“แต่ว่า…แต่ว่า…” จื่อซูกำมือแน่นจนนิ้วจิกเข้าไปในเล็บ
ปรมาจารย์พิษมองความตั้งใจแรกเริ่มของนางออกอย่างนั้นหรือ? คนเราล้วนมีความรู้สึก ถ้าเจ้านายของนางอยากจะขาย นางก็คงไม่จำเป็นต้องมานั่งสนใจเรื่องนี้ แต่เพื่อที่จะปกป้องนาง พวกเขากลับไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับปรมาจารย์พิษถึงสองคน ตัวนางมิได้มีค่าอะไร แต่ก็ไม่อาจทนดูพวกเขาทุกข์ทรมานได้
“เอาเถอะ ข้าจะไม่บังคับเจ้า อำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือของเจ้า ข้าก็เพียงย้ำเตือนเจ้าว่าใต้เท้าท่านนั้นไม่อาจล่วงเกินได้ พลังของเขาก็ไม่อาจดูเบา ต้องรอให้เขาสังหารคุณชายของเจ้าก่อน เจ้าก็จะตกอยู่ในกำมือของเขาอยู่ดี เจ้าไปเถิด คิดให้ดีแล้วมาบอกข้า หากเจ้าคิดไม่ได้ข้าก็จนปัญญา พวกเจ้าเป็นผู้คุ้มกันของข้า แต่ตัวข้าเองก็ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้”
ปรมาจารย์พิษพูดออกไปเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าจื่อซูยังคงมีจิตสำนึกอยู่ นางไม่อาจปล่อยให้คุณชายบ้านตนตกอยู่ในอันตรายได้
และเป็นดังคาด จื่อซูเดินไปถึงหน้าประตู ทันใดนั้นนางก็กัดฟัน แล้วคุกเข่าลง “ใต้เท้าได้โปรดปกป้องคุณชายทั้งสองของข้าด้วย!”
“เอ้อ” ปรมาจารย์พิษยื่นมือออกมา “เมื่อเป็นเช่นนี้ จะรีรอทำไมแต่แรก? เอาเถอะๆ เห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
ที่ปรมาจารย์พิษกล่าวเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่อยากทำให้จื่อซูไม่พอใจ มิเช่นนั้นหากภายภาคหน้าจื่อซูได้รับความรักความเอ็นดู แล้วเป่าหูใต้เท้าเฟ่ยหลัว เขาเองก็คงไม่รอด “เจ้าคงมีวิธีให้คุณชายปล่อยเจ้าไปกระมัง?”
จื่อซูส่ายหน้า “คุณชายทั้งสองมีพระคุณต่อข้ามากเหลือเกิน มิได้รังเกียจที่ข้าเป็นบ่าว ข้าคิดว่าพวกเขาคงมองออกว่าข้าไม่จริงใจ”
ปรมาจารย์พิษทอดถอนใจ “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปิดบังพวกเขาไว้ก่อน”
ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของจื่อซู “ใต้เท้าหมายความว่า…”
ปรมาจารย์พิษกล่าวว่า “ข้าจะแอบส่งเจ้าไปหาใต้เท้าเฟ่ยหลัว กว่าพวกเขาจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงแต่ยอมรับความจริง”
จื่อซูเงียบงัน
ปรมาจารย์พิษบอกอย่างจริงใจ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่บังคับเจ้า หากเจ้าจะเปลี่ยนใจก็ยังทัน…”
จื่อซูกัดฟัน “ไม่ ข้าไม่เปลี่ยนใจ! ข้าจะไปกับใต้เท้า!”
“เอ้อ ไม่ต้องรีบร้อน” ดวงตาของปรมาจารย์พิษเป็นประกาย เดิมทีใต้เท้าเฟ่ยหลัวต้องการเพียงจื่อซู แต่ว่าตอนนี้น่ะหรือ…
“มีอะไรหรือใต้เท้า?” จื่อซูมองไปยังเขาอย่างไม่เข้าใจ
ปรมาจารย์พิษตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “อันที่จริงใต้เท้าเฟ่ยหลัวมีแผนร้ายกับคุณชายทั้งสองของเจ้า แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าได้โน้มน้าวเขาแล้ว เพียงแต่ว่า…”
ไม่จำเป็นต้องให้ปรมาจารย์พิษเอ่ยปากเอง จื่อซูก็เดาได้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร
จื่อซูอ้อนวอนว่า “ใต้เท้าโปรดบอก ขอเพียงปกป้องคุณชายทั้งสองได้ ให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำ!”
“ไม่ยาก” ปรมาจารย์พิษหยิบไข่มุกลูกกลมออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้จื่อซู “นี่คือไข่มุกพิษ ข้าต้องการให้เจ้าใช้มันหาของที่เหมือนกันมา ของชิ้นนั้นอยู่กับคุณชายบ้านเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ใต้เท้าเฟ่ยหลัวชื่นชอบ หากเจ้าสามารถนำของนี้ไปส่งมอบให้เขาได้ เจ้าก็จะสามารถยื่นเงื่อนไขเพื่อไว้ชีวิตคุณชายบ้านเจ้าได้อย่างแน่นอน”
จื่อซูรับไข่มุกพิษไป
ผ่านไปสองเค่อ จื่อซูก็กลับมาอย่างลับๆ ล่อๆ
ใบหน้าของปรมาจารย์พิษเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เจอแล้วหรือ?”
จื่อซูส่ายหน้า “ไม่มีของที่ท่านว่า”
“เจ้าดูอย่างที่ถ้วนแล้วหรือยัง?” ปรมาจารย์พิษถาม
จื่อซูตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าหาแล้ว ท่านบอกว่าเมื่อลูกแก้วพิษเข้าใกล้ของสิ่งนี้แล้วจะสว่างขึ้นมา แต่มันไม่สว่างเลย”
ปรมาจารย์พิษพึมพำ “หรือว่าใต้เท้าเฟ่ยหลัวจะเดาผิดไป? พวกเขาไม่ได้มีราชันสัตว์พิษอยู่ในครอบครอง?”
“ใต้เท้าท่านพูดอะไรหรือ?” จื่อซูจ้องมองเขา คล้ายกับได้ยินไม่ชัด
ปรมาจารย์พิษกระแอม “ไม่มีอะไร เจ้าลองไปหาที่ตัวคุณชายมาแล้วใช่หรือไม่?”
จื่อซูก้มหน้าลงทันที “ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร? หากมันส่องแสงขึ้นมาแล้วคุณชายเห็น เกิดถามข้าขึ้นมา ข้าจะตอบว่าอย่างไร?”
เมื่อคิดเช่นนั้น ก็หมายความว่าเป็นไปได้ที่ของจะอยู่ที่คุณชาย…ปรมาจารย์พิษลูบคาง ย่อมได้ ใต้เท้าเฟ่ยหลัวเดิมทีก็เพียงให้เขาส่งแม่นางจื่อซูไปให้ เขาใจร้อนอยากจะสร้างความดีความชอบ จึงคิดจะส่งมอบราชันหนอนพิษไปให้พร้อมกัน อีกประเดี๋ยวใต้เท้าเฟ่ยหลัวลงมือด้วยตนเองก็ไม่ต่างกัน เขาปักหลักอยู่ที่นี่ ไยจะต้องกลัวพวกเขาหนีด้วย?
“ทำอย่างไรดี ใต้เท้า? ข้าไม่ได้ของมา แล้วข้าจะช่วยคุณชายได้อย่างไร?” จื่อซูเอ่ยถามด้วยความร้อนรน
ปรมาจารย์พิษกล่าวด้วยเสียงสูงต่ำว่า “เรื่องนั้น…ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเจ้าอยู่ต่อหน้าใต้เท้าเฟ่ยหลัวเจ้าจะขอร้องเขาอย่างไร เจ้าวางใจเถิด ขอเพียงเจ้าเอาอกเอาใจใต้เท้าเฟ่ยหลัว ใต้เท้าเฟ่ยหลัวไม่ทำให้คุณชายบ้านเจ้าเดือดร้อนหรอก”
จื่อซูกัดริมฝีปาก “เช่นนั้น…เช่นนั้นใต้เท้านำทางข้าไปเถิด ข้าจะไปพบหน้าใต้เท้าเฟ่ยหลัว”
เข้าทางพอดิบพอดี ไม่เสียแรงที่พูดจนน้ำลายแห้ง
ปรมาจารย์พิษสวมผ้าคลุมสีดำ พาจื่อซูเดินผ่านป่า เดินตามเส้นทางคดเคี้ยวซึ่งนัดแนะกับเฟ่ยหลัว จนไปถึงหน้ากระโจมหลังหนึ่ง
กระโจมหลังนี้หรูหรากว่ากระโจมของพวกอวี๋หวั่นเป็นไหนๆ สามารถเทียบกับกระโจมหลังใหญ่สำหรับตั้งกลางทุ่งหญ้า นั่นแสดงให้เห็นว่าฐานะของเจ้าของกระโจมนั้นสูงมาก
ด้านนอกกระโจมมีองครักษ์คอยอารักขา ทุกคนล้วนแต่สวมชุดเกราะเต็มยศ พวกเขาไม่ได้ถอดชุดเกราะออกแม้ว่าจะออกมาจากเมืองหลวงแล้วก็ตาม
“พวกเขาเหล่านี้คือองครักษ์ที่ประมุขหญิงทรงส่งมา” ปรมาจารย์พิษเห็นว่าจื่อซูตกใจกลัว จึงอดไม่ได้ที่จะอธิบายแกมโอ้อวดให้นางฟัง
“อ้อ” จื่อซูก้มหน้า
นี่มันปฏิกิริยาตอบสนองแบบไหนกัน? งงหรือ? ปรมาจารย์พิษขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าอยู่ต่อหน้าใต้เท้าเฟ่ยหลัว เจ้าต้องตั้งสติให้ดี อย่าคิดเล่นตุกติก นึกไว้เสมอว่าคุณชายบ้านเจ้าจะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับเจ้า”
“อืม” จื่อซูพยักหน้า
อย่างน้อยก็ทำให้นางรู้สึกกลัวได้ ปรมาจารย์พิษคิดในใจ
ปรมาจารย์พิษมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาให้คนไปแจ้งเฟ่ยหลัว ไม่นานลูกศิษย์ของเขาก็ออกมา แล้วบอกว่า “เจ้าไปได้แล้ว อย่าลืมว่าทำตามแผนเดิมทั้งหมด”
ปรมาจารย์พิษส่งสายตาไปยังจื่อซูอย่างแนบเนียน มุมปากของเขายกขึ้นพลางบอกว่า “ฝากไปบอกใต้เท้าเฟ่ยหลัวด้วยว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในมือข้า”
“เจ้า เข้ามา!”
หลังจากที่ปรมาจารย์พิษกลับไปแล้ว ลูกศิษย์ก็นำจื่อซูเจ้าไปในกระโจม
ด้านในกระโจมโอ่โถงหรูหรา จื่อซูไม่จำเป็นต้องค้อมตัวเมื่อเดินเข้าไป แม้แต่เมื่อเดินเข้าไป นางก็ยังยืนตัวตรงได้
สายตาของจื่อซูไปหยุดอยู่ที่บุรุษซึ่งนั่งอยู่ที่พื้น เบื้องหน้าของเขามีโต๊ะเตี้ยสี่เหลี่ยมวางอยู่ บนโต๊ะตัวนั้นมีสุราชั้นดี ขนมและผลไม้จัดวางอยู่พร้อมพรั่ง
เฟ่ยหลัวเป็นบุรุษท่าทางคงแก่เรียนและนุ่มนวล ดูแล้วคงจะอายุไม่ถึงสามสิบปี สวมชุดหยกปักดิ้นทอง เคราน้อยๆ บนใบหน้ามิได้ทำให้เขาดูแก่ชรา แต่กลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างบุรุษหนุ่ม
หากเป็นดรุณีน้อยวัยแรกแย้มที่เพิ่งก้าวออกมาสู่โลกภายนอก รูปร่างหน้าตาของเขาคงทำให้ชวนหลงใหลอยู่ไม่น้อย
บ่าวในกระโจมล้วนแต่ถอยออกไป
จื่อซูก้มหน้าไม่พูดไม่จา
เป็นเฟ่ยหลัวที่ทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ลง เขาวางแก้วเหล้าในมือลง มองไปยังจื่อซูด้วยรอยยิ้ม “ได้พบกันอีกครั้ง คงไม่ได้ทำให้แม่นางตกใจหรอกกระมัง?”
จื่อซูส่ายหน้า
เฟ่ยหลัวชี้ไปยังเบาะรองนั่งที่โต๊ะ บอกเป็นนัยให้จื่อซูไปนั่ง
จื่อซูเดินไปนั่งคุกเข่าลงบนเบาะรองนั่ง
เฟ่ยหลัวมองไปยังจื่อซูอย่างมีเลศนัย
จื่อซูยกกาน้ำชาขึ้นมารินสุราให้เขาจนเต็ม “ใต้เท้าเชิญดื่มเจ้าค่ะ”
สายตาของเฟ่ยหลัวอ่อนโยนขึ้นมากโข “เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า ข้าเพียงชื่นชอบเจ้า หากเจ้าไม่ยินดี ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
“ข้า…ข้าไม่ได้ไม่ยินดี” จื่อซูหลุบตาลง
เฟ่ยหลัวยกสุราขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง
จื่อซูเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ปรมาจารย์พิษได้บอกข้าแล้วว่าใต้เท้าเฟ่ยหลัวเป็นแขกของจวนประมุขหญิง ให้ข้ารับใช้ท่านให้ดี หากท่านมีความสุข ข้าก็จะได้ดีไปด้วย”
“ฮ่าๆ!” เฟ่ยหลัวหัวเราะออกมาเพราะความเถรตรงของนาง ใต้หล้านี้มีพวกชอบประจบประแจงอยู่มากมาย แต่คนที่เป็นเช่นนี้นั้นหาได้น้อยนัก จะมีอะไรดีไปกว่าคำชมจากสาวใช้ที่ใช้กามพาตนเองไต่เต้าได้อีกเล่า? เพราะนั่นมิได้หมายความว่าวันหนึ่งเขาจะมีอำนาจล้นฟ้าหรอกหรือ?
“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ เจ้าควรค่าแก่ความทุ่มเทของข้าจริงๆ!” เฟ่ยหลัวกล่าวความคิดของเขาออกมาด้วยความจริงใจ
จื่อซูรินสุราให้เขาอีกครั้ง
“เจ้าเองก็ดื่มด้วยสิ” เฟ่ยหลัวส่งจอกสุราให้นาง
จื่อซูส่ายหน้า “ข้าดื่มสุราแล้วผื่นจะขึ้น ข้ากินอะไรได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ประโยคปฏิเสธประโยคแรกทำให้ผู้ฟังต้องขมวดคิ้ว แต่ประโยคขอร้องประโยคที่สองกลับทำให้เขาต้องยิ้มออกมา
เฟ่ยหลัวรู้สึกว่าวิธีการพูดจาของแม่นางผู้นี้ถูกจริตเขาเหลือเกิน เขาจึงชี้ไปยังของบนโต๊ะอย่างใจกว้าง “อยากกินอะไรไม่ต้องเกรงใจ”
จื่อซูปอกลิ้นจี่ลูกใหญ่แล้วใส่เข้าปากไป
ลิ้นจี่เหล่านี้ล้วนเป็นของพระราชทานจากจวนประมุขหญิง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีรสหวานเพียงใด
ท่าทางการกินของนางนั้นน่ารักน่าเอ็นดู เขาจึงดันถาดผลไม้ไปตรงหน้านาง “ค่อยๆ กิน เป็นของเจ้าทั้งหมด”
“หลังจากนี้…ข้าจะได้กินทุกวันเลยหรือเจ้าคะ?” จื่อซูกะพริบตาปริบๆ
เฟ่ยหลัวหัวเราะออกมา “ขอเพียงเจ้าติดตามข้าไปจวนประมุขหญิง ประมุขหญิงเสวยอะไร เจ้าก็กินอย่างนั้น”
นี่เป็นคำพูดที่ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่เพื่อปลอบสตรี เขาก็ต้องโอ้อวดสักหน่อยมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นจะพูดกันหรือว่ายอมเชื่อว่าบนโลกนี้มีผี ดีกว่าเชื่อลมปากของบุรุษ?
เฟ่ยหลัวใช้สายตาหิวกระหายมองไปยังจื่อซูซึ่งกำลังกินลิ้นจี่อย่างเอร็ดอร่อย
“ใต้เท้าเฟ่ยหลัวเจ้าคะ” อยู่ๆ จื่อซูก็มองไปที่เขา “ท่านกับประมุขหญิงสนิทสนมกันหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้จากชนบท ข้ากลัวว่าจะไม่รู้กฎและทำให้ประมุขหญิงไม่พอพระทัย”
ลำพังสถานะของเฟ่ยหลัวยังไม่สูงพอให้ได้เข้าเฝ้าประมุขหญิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสาวใช้แสนต้อยต่ำ หากครานี้มิใช่เพราะอาจารย์ต้องการลูกศิษย์ไปสองคน ประมุขหญิงไหนเลยจะส่งองครักษ์มารับเขา
องครักษ์ข้างนอกนั้นเป็นคนที่ประมุขหญิงส่งมาก็จริง ทว่าไม่ใช่องครักษ์ประจำตัวของประมุขหญิง
แน่นอนว่าเป็นบุรุษย่อมต้องรักษาหน้า เขาไม่อาจยอมรับว่าตนมีสถานะไม่สูงพอ
เฟ่ยหลัวตอบว่า “ประมุขหญิงทรงใจกว้าง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่านางลงโทษสาวใช้”
“ที่แท้ประมุขหญิงก็ดีถึงเพียงนี้…” จื่อซูพึมพำ
ดวงตาของเฟ่ยหลัวเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส “ประมุขหญิงทรงห่วงใยใต้หล้า อุ้มชูประชาราษฎร์ ไม่มีทางทำให้ผู้ใดลำบากใจ”
จื่อซูยังคงมีสีหน้าไม่ไว้วางใจ “ข้าได้ยินว่า…ประมุขหญิงทรงมีพระสวามี พระสวามีของนางเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
เฟ่ยหลัวหัวเราะออกมาอีกครั้ง “พระสวามีเจ้ายิ่งไม่ต้องวิตกไป เขาใจกว้างยิ่งกว่าประมุขหญิงเสียอีก”
จื่อซูถามต่อ “โอรสของพวกเขาละเจ้าคะ? พระโอรสก็เป็นคนดีเช่นกันใช่หรือไม่?”
เฟ่ยหลัวยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าหมายถึงองค์ชายใหญ่สินะ ประมุขหญิงเข้มงวดกับองค์ชายใหญ่มาก ทรงไม่ยอมให้ทำเรื่องเสื่อมเสียใดๆ เป็นอันขาด เพราะฉะนั้นเจ้าวางใจได้ ขอเพียงเจ้าไม่ทำความผิด เจ้าจะไม่เป็นทุกข์เมื่ออยู่ในจวนประมุขหญิง”
…………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 179.2 จัดการปรมาจารย์ (2)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…