย!”
“พี่ใหญ่ ดูเด็กคนนั้น”
โจรลักม้าสังเกตเห็นเถี่ยตั้นน้อยด้านหลังฝูงชน เด็กคนนี้มีดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เครื่องหน้างดงาม ดวงตาสุกสกาวมีโทสะระคนอยู่
หัวหน้าโจรลักม้าตาลุกวาว “เก็บเขาเอาไว้เป็นโจรลักม้า!”
“พี่ใหญ่ ท่านดูสตรีผู้นั้น!” เขาหมายถึงนางเจียง ทว่าหัวหน้าโจรลักม้ามิได้สังเกต เขากลับมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
โจรลักม้าเดินตรงไปยังอวี๋หวั่น ทันใดนั้นเอง โจรลักม้าซึ่งทำการรื้อค้นบ้านสกุลอวี๋ก็ถือเนื้อพะโล้หอมฉุยชามหนึ่งออกมา “พี่ใหญ่! มีเนื้อด้วย!”
นี่เป็นเนื้อสามชั้นที่เหลือ ไม่มีน้ำแดง จึงมีเพียงรสชาติของน้ำพะโล้ แต่ก็สามารถทำให้น้ำลายสอได้
หัวหน้าโจรสักม้ากัดเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ “มารดามันเถอะ! อร่อยมาก! ยังมีอีกไหม?”
“ยังมีอีกๆ!” โจรร่างสูงใหญ่วิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบชามอาหารที่เหลือในตู้กับข้าวออกมาทั้งหมด กับข้าวเริ่มเย็นแล้ว แต่ว่ารสชาติยังนับว่าดีอยู่ หัวหน้าโจรลักม้ามีชีวิตมาจนถึงป่านนี้ ยังไม่เคยได้กินอาหารที่เลิศรสถึงเพียงนี้มาก่อน เขาลืมเรื่องของอวี๋หวั่นไปแล้ว เรียกเหล่าพี่น้องมาสวาปามอาหารของสกุลอวี๋จนเกลี้ยง
โจรลักม้ามีจำนวนมาก อาหารเพียงเท่านี้ไม่พอแม้แต่จะอุดซอกฟันของพวกเขา
หัวหน้าโจรหันไปพูดกับชาวบ้านว่า “อาหารนี่ใครทำ?”
ลุงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเท้า
“ข้าทำเอง” พ่อครัวเทพเป้าก้าวออกมาอย่างมิได้ยินดียินร้าย
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ต่างตะลึงงัน
ลุงใหญ่ “พ่อครัว…”
พ่อครัวเทพเป้ากล่าวตัดบทว่า “ที่บ้านยังมีวัตถุดิบ ขอเพียงพวกเจ้าไม่ทำร้ายคนบ้านข้า ข้าก็จะทำอาหารให้พวกเจ้าก่อน รับรองว่าอร่อยกว่าเมื่อครู่เสียอีก”
อร่อยกว่าอีกรึ? เช่นนั้นย่อมต้องรสชาติเลิศล้ำระดับเทพเซียน!
เหล่าโจรลักม้าเริ่มท้องร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา
“ไหนล่ะคนบ้านเจ้า?” หัวหน้าโจรลักม้าเอ่ยถาม
พ่อครัวเทพเป้าชี้ไปยังคนสกุลอวี๋
หัวหน้าโจรลักม้าโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เด็กที่พวกเขาต้องการเป็นคนบ้านนี้ สาวงามสองคนก็เป็นคนบ้านนี้อีก จะให้เขาเป็นโจรลักม้าที่มีความสุขบ้างไม่ได้หรืออย่างไร?
“หัวหน้า กินให้อิ่มก่อนเถอะ แล้วค่อย…” ลูกน้องคนสนิททำท่าทำทางพร้อมกับยิ้มอย่างชั่วร้าย
หัวหน้าโจรลักม้าเห็นด้วย จากนั้นก็ยกยิ้มให้พ่อครัวเทพเป้า “ได้ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำร้ายคนบ้านเจ้า แต่ถ้าหากข้าไม่พอใจในอาหารที่เจ้าทำ ข้าก็จะไม่เกรงใจ”
เขาควรพูดหรือว่าพอใจหรือไม่พอใจ? เวลานี้น่าจะพูดว่าควรฆ่าก็ฆ่า ควรขายก็ขาย ควรขโมยก็ขโมยสิ!
“ได้โปรดหยิบมีดของข้าลงมา” พ่อครัวเทพเป้ากล่าวอย่างเยือกเย็น
หัวหน้าโจรลักม้ามองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ พ่อครัวเทพเป้าชี้ไปยังรถม้าที่พวกเขายึดไปเป็นของตน
สารถีถูกตีจนสลบไปนานแล้ว เขานอนแหม็บอยู่บนรถม้า
หัวหน้าโจรลักม้าตอบรับว่า ‘อืม’ ในลำคอ
พ่อครัวเทพเป้าเดินตรงไปบนรถม้า
“ช้าก่อน!” หัวหน้าโจรลักม้ายกดาบขึ้นขวางด้านหน้า แล้วหันไปพูดกับลูกน้องตาเดียวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังว่า “เข้าไปหยิบมา!”
โจรตาเดียวกระโดดขึ้นไปบนรถม้า แล้วโยนห่อผ้าหนักๆ ลงมา “นี่รึ?”
“ใช่” พ่อครัวเทพเป้าหยิบห่อผ้าลงมา “ใต้รถมีสุราเหล้ากับวัตถุดิบ เจ้าหยิบลงมาทั้งหมด”
เมื่อโจรลักม้าได้ยินว่าสุรา ก็กระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาทันที
มิน่าเล่าพวกเขาหาไม่เจอสักอย่าง ที่แท้ก็เพราะซ่อนเอาไว้ใต้ท้องรถนี่เอง!
โจรตาเดียวหอบไหสุราและวัตถุดิบลงมาจากรถม้า เขาส่งวัตถุดิบให้พ่อครัวเทพเป้า และส่งไหสุราให้หัวหน้า
โจรลักม้าตาเดียวแง้มฝาไหสุราออกมา กลิ่นหอมกรุ่นก็ลอยมาแตะจมูก เพียงแค่ได้กลิ่น บรรดาโจรลักม้าก็รู้สึกราวกับว่าตนเองเมามายไปเสียแล้ว
หัวหน้าโจรลักม้าพยายามสกัดกั้นความปรารถนาที่จะหยิบขึ้นมาดื่มจนหมดไห เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “มีไหเดียวรึ?”
พ่อครัวเทพเป้าตอบว่า “มีไหเดียว”
หัวหน้าโจรลักม้าเบ้ปาก สุราดีเช่นนี้ ถ้ามีมากหน่อยก็คงจะดี
“ข้าต้องการผู้ช่วย” พ่อครัวเทพเป้าเรียกอวี๋หวั่นออกมา
ระหว่างทางเดินไปบ้านเดิมสกุลอวี๋ อวี๋หวั่นกระซิบกับเขาว่า “ข้าไม่ทิ้งท่านไว้หรอก”
พ่อครัวเทพเป้าตอบว่า “ใครให้เจ้าทิ้งข้าไว้เล่า?”
อวี๋หวั่นตอบ “ท่านคิดจะทำกับข้าวหรือ!”
ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรหนีไปคนหนึ่ง แล้วไปตามทหารมาจัดการโจรลักม้าเหล่านี้หรอกหรือ?
อวี๋หวั่นคิดได้ หัวหน้าโจรลักม้าก็คิดได้เช่นกัน เขากังวลว่าชายชราจะเล่นแง่ หรือว่าปล่อยคนไป จึงส่งคนไปตามติดทุกฝีก้าว ตั้งแต่ล้างผัก หั่นผัก ผัดผัก ทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตาของเหล่าโจรลักม้า
ผ่านไปครู่เดียว พ่อครัวเทพเป้าก็ทำกับข้าวเสร็จ ทว่ามีเพียงสามชามเท่านั้น
หัวหน้าโจรลักม้าซึ่งนั่งอยู่ในโถงกลางบ้านก็เอ่ยขึ้นว่า “แค่นี้จะไปพอกินที่ไหนกัน?”
พ่อครัวเทพเป้ากล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “พวกเจ้ามีแพะไม่ใช่หรือ? ที่จริงแล้วข้าเชี่ยวชาญอาหารจากเนื้อแพะ”
ก่อนมาถึงหมู่บ้านเหลียนฮวา เหล่าโจรลักม้าก็ไปปล้นสะดมที่หมู่บ้านอื่นมาก่อน ของที่ยึดมาได้ก็คือแพะภูเขาตัวอวบอ้วนหลายตัว
หัวหน้าโจรลักม้าไหนเลยจะยอมนำของที่ตนยึดได้ออกมา ทว่าหลังจากได้ลองชิมพริกหยวกผัดข้าวโพด กุยช่ายผัดไข่ และผักกาดขาวต้มที่พ่อครัวเทพเป้าทำ หัวหน้าโจรลักม้าก็ไม่ลังเล รีบให้คนนำแพะออกมาฆ่า!
อาหารมังสวิรัติยังทำออกมาได้ดีถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเนื้อแพะ…มารดามันเถอะ! รสชาติจะยอดเยี่ยมขนาดไหนนะ!
อวี๋หวั่นไปจัดการเนื้อแพะ
“ข้าเอง” พ่อครัวเทพเป้ากล่าว
อวี๋หวั่นเหลือบมอง แล้วส่งมีดให้เขา แล้วก็ถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย
หากพูดถึงฝีมือในการทำอาหาร อวี๋หวั่นไม่อาจสู้เขาได้ แต่ถ้าหากพูดถึงทักษะในการใช้มีด อวี๋หวั่นไม่ได้เป็นรองอย่างแน่นอน อีกทั้งเขาอายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานที่ใช้แรงมาก…
ทันทีที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านสมองของอวี๋หวั่น เธอก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
เมื่อพ่อครัวเทพเป้าลงมีดไป หนังของแพะก็ถูกถลกออกโดยที่เธอยังไม่ทันได้มองให้ชัดๆ เครื่องในของแพะถูกผ่าออกมา แล้วใส่จานแยกออกเป็นส่วนต่างๆ ไส้แพะถูกล้างจนสะอาดภายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋หวั่นไม่เคยเห็นทักษะการใช้มีดที่แม่นยำและเฉียบขาดเช่นนี้มาก่อน งานที่ต้องเปรอะเปื้อนเลือด เขากลับทำออกมาได้โดยที่ผู้ชมไม่รู้สึกระคายสายตา
อวี๋หวั่นไม่ได้มาช่วยงานเท่าไรนัก เธอมาดูเสียมากกว่า พ่อครัวเทพเป้าทำเองทุกอย่าง แม้แต่ผัก เธอก็ไม่ได้ล้าง สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ พ่อครัวเทพเป้าอายุมากแล้ว ทำงานหนักแต่ก็มิได้แสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอาหาร แต่เขากำลังรังสรรค์งานศิลปะ
พ่อครัวเทพเป้าทำแพะย่างสองตัว เนื้อแพะน้ำแดงหนึ่งหม้อใหญ่ น้ำแกงปลาและเนื้อแพะหนึ่งหม้อใหญ่ และยังมีต้มสันหลังแพะรสเผ็ดร้อนอีกหนึ่งสำรับ ส่วนกระเพาะ ตับ และขาถูกนำไปทำเป็นอาหารจานเย็น เลือดถูกกรอกใส่ไส้แพะและนำไปนึ่งเป็นไส้กรอกเลือด หัวใจและปอดก็นำไปต้มรวมกับหัวไช้เท้าเป็นน้ำแกง กลิ่นหอมและกลิ่นสาบของเนื้อแพะหอมอบอวลไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
หากไม่สาบก็คงไม่เรียกว่าเนื้อแพะ แต่จะทำอย่างไรให้กลิ่นอยู่ในระดับที่พอดีนั้นนับว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง
หัวหน้าโจรไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากลิ่นสาบของแพะจะหอมถึงเพียงนี้ เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ชิมเนื้อแพะแล้ว
…………………………………