รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนสกุลเห้อเหลียน
ทุกคนต่างมีเรื่องในใจ ไม่มีใครมีกะจิตกะใจชมทัศนียภาพของเมืองหลวง และมิได้ใส่ใจมองจวนสกุลเห้อเหลียนอย่างละเอียด
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเข้าไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่า
พวกเขานั่งรออยู่บนรถม้า แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหนักใจ
ตลอดทางมาที่นี่ ยิ่งเห็นว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงมีพลังอำนาจเพียงใด ก็ยิ่งล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนี ทางรอดเดียวของพวกเขาก็คือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเห้อเหลียนยอมรับว่าอวี๋หวั่นเป็นหลาน
ถ้าหากอวี๋หวั่นเป็นหลานแท้ๆ ของอีกฝ่ายก็ว่าไปอย่าง แต่อวี๋หวั่นเป็นหลานตัวปลอม นั่นทำให้ทุกคนอดกังวลไม่ได้
เจียงไห่ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ที่จริงแล้วจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะขวางพวกเขาเอาไว้ ชิงเหยียนกับเยว่โกวพวกเจ้าพาคุณชาย ฮูหยิน แล้วก็อาม่าหนีไป”
ชุยเฒ่า: แล้วข้าละ?!
เยว่โกวซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางเอ่ยปากว่า “ข้ามีแรงมาก ข้าถ่วงพวกเขาไว้เห็นจะเหมาะสมกว่า พวกเจ้าหนีไปซะ”
ชิงเหยียนมองทั้งสอง “หนีไปไหนไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเราเข้ามาในจวนเห้อเหลียนแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะหนีอีกหรือ?”
ทุกคนเงียบลงพร้อมกัน “…”
อวี๋หวั่นยิ้ม กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าเอาใจผู้ใหญ่เก่ง ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าชอบข้า ไม่แน่ว่าอาจจะยอมรับข้าก็ได้”
นี่เป็นความจริง อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่สกุลอวี๋ บรรดาลุงๆ ป้าๆ ในหมู่บ้าน มีใครไม่ชอบอวี๋หวั่นบ้างเล่า? ทุกคนล้วนพูดกันว่าเด็กคนนี้โตแล้วรู้ความ มีความสามารถ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เชี่ยวชาญทั้งการค้าและการแพทย์ จิตใจดี หน้าตาสะสวย ในแถบนี้ไม่มีผู้ใดโดดเด่นเท่านาง
ถ้าหากบอกว่าเหตุผลที่ชาวบ้านชื่นชอบอวี๋หวั่นเป็นเพราะความรู้จักมักคุ้น เช่นนั้นซั่งกวนเยี่ยนและฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซียวซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามิได้รู้จักอวี๋หวั่นมาก่อนก็ยังเอ็นดูอวี๋หวั่น ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่านี่คือเสน่ห์ของอวี๋หวั่น
เด็กคนนี้พูดเอาไว้ไม่ผิด ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะชอบตน และยอมรับว่าเป็นหลานสาวก็ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้เรื่องที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงไปไหว้หลุมศพน้องชาย เพียงแต่คิดว่าเขาไปเยี่ยมเยียนหลานชายเหมือนปีก่อนๆ ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย ไม่กินไม่ดื่ม นี่เป็นสัญญาณของอาการป่วย
อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่านั้นไม่แน่นอน บางครั้งก็เศร้าสร้อย กินไม่ได้นอนไม่กลับ บางครั้งก็เลอะเลือน พูดจาไม่รู้เรื่อง บางครั้งก็นั่งนิ่งๆ ราวกับไร้จิตวิญญาณ
เมื่อบ่าวแจ้งว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงมาถึงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
เมื่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงเดินเข้าไปและพูดเรื่องของ ‘น้องชาย’ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
แต่นั่นก็เป็นระยะเวลาเพียงครู่เดียว จากนั้นนางก็มองออกไปนอกหน้าต่างอีก
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้ดีว่าหลายปีมานี้มี ‘น้องชาย’ มาหาบ่อยครั้งเหลือเกิน จนฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อแล้วว่าเขาจะพา ‘น้องชาย’ มาได้จริงๆ
“ท่านแม่ไปดูสักหน่อยเถิด” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากไม่ใช่คนจากบ้านของน้อง ข้าก็จะจับเขาออกไป”
ฮูหยินผู้เฒ่าเบ้ปาก และเดินออกไปยังโถงบุปผาพร้อมกับเห้อเหลียนเป่ยหมิง
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ เพิ่งจะถูกนำตัวเข้ามา
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้พบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแห่งสกุลเห้อเหลียนซึ่งเป็นที่เล่าขาน อีกฝ่ายสวมกระโปรงสีกลีบบัว
เสื้อผ้าไหมสีเลือดหมู ผมสีดอกเลาเกล้าขึ้นไปเป็นมวยเดี่ยว ปิ่นปักผมหยกประดับอัญมณี ทั้งยังสวมผ้าคาดศีรษะลายและสีเดียวกับเสื้อ สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก ทว่าท่าทางของนางสง่างามสมกับเป็นชนชั้นสูง
สาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งค่อยๆ พยุงฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามา
อวี๋หวั่นรู้ว่าช่วงเวลาตัดสินชะตาชีวิตของเธอได้มาถึงแล้ว จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับว่าเธอจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่
อันที่จริงเห้อเหลียนเป่ยหมิงให้ของสำหรับยืนยันตัวตนกับเธอแล้ว เป็นห่อผ้าที่ใช้ห่อน้องชายขณะที่ยังเป็นทารก กระนั้นก็ได้ยินว่าเขาได้ให้ของยืนยันตัวตนแก่ ‘น้องชาย’ ที่มาทุกคน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับใครเลยสักคน
เพราะฉะนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าใช้สิ่งใดมาตัดสินว่าคนเหล่านั้นเป็นตัวปลอม
‘บางทีอาจเป็นเพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ’
นี่เป็นคำพูดของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
หากเป็นเช่นนั้น โอกาสที่อวี๋หวั่นจะทำสำเร็จนั้นมีน้อยมาก แต่ในเมื่อได้ยิงศรออกแล้วแล้วย่อมไม่อาจย้อนคืน อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าทาพริกเอาไว้มาเช็ดเบาๆ ที่ขอบตา ตาแดงๆ ของเธอมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า…”
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมา อวี๋หวั่นก็บีบน้ำตาร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม ความสามารถทางการแสดงของเธอเทียบไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนางเจียง อาม่า ชิงเหยียนและคนอื่นๆ ต่างเบือนหน้านี้ ไม่อาจทนดูต่อไปได้…
ไหนเลยจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสะบัดมือออกจากสาวใช้ในทันใด และเดินเข้ามาด้วยความตกตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือออกมา นั่นเป็นท่าทางของความตื่นเต้น หมายความว่านางได้พบกับญาติที่พลัดพรากจากกันแล้ว!
ความดีใจพลันถาโถมอยู่ในใจของอวี๋หวั่น เธอยื่นมือออกไปหาฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า…”
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเดินผ่านเธอไป…
อวี๋หวั่น “…”
“หลานชายข้า…”
อวี๋หวั่นตื่นตะลึง ใคร…ใครเป็นหลานชายของท่าน?
อวี๋หวั่นหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังร่ำไห้พลางกอดสามีของเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังมึนงง “…”
คนอื่นๆ ที่งงยิ่งกว่าเยี่ยนจิ่วเฉา “…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตกใจจนอ้าปากค้าง เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ไม่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้เลยสักนิด…
“กะ…เกิดอะไรขึ้นกัน?” ชุยเฒ่ากระซิบถามอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกัดฟันแล้วตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น? ข้างงกว่าท่านเสียอีก!”
อวี๋หวั่นจดจำทุกอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบและไม่ชอบ จำจนสมองแทบระเบิด ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ทำอะไรเลย กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เขากลับกลายเป็น ‘หลานชาย’ ของฮูหยินผู้เฒ่าไปได้?!
ทำไมเขาถึงเป็นผู้โชคดีจากเหตุการณ์นี้ไปได้?!
ชุยเฒ่ากระแอม “อะแฮ่ม ข้าว่าฮูหยินผู้เฒ่า ท่านไม่ได้จำคนผิดหรอกใช่ไม่ขอรับ? เขาไม่ใช่หลานชายของท่านนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากอดเยี่ยนจิ่วเฉาแน่น นางหันมาทำตาขวางใส่ชุยเฒ่า “ข้าไม่ได้จำคนผิด! เขาหน้าตาดีที่สุด! ย่อมต้องเป็นหลานข้า!”
“…”
หมายความว่าคนก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับมิใช่เพราะสายสัมพันธ์แม่ลูกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะหน้าตาไม่ดีหรอกหรือ…
เมื่อรู้ความจริง ทุกคนในห้องก็แทบลมจับ
โครกคราก~
เยี่ยนจิ่วเฉาท้องร้องเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเปลี่ยน นางกล่าวอย่างปวดร้าวใจว่า “หลานชายคนดีของข้าหิวแล้วหรือ?”
หิวแล้ว ใช่
หลานชาย ไม่ใช่
เยี่ยนจิ่วเฉามองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ปล่อย”
จุดไท่หยางที่หางคิ้วของทุกคนในห้องกระตุกตุบๆ พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ได้อย่างไร อยากตายหรือ?
คนก่อนๆ ที่มาหาฮูหยินผู้เฒ่าล้วนแต่ประจบประแจงอย่างถึงที่สุด แต่เจ้านี่กลับพูดจาเย็นชาใส่นาง!
ฮูหยินผู้เฒ่าปล่อยมืออย่างว่าง่าย
ทุกคนในห้อง “…”
แต่เพียงครู่เดียว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้กอดเยี่ยนจิ่วเฉาแน่นเหมือนเดิม แต่เพียงดึงแขนเสื้อของเขา นางยิ้มออกมาแล้วถามว่า “เจ้าอยากกินอะไร ย่าจะให้คนไปทำให้เจ้ากิน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งด้วยตนเอง ห้องครัวจึงรีบจัดแจงให้ทันที
หลังจากนั้นสองเค่อ อาหารร้อนกรุ่นก็ถูกนำมาจัดขึ้นโต๊ะ
ชุยเฒ่าและคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมมื้ออาหารนี้ พวกเขาถูกอวี๋กังพาออกไปยังอีกเรือนหนึ่ง ส่วนอวี๋หวั่นยังอยู่ที่นี่ต่อ
เมื่ออวี๋หวั่นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเป็นครั้งแรกก็คิดว่านางเป็นหญิงชราทั่วๆ ไป ตอนนี้จึงเชื่อแล้วจริงๆ ว่านางผิดปกติไปบ้าง ไม่เช่นชั้นก็คงไม่คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นหลานชายของนางหรอก
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นบุตรชายคนโตของฮูหยินผู้เฒ่า ตามหลักแล้วย่อมต้องได้รับความรักความเอ็นดู แต่หลัง
จากที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้พบกับหลานชาย ก็ไม่ชายตามองลูกชายอีกเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้เยี่ยนจิ่วเฉานั่งข้างนาง
ส่วนเห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งอีกข้างหนึ่ง
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป จะนั่งข้างเยี่ยนจิ่วเฉา
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นใคร? ใครให้เจ้านั่ง?”
“นางเป็นภรรยาของข้า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูด
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนทันที นางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นหลานสะใภ้หรอกหรือ? เช่นนั้นก็รีบมานั่งเร็ว!”
อวี๋หวั่นนั่งลง
เห็นชัดๆ ว่านางเป็น ‘ท่านย่า’ ของเธอ ยังไงก็เป็น ‘ท่านย่า’ ของเธอ!
ฮูหยินผู้เฒ่าคีบน่องไก่ให้เยี่ยนจิ่วเฉา ดูสิ ความแตกต่างระหว่างหลานชายและหลานสะใภ้!
ฮูหยินผู้เฒ่าคีบกับข้าวให้เยี่ยนจิ่วเฉาหลายต่อหลายครั้ง จนชามของเขามีอาหารพูนขึ้นมาเป็นภูเขาขนาดย่อม ตัวนางเองกลับไม่กิน แต่ยังคอยมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเหลือบตามองเยี่ยนจิ่วเฉา บอกเป็นนัยให้เขาคีบกับข้าวให้ฮูหยินผู้เฒ่า
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบตะเกียบสะอาดคู่ใหม่ขึ้นมา แล้วคีบเนื้อสันในทอดกรอบ
นี่เป็นของที่อวี๋หวั่นชอบ
อวี๋หวั่นและเห้อเหลียนเป่ยหมิงชะงักไป
เรื่องแรกของฮูหยินผู้เฒ่า…นางไม่กินเนื้อแดง
วินาทีต่อมา ทั้งสองก็ต้องตะลึงงันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินเนื้อสันในทอดกรอบอย่างรวดเร็ว!
เมื่อกินหมด นางก็หันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยใบหน้าเปี่ยมความคาดหวัง ราวกับรอให้หลานชายสุดที่รักคีบอาหารให้อีก
เยี่ยนจิ่วเฉาสุ่มคีบอาหารมาอีก แปดในสิบอย่างของอาหารในวันนี้ ปกติแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่แตะต้องเด็ดขาด ไหนเลยจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับยอมกินทุกอย่าง
แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินไม่เคยกินจนอิ่มเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยยิ้มแย้มมากถึงเพียงนี้มาก่อน
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ สิ่งที่เธอท่องจำมาไม่มีประโยชน์อะไรเลย สู้ใบหน้าหล่อๆ ของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ยอมรับอวี๋หวั่น แต่กลับยอมรับเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด แต่ไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็เหมือนได้ให้ป้ายทองละเว้นโทษประหารแก่พวกเขาแล้ว หลังจากนี้พวกเขาก็จะสามารถอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ได้อย่างเปิดเผย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเริ่มจะอยากรู้ที่มาที่ไปของคนกลุ่มนี้แล้ว เดิมทีเขาคิดจะถามจากเยี่ยนจิ่วเฉา แต่น่าเสียดายที่เยี่ยนจิ่วเฉาถูกฮูหยินผู้เฒ่ายึดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาจึงต้องถามจากอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไปยังห้องหนังสือของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
หน้าต่างของห้องหนังสือเปิดอยู่ จากในห้องสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวในลานบ้านได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพาเยี่ยนจิ่วเฉาไปเดินเล่น
เห้อเหลียนเป่ยหมิงละสายตาจากลานบ้านและหันกลับมามองอวี๋หวั่น “สรุปแล้วพวกเจ้าเป็นใคร?”
อวี๋หวั่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบไปตามตรงว่า “ซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน กับพระชายา”
นัยน์ตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไหวเล็กน้อย เห็นถึงความแตกต่าง แต่เขาก็มิได้มีท่าทางตื่นตระหนก อันที่จริงก็พอจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าไม่ธรรมดา
“คนเหล่านั้นเล่า?” เขาเอ่ยถาม
“พวกเขาเป็นบ่าวและองครักษ์ในจวนเยี่ยนอ๋อง” นอกจากชุยเฒ่าและสาวใช้ทั้งสอง เจียงไห่และพวกอาเว่ยมีที่มาที่ไป อวี๋หวั่นไม่หวังว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะถามเรื่องของพวกเขาต่อ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองอวี๋หวั่น สีหน้าของเขาปราศจากความเคลือบแคลงใจ เขาถามต่อว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่หนานจ้าว?”
“สามีข้าถูกยาพิษ ต้องการตัวยาสองสามชนิด”
“ยาพิษอะไร?”
“ไป๋หลี่เซียง”
……………………………
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 183.3 พานพบ (3)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…