หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 17 สวมดิ้นแพรกลับบ้านเกิด

บทที่ 17 สวมดิ้นแพรกลับบ้านเกิด
โดย
Ink Stone_Romance

หลังจากที่อวี๋เซ่าชิงเดินกลับไปยังลานบ้าน ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาคลำอกเสื้อของตน เป็นดังคาด หยกที่นางเจียงให้เขามาไม่อยู่แล้ว
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ใดทำ
ผู้ที่อวี๋เซ่าชิงเผชิญหน้าในสนามรบล้วนเป็นศัตรู เขาไม่เคยมีประสบการณ์ข้องแวะกับสตรี ไม่ทันได้ระวัง ก็ถูกองค์หญิงชาวซยงหนูหลอกเข้าเสียแล้ว
อวี๋เซ่าชิงมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาเย็นเยียบ
อู๋ซันยกถังน้ำเข้ามา เมื่อเห็นอวี๋เซ่าชิงกำลังแผ่รังสีอำมหิต ก็รีบรุดเข้าไปหา แล้วเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า “อวี๋เฒ่า เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้ากลับห้องไปก่อน” อวี๋เซ่าชิงสั่งเขาอย่างเย็นชา แล้วมุ่งหน้าไปยังพลับพลาซึ่งพวกเขาพบกับองค์หญิงซยงหนู
องค์หญิงแห่งซยงหนูยังอยู่ที่พลับพลาหลังนั้น นางนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอย่างสบายอารมณ์ เล่นกับก้อนหินซึ่งดูคล้ายหยกท่ามกลางแสงจันทร์ สัญลักษณ์บนหินทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ เป็นสัญลักษณ์สีฟ้าอ่อนซึ่งคล้ายคลึงกับไฟปีศาจ “องค์หญิง มีคนมา” สาวใช้ข้างกายเอ่ยขึ้น
องค์หญิงมิได้เบนสายตามองแต่อย่างใด “เจ้าออกไปก่อน”
“…เจ้าค่ะ” สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอยออกไป
อวี๋เซ่าชิงเดินขึ้นบันไดมา เข้าไปในพลับพลา สายตาเย็นเยียบมองไปยังดรุณีซึ่งเจ้าเล่ห์และเอาแต่ใจตรงหน้า “คืนข้ามา”
องค์หญิงซยงหนูไม่ได้มองเขา ยังคงชื่นชมอัญมณีชิ้นนั้น แล้วกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ไม่คืน เก่งนักก็มาเอาไปเอง แต่เจ้าคิดให้ดีก่อน ข้าเป็นถึงองค์หญิงซยงหนู หากเจ้าทำความผิด เจ้าไม่กลัวแม่ทัพใหญ่เซียวลงโทษเจ้าหรอกหรือ? อีกอย่าง ข้าเคยได้ยินประโยคหนึ่งของชาวจงหยวน บุรุษสตรีไม่ใกล้ชิดกัน เจ้ากล้าแตะตัวข้า เจ้าก็ต้องแต่งงานกับข้า!”
อวี๋เซ่าชิงมิได้สะทกสะท้านกับคำพูดของนางแม้แต่น้อย เขาตบลงบนโต๊ะหินด้วยพลังภายใน ทันใดนั้นเอง องค์หญิงซยงหนูซึ่งกำลังอิงกับโต๊ะหินอยู่ก็ถูกแรงสั่นเทือนจนหงายหลัง หยกในมือลอยหลุดออกไป
เพื่อที่จะพยุงตัวลุกขึ้น นางมิได้สนใจที่จะแย่งชิงหยกอีกต่อไป อวี๋เซ่าชิงจึงคว้าหยกเอาไว้ในอุ้งมือ
กว่าองค์หญิงชาวซยงหนูจะลุกขึ้นยืนข้างโต๊ะหินได้ อวี๋เซ่าชิงก็หันหลังเดินออกไปจากพลับพลาโดยมิได้คิดจะหันกลับมามอง และหายลับไปตรงสุดทางเดิน
“องค์หญิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” สาวใช้รุดเข้ามาด้วยความร้อนรน
องค์หญิงซยงหนูปัดแขนเสื้อ เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าไม่สวยหรือ?”
สาวใช้รีบตอบว่า “องค์หญิงหมิงจูเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเฉ่าหยวน หากท่านไม่งาม ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าตนเองงามแล้ว”
องค์หญิงซยงหนูมองไปยังทิศทางที่อวี๋เซ่าชิงเดินลับสายตาไป “เช่นนั้นทำไมเขาไม่มองข้าตรงๆ เลยเล่า?”
สาวใช้ครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ย่อมต้องเป็นเพราะองค์หญิงสูงส่งเกินไป เขามิกล้าทำให้ความงามขององค์หญิงแปดเปื้อน”
องค์หญิงซยงหนูหัวเราะในลำคอ “ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น!”
อวี๋เซ่าชิงกลับมา อู๋ซันนอนเล่นอยู่ใกล้กับสวน จึงมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นอวี๋เซ่าชิง เขาก็ลุกตามมา “สตรีชาวซยงหนูไม่เหมือนกับสตรีจงหยวนของพวกเราเลยสักนิด!”
เรื่องที่องค์หญิงซยงหนูทำ เป็นเรื่องที่ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรสตรีจงหยวนก็ไม่ทำ
“แต่ว่า…” อู๋ซันเกาหัวแกร็กๆ “องค์หญิงซยงหนูงดงามเหลือเกิน ถ้านางชอบเจ้า…”
อวี๋เซ่าชิงพูดตัดบทขึ้นว่า “พูดพล่อยอะไรกัน? นางอายุพอๆ กับลูกสาวข้า”
อู๋ซันพึมพำ “แต่ดูเหมือนนางสนอกสนใจเจ้าอยู่นะ”
อวี๋เซ่าชิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นางก็แค่ดื้อรั้น”
อู๋ซัน “โอ้”
เหตุใดข้าไม่ค่อยเชื่อเลยนะ?
ในความคิดของอู๋ซัน อวี๋เซ่าชิงเป็นผู้มีความสามารถอย่างมิต้องสงสัย รักพวกพ้อง เข้มแข็ง อาจหาญและฉลาดเฉลียว หากไม่ใช่เพราะพื้นเพไม่ดีนัก ทั้งยังถูกคนปองร้าย เขาคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น อวี๋เซ่าชิงหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างหน้าตาดีกว่าบุรุษที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมด
อู๋ซันทอดถอนใจ “ถ้าข้าเป็นสตรี…”
อวี๋เซ่าชิงปิดประตู
อู๋ซันซึ่งถูกปิดประตูใส่หน้า “…”
อู๋ซันซึ่งพยายามที่จะต่อประโยคให้จบ “…ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้าเหมือนกัน”
……
ณ หมู่บ้านเหลียนฮวา เมฆขาวแต้มฟ้าคราม
พ่อครัวเทพเป้าจากไป เขาไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของอวี๋เซ่าชิง ชาวบ้านต่างรู้สึกเศร้าใจ คนที่ดีเช่นนี้มิใช่บิดาของบุตรชายคนที่สามสกุลอวี๋ น่าเสียดายเหลือเกิน แต่จะว่าไป น้องสามก็ไปรบแถบชายแดนหลายปี ไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ เขาคงไม่ได้…
ชาวบ้านมองดูคนสกุลอวี๋ด้วยความรู้สึกเห็นใจ
คนสกุลอวี๋กลับไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ พวกเขาเพียงแต่รู้สึกว่าชายชรานั้นโดดเดี่ยว และรู้สึกสลดใจแทนเขาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าชายชราทิ้งบันทึกที่เขาศึกษามาทั้งชีวิตไว้ให้กับลุงใหญ่ พวกเขาได้แต่นิ่งเงียบ
ป้าสะใภ้ใหญ่และอวี๋ซงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ลุงใหญ่ อวี๋เฟิง และอวี๋หวั่นล้วนรู้ว่าของนั้นมีค่าแค่ไหน
ใครจะไปคิดว่ามรดกของพ่อครัวเทวดาที่ชื่อเสียงลือลั่นไปทุกสารทิศ จะตกมาอยู่ในมือของครอบครัวชาวนาจากชนบท หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คงจะทำให้ผู้คนตกใจอยู่ไม่น้อย
สูตรอาหารแต่ละชนิด สามารถนำไปขายได้เป็นเงินนับร้อยตำลึง ครึ่งแรกเป็นสูตรอาหารทั่วไป ครึ่งหลังเป็นอาหารยาสมุนไพร พ่อครัวเทพเป้าเคร่งครัดกับวัตถุดิบและกรรมวิธี หลังจากที่ลุงใหญ่อ่านจบ เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจ ตนโชคดีที่ไม่ได้ประลองฝีมือการทำอาหารกับพ่อครัวเทพเป้า ไม่เช่นนั้นคงแพ้ยับเยินไร้ชิ้นดี
หน้าแรกของตำราแพทย์ อธิบายจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์
“แม่นางอวี๋!”
เสียงสดใสของนายท่านฉินดังมาจากด้านนอก อวี๋หวั่นปิดหนังสือ วางไว้บนโต๊ะ แล้วรุดออกไปต้อนรับเขาที่โถงกลางบ้าน “ลมอะไรหอบนายท่านฉินมา?”
นายท่านฉินหัวเราะร่า “พูดอย่างกับว่าข้าไม่ค่อยได้มาที่นี่!”
อวี๋หวั่นชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้าง “นายท่านฉินเชิญนั่ง”
นายท่านฉินนั่งลง
อวี๋หวั่นชงชาหนึ่งกา ลุงใหญ่และพี่ชายทั้งสองชอบดื่มชา ชาที่ได้จากเยี่ยนจิ่วเฉาและลุงวั่นนั้นหมดไปแล้ว ชาที่ชงในตอนนี้เป็นชาที่ซื้อมาจากในตำบล รสชาติไม่ดีเท่าชนิดก่อนหน้า ทว่านายท่านฉินมิได้มากเรื่อง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มไปหลายอึก
ทันใดนั้นเอง นายท่านฉินก็สังเกตเห็นตำราแพทย์บนโต๊ะ “บ้านเจ้ามีคนเรียนหนังสือด้วยหรือ?”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ท่านดูได้ตามสบาย”
“แม่นางอวี๋อ่านเองหรือ…” นายท่านฉินแปลกใจ “บ้านข้าก็มีหนังสืออยู่ไม่น้อย กลับไปแล้วจะนำมาให้เจ้าสักหน่อย!”
“ขอบคุณนายท่านฉิน” อวี๋หวั่นไม่ได้ปฏิเสธ เธอไม่ใช่คนรวนเร นายท่านฉินมีบุญคุญกับเธอมากเท่าไร เธอก็จะตอบแทนเขาเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
นายท่านฉินดื่มชาจนอิ่ม เขาหยิบสัญญาสองม้วนออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้อวี๋หวั่น “แม่นางอวี๋ตรวจดูสักหน่อย หากไม่มีปัญหาอันใด ก็เขียนจำนวนสินค้า พวกเราจะได้ลงชื่อกัน”
สัญญาฉบับนี้เป็นหนังสือสัญญาที่นายท่านฉินร่างเองกับมือ โดยอ้างอิงกับข้อเรียกร้องของอวี๋หวั่น แบ่งรายได้ของหอจุ้ยเซียนในเมืองหลวงให้แก่อวี๋หวั่นสามส่วน นอกจากนั้นก็มิได้หมายถึงสาขานี้เพียงสาขาเดียว หากภายภาคหน้า หอจุ้ยเซียนขยายสาขาในเมืองหลวง อวี๋หวั่นยังได้รับผลประโยชน์อีก เงื่อนไขก็คือลุงใหญ่ต้องอยู่ในฐานะพ่อครัวกิตติมศักดิ์ของหอจุ้ยเซียน ข้อนี้ใช้เพียงชื่อ จึงนับว่าไม่ยากอะไร เงื่อนไขที่สองก็คืออวี๋หวั่นต้องส่งสินค้าให้กับหอจุ้ยเซียนแต่เพียงผู้เดียว
“เดี๋ยวก่อน ไม่ได้เขียนว่าส่งสินค้าอะไร” อวี๋หวั่นพูด “นอกจากเต้าหู้เหม็นแล้ว นายท่านฉินยังต้องการให้พวกเราขายสินค้าอื่นให้ท่านอีกหรือ?”
นายท่านฉินกระแอม “ข้าว่าหน่อไม้ดองก็ไม่เลว”
เขาเคยชิมเส้นหมี่หลัวซือเฝิ่นที่อวี๋หวั่นทำแล้ว วัตถุดิบที่นับว่าเป็นจิตวิญญาณของอาหารชนิดนี้ก็คือหน่อไม้ดอง วัตถุดิบอื่นๆ นั้นหาได้ง่าย มีเพียงหน่อไม้ดองที่ไม่มีที่ใดเทียบกับของสกุลอวี๋ได้
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “นายท่านฉินชอบกินจริงๆ เลยนะ”
นายท่านฉินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าคิดชื่อได้แล้วด้วย เต้าหู้เหม็น เต้าหู้ยี้ หลัวซือเฝิ่น เรียกรวมกันว่า ‘จุ้ยเซียนสามเหม็น’”
อวี๋หวั่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คำนวณได้ดี แต่ข้าจำไม่ได้ว่าผลประโยชน์ของเราหมายรวมถึงหน่อไม้ดองนะ”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธข้า” นายท่านฉินส่งสัญญาณมือให้กับสารถีรถม้าด้านนอก
สารถียกสิ่งของที่ทำจากโลหะเข้ามา
นายท่านฉินถามว่า “นี่คือแม่แรงที่เจ้าอยากได้ใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ทำไมท่านทำแม่แรงได้เร็วเช่นนี้?”
นายท่านฉินกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำของสิ่งนี้ขึ้นมายากขนาดไหน? ต้าโจวควบคุมการใช้เหล็กเข้มงวดมาก ซื้อมีดสองเล่มยังต้องจดทะเบียน ข้าลงแรงไปมาก กว่าจะช่วยเจ้าทำสิ่งนี้ขึ้นมา เจ้าคงไม่ได้ต้องการเพียงชิ้นเดียวกระมัง? สามชิ้น? ห้าชิ้น?”
อย่างน้อยก็ยี่สิบชิ้น อวี๋หวั่นพูดในใจ
“ข้าอุตส่าห์เสี่ยงทำของชิ้นนี้ให้เจ้า” นายท่านฉินกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ “พอแล้ว ท่านไม่ต้องทำตัวน่าสงสารแล้ว ข้าขายหน่อไม้ดองให้ท่านก็ได้  เพียงแต่ว่าข้ายังไม่ได้เริ่มทำหน่อไม้ดองเลย งานที่โรงงานก็เยอะเหลือเกิน อย่างไรก็ต้องค่อยๆ เริ่มส่งของเดือนหน้า”
นายท่านฉินตอบรับ “ข้าไม่รีบ! เจ้าไม่ขายให้คนอื่นก็พอแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทมาจากบนเขา
นายท่านฉินสะดุ้งโหยง “เกิดอะไรขึ้น? แผ่นดินไหวอีกแล้วรึ?!”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่แผ่นดินไหว ด้านหลังเขามีคนบุกเบิกที่ดินรกร้าง”
แรงอะไรกันที่ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นแบบนี้ได้? โจรลักม้าหรือ?!
เมื่อความคิดนี้แล่นปราดผ่านเข้ามาในสมอง ก็ได้ยินเสียงกลองดังมาจากในหมู่บ้านอีกครั้ง!
นายท่านฉินสะดุ้งเฮือก “อะไรอีกเนี่ย?!”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “งานมงคลของหวังหมาจื่อ”
งานมงคลก็คืองานมงคล แต่ต้องเสียงดังเพียงนี้เลยรึ?! ฉลองเสียเอิกเกริกเช่นนี้ เป็นโสดมานับสิบปีหรืออย่างไรกัน?!
……
สุดท้ายแล้ว อวี๋หวั่นก็ตกลงเซ็นสัญญาขายเต้าหู้เหม็นในราคาสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน เต้าหู้ยี้ไหละหนึ่งร้อยอีแปะ ต้องส่งสินค้าจำนวนแปดร้อยจินต่อวัน ในส่วนของราคาและปริมาณหน่อไม้ดองนั้น ต้องรอให้ผลิตสินค้าออกมาก่อนค่อยตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายลงนามเรียบร้อย
นายท่านฉินเก็บสัญญาฉบับหนึ่งไว้กับตัว อีกฉบับหนึ่งส่งให้อวี๋หวั่นด้วยจิตใจที่เบิกบาน “ไอ้หยา จากนี้พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว! หากเจ้าว่างก็แวะมาที่หอจุ้ยเซียนได้ เจ้าก็เป็นเจ้าของด้วยเหมือนกัน!”
เจ้าของเหรอ?
อวี๋หวั่นชอบคำนี้
“ใช่สิ” หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถม้า นายท่านฉินก็นึกบางเรื่องออก เขาเลิกม่านขึ้นแล้วพูดกับอวี๋หวั่นว่า “หมู่บ้านของพวกเจ้ามีคนถูกจับไปเป็นทหารที่ชายแดนไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
นายท่านฉินกล่าวว่า “ซยงหนูพ่ายศึกแล้ว คนจากหมู่บ้านเจ้าคงจะได้กลับมาแล้วละ”
…………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset