นี่หมายความว่านางไม่ยอมบอก
อวี๋หวั่นไม่ย่อท้อ ผลักประตูด้านหลังของห้องโถงออกแล้วมองสายฝนที่โปรยปราย “อันที่จริงข้ามีบางอย่างที่คิดไม่ออก ท่านไปติดต่อกับราชวงศ์หนานจ้าวได้อย่างไร? ในวังหลังมีสตรีที่น่าสงสารมากมาย เหตุใดถึงต้องเลือกท่าน?”
แน่นอนว่าหวั่นเจาอี๋ไม่มีทางบอกความจริงกับเธอ
อวี๋หวั่นกล่าวอีกครั้ง “แล้วก็ยาถอนพิษไป๋หลี่เซียง หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากท่านวางยาเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่เคยมีอาการพิษ ราชวงศ์หนานจ้าวคิดว่าท่านทำพลาด หลังจากนั้นจึงไม่ติดต่อท่านไปอีก”
หวั่นเจาอี๋มองอวี๋หวั่นด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “อย่าได้มองข้าเช่นนั้น ใช่แล้ว ท่านทำสำเร็จ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างพิษจึงถูกกดไว้”
หวั่นเจาอี๋หลุบตาลง
อวี๋หวั่นส่ายหัว “แต่ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา หากเขาตาย ซั่งกวนเยี่ยนก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อ ทว่าท่านก็เป็นนางสนมในวังแล้ว ตลอดชีวิตนี้ของท่าน เป็นไปไม่ได้ที่จะได้แต่งงานกับเซียวเจิ้นถิงอีกครั้ง อย่าว่าแต่แกล้งตายเพื่อออกจากวังเลย ข้าคิดว่ากระทั่งท่านเกิดเป็นคนใหม่ เซียวเจิ้นถิงก็ไม่ยอมรับท่านเหมือนเดิม ทุกสิ่งของท่านล้วนเปล่าประโยชน์ ท่านช่างโง่เขลายิ่งนัก”
“เจ้าจะเข้าใจอันใด?” หวั่นเจาอี๋เค้นเสียงคำราม
องค์หญิงจิ่วที่หลับอยู่สะดุ้งตื่น ลืมตามองฝูหลิง แล้วก็หลับตาเข้าสู่นิทราอีกครั้ง
“ข้าไม่เข้าใจหรือ? หรือว่าท่านเข้าใจ? ท่านเป็นเพียงสตรีที่เห็นแก่ตัวและโง่เขลายิ่ง! ท่านพยายามทำทุกอย่าง และสุดท้ายก็ได้แต่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้!”
“เจ้าคิดว่าข้าทำเพราะเห็นแก่ตัวรึ?! เจ้าคิดว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องแต่งง่ายถึงเพียงนั้นรึ! เจ้าคิดว่ายาห้ามบุตรชามนั้นให้ซั่งกวนเยี่ยนดื่มจริงๆ หรือ?!”
ปัง!
ประตูถูกกระแทกออก
ซั่งกวนเยี่ยนที่ยืนงุนงงอยู่หน้าประตูมองหวั่นเจาอี๋ด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเซียวเจิ้นถิงได้ยินประโยคที่สองก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ทว่ามันก็คงสายเกินไปที่จะหยุดปากของเซียวหลิงหลาง
ซั่งกวนเยี่ยนสูดหายใจ “เซียวหลิงหลาง ที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่…หมายความว่าอย่างไร?”
“ฮ่า ข้าคิดแล้วเชียว!” หวั่นเจาอี๋มองซั่งกวนเยี่ยนจากนั้นก็มองเซียวเจิ้นถิง ก็ขำจนน้ำตาไหลทันที “ท่านปกปิดนางมาหลายปีถึงเพียงนี้ คิดว่าจะปิดไว้จนตายเลยหรือ?”
“หยุดได้แล้ว!” เซียวเจิ้นถิงตะคอกนาง
หวั่นเจาอี๋ยิ้มเยี่ยงคนเสียสติ “ข้าแค่อยากเอ่ย!”
นางหันไปมองอวี๋หวั่น “ในตอนแรกที่เซียวเจิ้นถิงขอฝ่าบาทแต่งงานกับซั่งกวนเยี่ยน ฝ่าบาทมอบยาห้ามบุตรมาให้เขาหนึ่งชาม ให้เขาเลือกว่าจะดื่มด้วยตนเองหรือให้ซั่งกวนเยี่ยนดื่ม อันที่จริง มิได้สำคัญว่าผู้ใดจะดื่ม ตราบใดที่เซียวเจิ้นถิงไม่มีบุตร ท้ายที่สุดทุกอย่างของตระกูลเซียวก็จะตกอยู่ในมือของเยี่ยนจิ่วเฉา และตกอยู่ในมือของราชวงศ์ต้าโจว พระชายาเยี่ยนอ๋องที่ไร้ค่า แลกกับทุกอย่างในจวนของแม่ทัพใหญ่เซียว ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนเป็นข้อตกลงที่ดี”
ในขณะที่นางเอ่ยก็มองไปที่เซียวเจิ้นถิงด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยน้ำตา “แต่บุรุษผู้นี้ช่างโง่เขลา ดื่มยาห้ามบุตรในชามนั้นด้วยตนเอง…”
นางมองไปที่อวี๋หวั่นอีกครั้ง “เจ้าถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้ ยามนั้นข้านอนอยู่บนแท่นบรรทมมังกรของฝ่าบาท ข้าได้ยินแผนการของฝ่าบาทกับขันทีวัง! ให้ข้าคิดว่าเขาสามารถตัดบุตรหลานของเขาได้หรือ?!”
“หรือว่าท่านไม่มีความเห็นแก่ตัวของท่านเองเลยหรือ?” อวี๋หวั่นถามกลับ
หวั่นเจาอี๋หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้ามี…มีแน่นอน! ข้ายังรอคอยวันที่ได้ที่จะแต่งงานกับเขาหลังจากที่หนีออกจากวัง…และให้กำเนิดบุตรที่ดีแก่เขา…ข้าคิดเช่นนี้ผิดหรือไม่?”
อวี๋หวั่นมองนางอย่างไม่แยแส “ท่านทำร้ายเด็กบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะไม่ผิดอย่างไรก็ผิดอยู่ดี”
ร่องรอยแห่งความเสียใจปรากฏบนใบหน้าของหวั่นเจาอี๋
อวี๋หวั่นถอนหายใจเบาๆ “ท่านก็แค่…หาข้อแก้ตัวให้แก่ความเห็นแก่ตัวของท่านเท่านั้น”
หวั่นเจาอี๋สอดนิ้วเข้าไปใต้เส้นผม “ไม่ใช่ มันไม่ใช่แบบนี้…ข้าไม่ได้ทำ…ข้าไม่ได้ทำ…”
“เหตุใดท่านไม่บอกข้า?” ซั่งกวนเยี่ยนหันกลับมามองเซียวเจิ้นถิงด้วยน้ำตาคลอ
“ข้า…” เซียวเจิ้นถิงพูดไม่ออก
การไม่สามารถมีบุตรได้นับเป็นความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกของสตรีทุกคน คนทั่วไปรู้ดีว่านางไม่สามารถมีบุตรให้สามีได้ บางทีอาจต้องขังตัวเองอยู่ในความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ทว่าซั่งกวนเยี่ยนไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ยามที่นางยกถ้วยยาห้ามบุตร นางรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ
นางไม่ได้รักบุรุษผู้นี้ นางไม่ต้องการให้กำเนิดบุตรของเขา
เยี่ยนอ๋องจากไปแล้ว นางไม่ต้องการให้กำเนิดบุตรกับบุรุษคนใดอีกในชีวิตนี้ เช่นนั้นยาห้ามบุตรก็ยาห้ามบุตรเถิด
ซั่งกวนเยี่ยนดื่มลงไปด้วยความเต็มใจ
เพราะเขาเข้าใจในจุดนี้ เซียวเจิ้นถิงจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอก
ยิ่งไปกว่านั้น บอกไปก็มีแต่ทำให้นางรู้สึกผิด คิดว่าเป็นหนี้บุญคุณเขาเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง
“ท่าน…” ซั่งกวนเยี่ยนอยากจะบอกว่าเขาโง่เขลายิ่งนัก ทว่าคอของนางจุกแน่นจนพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นมองไปที่ซั่งกวนเยี่ยนกับเซียวเจิ้นถิง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตำนานของภิกษุกับปีศาจอาจจะเป็นเรื่องจริง เพราะบนโลกนี้มีคนประเภทหนึ่งที่สามารถรักใครสักคนจนตายแทนได้
“อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย” เซียวเจิ้นถิงกระแอมในลำคอและมองไปที่อวี๋หวั่นที่อยู่ข้างๆ “อาหวั่นพาท่านแม่ของเจ้าเข้าไปในห้องก่อน ข้ามีเรื่องที่ต้องการถามพระสนมเจาอี๋ตามลำพัง”
นี่เป็นการซักถามหวั่นเจาอี๋
บางทีเขาอาจไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นดึงมือของซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนฝืนไม่ร้องไห้ เดินตามอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องที่องค์หญิงจิ่วและฝูหลิงอยู่
อวี๋หวั่นปิดประตู ฟืนในกองไฟปะทุ เกิดเสียงเปาะแปะ ไม่มีผู้ใดสนใจฟังว่าทั้งสองพูดสิ่งใด หนึ่งเค่อผ่านไป เซียวเจิ้นถิงก็เข้ามาในห้อง
ดวงตาของซั่งกวนเยี่ยนแดงก่ำ นั่งอยู่บนพื้น มองเขาอย่างว่างเปล่าและทำอะไรไม่ถูก
เขาสงบจิตใจ “เรื่องฉงเอ๋อร์…”
“ข้าบอกท่านแม่แล้ว” อวี๋หวั่นกล่าว
เกิดเรื่องเมื่อครู่แล้ว ไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีก และก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปกปิดอีกต่อไปเช่นกัน
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “นางบอกทุกอย่างหมดแล้ว นางเป็นคนวางยาฉงเอ๋อร์ เหตุผลเจ้าคงเดาได้ คนหนานจ้าวสัญญาว่าจะให้ยาแกล้งตายกับนางเพื่อให้นางได้หนีออกจากวังอย่างราบรื่น และชาวหนานจ้าวยังให้ตัวตนแม่ค้าหญิงกับนางด้วย”
ตัวตนเช่นนี้ดีกว่าการต้องหลบซ่อนตัวไปจนสุดขอบฟ้า ไม่น่าแปลกใจที่หวั่นเจาอี๋ถูกชักจูงไป
เซียวเจิ้นถิงกล่าวต่อ “ชาวหนานจ้าวสืบพบนางโดยบังเอิญ พวกเขาสืบความสัมพันธ์ของข้ากับนายท่านเซียวอู่ และพบว่านางกับข้าเคยเจรจาเรื่องการแต่งงาน พวกเขามั่นใจว่านางจะเป็นตัวหมากที่ยอดเยี่ยม ทว่าคนหนานจ้าวเหล่านั้นไม่คิดว่าไป๋หลี่เซียงจะไม่ออกฤทธิ์ พวกเขาคิดว่านางทำพลาด ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับนางอีกเลย”
จุดนี้ ตรงกับการคาดเดาของอวี๋หวั่น
“นางป้อนเยี่ยนจิ่วเฉาได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
เซียวเจิ้นถิงกล่าว “นางไม่ได้ป้อนเองกับมือ ฝ่าบาทไม่ได้เตรียมไว้ แต่ใส่ลงในขนมที่จะให้ฉงเอ๋อร์”
ในเวลานั้นหวั่นเจาอี๋เป็นที่โปรดปราน นางมีโอกาสลงมือข้างกายฮ่องเต้มากที่สุด อวี๋หวั่นชะงัก แล้วเอ่ยว่า “ผู้ใดคือหัวหน้าของกลุ่มหนานจ้าว? ฮองเฮาได้ยินว่าเป็นคนในราชวงศ์หนานจ้าว ทว่าไม่รู้เป็นคนใดในราชวงศ์”
เซียวเจิ้นถิงมองซั่งกวนเยี่ยนและเอ่ยว่า “นางก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารู้ แต่ไม่สะดวกที่จะเอ่ยต่อหน้าซั่งกวนเยี่ยน…อวี๋หวั่นมีไหวพริบดี ไม่ได้ทำลายแผนการของเขาด้วยการถามต่อ
“เช่นนั้นยาถอนพิษละเจ้าคะ?” ซั่งกวนเยี่ยนคิดถึงเรื่องนี้ตลอดจนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดเล็กน้อยของเซียวเจิ้นถิงและอวี๋หวั่น
เซียวเจิ้นถิงกล่าว “นางบอกสูตรยามาให้เรา ทว่าเราต้องไปหาวัตถุดิบยาด้วยตนเอง”
“ได้สูตรก็ยังดี” อวี๋หวั่นหยุดชะงัก และเอ่ยด้วยใบหน้าที่จริงจัง “แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะสามารถทำความดีชดเชยความผิด ข้ายังไม่ให้อภัยนาง”
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “ข้ารู้”
ฝนหยุดตกแล้ว
คนทั้งกลุ่มกลับไปที่วัดและไม่มีผู้ใดสนใจหวั่นเจาอี๋ที่ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า
เซียวเจิ้นถิงจับมือซั่งกวนเยี่ยนแล้วเดินไปข้างหน้า อวี๋หวั่นและองค์หญิงจิ่วก็เดินตามไปติดๆ ไม่มีผู้ใดถามว่า ฝูหลิงไปทำอะไร
หลังจากฝนตกหนัก ภายในป่าก็เงียบลงเล็กน้อย
“ระวังตัวด้วย” เซียวเจิ้นถิงผลักหนามด้านหน้าออกด้วยมือเปล่า หนามนั้นทิ่มฝ่ามือของเขาจนเลือดออก
ซั่งกวนเยี่ยนรู้สึกว่าหัวใจของนางเริ่มเปิดออก
“เซียวเจิ้นถิง” ซั่งกวนเยี่ยนหยุดฝีเท้าอย่างสะอึกสะอื้น
เซียวเจิ้นถิงมองดวงตาสีแดงของนาง ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก “เป็นอันใดไป? เหนื่อยใช่หรือไม่? ข้าอุ้มเจ้าเอง!”
จู่ๆ ซั่งกวนเยี่ยนก็โผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาและน้ำตาก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่อยากให้กำเนิดบุตรของท่าน…ข้าอยากจะให้กำเนิด… ข้าอยากจะให้กำเนิด…”
…………………………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 169.2 ความจริงเปิดเผย ชีวิตสามีภรรยา (2)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…