อวี๋หวั่นกลับไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเฝ้าอยู่ข้างเตียงหลานชายสุดที่รัก มือผอมและเหี่ยวแห้งของนางจับมือเรียวของเยี่ยนจิ่วเฉาเอาไว้ คนชราหนึ่งคนหนุ่มหนึ่ง พวกเขาดูสงบจนไม่กล้ารบกวน
อวี๋หวั่นคิดว่า ภายนอกเยี่ยนจิ่วเฉาจะดูบ้าบิ่นไม่น่าคบ แต่ที่จริงแล้วจิตใจของเขาบริสุทธิ์กว่าผู้ใด ใครดีกับเขา เขาย่อมรู้ดี แม้แต่ความดีอันน้อยนิด เขาย่อมต้องตอบแทนสิบเท่า นี่เป็นเพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่ามีผู้ใดรักและเอ็นดูถึงเพียงนี้มาก่อน คนทำไม่ดีต่อเขานับว่าเป็นปกติมากกว่า
อวี๋หวั่นนึกถึงซั่งกวนเยี่ยน เซียวเจิ้นถิง และลุงวั่น
ที่เขาทำให้เห้อเหลียนฉีถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเพราะคำดูหมิ่นซั่งกวนเยี่ยนประโยคเดียว
หลายปีมานี้เขาเย็นชาใส่เซียวเจิ้นถิง นอกจากไม่อาจยอมรับว่ามีผู้ชายคนอื่นมาแทนท่านพ่อของเขาแล้ว ใครจะกล้าบอกว่าเขาไม่ได้กำลังปกป้องเซียวเจิ้นถิงอยู่? ฮ่องเต้เกรงกลัวเขาถึงเพียงนี้ หากความสัมพันธ์ของเขาและเยี่ยนจิ่วเฉาแน่นแฟ้นขึ้นมา พระองค์ยังจะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร?
ส่วนลุงวั่นนั้นเลี้ยงเยี่ยนจิ่วเฉามาจนโตด้วยความยากลำบาก เขาทำผิดเรื่องซูมู่ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช้เขาอีก แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเขา ทั้งยังส่งเขาไปปลดเกษียณยังเมืองเยี่ยน
เขาใจแข็ง แต่ก็มีส่วนที่อ่อนโยน
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป หมายจะอุ้มฮูหยินผู้เฒ่ากลับห้อง ทว่าทันทีที่แตะตัวนาง นางก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
“หลานชาย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าคว้ามือเยี่ยนจิ่วเฉาทันที
ทันทีที่ลืมตาขึ้น แล้วเห็นใบหน้าของอวี๋หวั่น นางก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “อาหวั่นนี่เอง เจ้ากลับมาแล้ว เมื่อครู่ไปหาลุงใหญ่มา เป็นอย่างไรบ้าง?”
อวี๋หวั่นพูดเสียงค่อยว่า “ดีเจ้าค่ะ ท่านย่า ท่านเหนื่อยแล้ว ข้าพาท่านเข้าไปพักผ่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากแยกจากเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังหลับอยู่บนเตียง นางค้อมกายที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยลงไปจัดผ้าห่มให้เขา “สองสามวันนี้อากาศเย็นลง เจ้าตื่นมาดูบ้าง อย่าให้เขาเตะผ้าห่ม”
“เจ้าค่ะ ท่านย่า” อวี๋หวั่นตอบ
ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นแขนหาอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นพยุงนางขึ้นมา
เมื่อนึกบางอย่างออก อวี๋หวั่นจึงหยิบแผ่นทองออกมา “คืนให้ท่านย่า”
“ใช้หมดแล้วหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าถาม
“เปล่าเจ้าค่ะ” ยังไม่ได้ใช้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบว่า “เจ้าเก็บไว้ก่อน ใช้หมดแล้วย่าจะให้แผ่นใหม่”
“…” อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร แม้จะบอกว่าท่านย่าเอ็นดูพวกเขา แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นหลานตัวปลอม หากนางจู้จี้จุกจิกบ้าอำนาจก็ว่าไปอย่าง แต่นางกลับทุ่มเทดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี อวี๋หวั่นไหนเลยจะกล้ายักยอกเงินทองของพวกเขา?
ช่างเถอะ ครั้งหน้าค่อยนำแผ่นทองไปคืนให้เห้อเหลียนเป่ยหมิง
อวี๋หวั่นพาฮูหยินผู้เฒ่ากลับห้องไป นางเหนื่อยแล้ว เอนกายหนุนหมอนก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะออกไป สาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าเรียกอวี๋หวั่น นางดูออกว่าทั้งสองได้รับความเอ็นดู จึงอยากประจบประแจง และเอ่ยชมอวี๋หวั่นว่า “…ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้กินอิ่มและหลับสนิทเช่นนี้มานาน ตั้งแต่คุณชายและฮูหยินน้อยย้ายเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็กินมากขึ้น สภาพจิตใจดีขึ้น…”
บลาๆๆ
คำพูดเหล่านี้จริงบ้างเท็จบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขนั้นเป็นเรื่องจริง แต่หากจะบอกว่านางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คงจะเกินจริงไปสักหน่อย อวี๋หวั่นพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ แล้วขอตัวออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นแล้ว เขาเดินตรงไปยังประตู ดวงตาโตจ้องเขม็ง
อวี๋หวั่นตกใจสายตาของเขาจนแทบกระโดด “เยี่ยนจิ่วเฉา?”
“กลับมาแล้วรึ” เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูก เบนสายตากลับมาแล้วนั่งลง
ข้า…ไปทำให้ท่านโกรธตอนไหนเนี่ย?
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าสามีของเธออาการผิดปกติ จึงเดินไปนั่งข้างเขา “เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางทำอะไรเจ้า?”
อวี๋หวั่นรู้สึกงงงวย นาง? นางไหน?
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างนี้ต้องไม่ใช่เพราะเขาหึงฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน ส่วนคนอื่นเธอก็ไม่ได้แตะต้องเลยนี่ ทันใดนั้นเองอวี๋หวั่นก็นึกถึงต่งเซียนเอ๋อร์
หมอนี่คงไม่ได้ถือโทษโกรธเรื่องต่งเซียนเอ๋อร์หรอกใช่ไหม?
เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่นะ!
“สตรีก็มีความสัมพันธ์กันได้” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“…” ลืมไปว่าเขาเติบโตในจวนท่านอ๋องและวังหลวง คงได้ยินเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปคิดไม่ถึงมามาก แต่เธอจะไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงแปลกหน้าได้อย่างไรละ? ถึงต่งเซียนเอ๋อร์จะงาม แต่สำหรับเธอแล้วก็ยังงามได้ไม่ถึงเสี้ยวของสามีเธอด้วยซ้ำ
“สามีข้างามที่สุดแล้ว ข้าจะไปมองนางได้อย่างไร?”
“นางแตะต้องเจ้าตรงไหน?”
“ข้าไม่ได้สนใจนางนี่!”
“แขนหรือว่าใบหน้า?”
“…ไหล่”
ในตอนนี้อวี๋หวั่นรู้แล้วว่าผู้ชายหึงนั้นน่ากลัวจริงๆ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้จะไม่หยาบคาย ไม่เอาแต่ใจ และใช้ความนุ่มนวลทำให้เธอไปไหนไม่รอดเช่นนี้
เธอก็เหมือนกับกุ้งตัวเล็กใกล้ตาย ทำได้แต่รอความตายอยู่ที่เดิม
ความอ่อนโยนนั้นทำให้คนเราไปไหนไม่ได้ และยอมหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไป
วันต่อมา ฟ้ายังไม่ทันสาง ต่งเซียนเอ๋อร์ก็ได้รับตะกร้าคลุมด้วยผ้าไหมสีแดงดูงดงาม นางถูกปลุกให้ตื่นนอนแต่เช้า ยังคิดเสียอีกว่าข้างในเป็นของล้ำค่า เมื่อรับมาดูกลับพบว่าเป็นไข่ไก่สีแดงสองใบ
ต่งเซียนเอ๋อร์ “…”
เช้าตรู่อากาศสดใส ครบกำหนดวันที่สามตามนัดหมาย ลุงใหญ่เห้อเหลียนก็หาปรมาจารย์พิษขั้นสูงมายังจวน เขาอายุประมาณห้าสิบปี มิได้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่ชุดยาวสีดำของปรมาจารย์พิษขั้นสูงนั้นทำให้เขาดูสง่างามน่าเกรงขาม
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเรียกเขาว่าใต้เท้าเยวี่ย
จากฐานะของเห้อเหลียนเป่ยหมิงในตอนนี้ หากจะเรียกใครสักคนว่าใต้เท้า ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดา
แต่จะว่าไป ไม่ใช่มีเพียงราชวงศ์ที่จะเชิญปรมาจารย์พิษได้หรอกหรือ?
ชิงเหยียนกลับไปล่วงรู้ความสงสัยที่ไม่อาจเก็บงำเอาไว้ได้ของอวี๋หวั่น ชิงเหยียนมาจากเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจมีการติดต่อกับหนานจ้าว เขาย่อมรู้ดีกว่าอวี๋หวั่น เขาอธิบายว่า “เมื่อเป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูงแล้วก็นับว่ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับเชิญจากราชวงศ์ แต่ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์พิษทุกคนจะต้องเข้าไปในวังหลวง มียอดฝีมือที่ชอบปลีกวิเวกอีกมาก”
เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์พิษเยวี่ยเดิมทีเป็นหนึ่งในปรมาจารย์พิษซึ่งชอบปลีกวิเวกของวังหลวง ไม่รู้ว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเชิญบุคคลระดับนี้มาได้อย่างไร แต่เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว เขาเป็นถึงเทพสงครามแห่งหนานจ้าว จะรู้จักปรมาจารย์พิษขั้นสูงสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในเผ่าปีศาจไม่มีระบบการสอบวัดระดับของปรมาจารย์พิษ ความสามารถเป็นอย่างไรทดสอบได้จากการต่อสู้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการแบ่งระดับเป็นปรมาจารย์พิษทั่วไปและปรมาจารย์พิษขั้นสูง ก็เหมือนกับการสอบซิ่วไฉในจงหยวน ที่สามารถเลื่อนระดับได้ในชั่วพริบตา ทั้งที่ความจริงแล้ว คนจำนวนมากหลงมัวเมากับชื่อเสียงและลาภยศ จนหลงลืมที่จะฝึกฝนวิชา
ปรมาจารย์พิษที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง มักจะผ่านความยากลำบากมาก่อน เช่นอาเว่ยเป็นต้น
ทำไมถึงนึกถึงเจ้านั่นอีกแล้วนะ?
ชิงเหยียนคิดว่าตนเองต้องเสียสติไปแล้ว เขานึกถึงเจ้านั่นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้านั่นเป็นตัวป่วน แต่ก็ยังนึกถึงเนี่ยนะ?
อีกด้านหนึ่ง เห้อเหลียนเป่ยหมิงแนะนำปรมาจารย์พิษเยวี่ยให้อวี๋หวั่นรู้จัก
กล่าวตามตรง ทัศนคติที่อวี๋หวั่นมีต่อปรมาจารย์พิษนั้นไม่ค่อยดีนัก เหตุผลหลักนั้นเป็นเพราะปรมาจารย์พิษเฮงซวย ไร้ยางอาย และอวดเก่งสองคนที่พบระหว่างทาง หนึ่งในนั้นถูกพวกเขาฆ่าตาย อีกคนหนึ่งถูกเห้อเหลียนเป่ยหมิงโยนทิ้งไว้กลางทาง
ไม่นานอวี๋หวั่นก็ตระหนักได้ว่าตนเองคิดมากไป ผู้อาวุโสแซ่เยวี่ยคนนี้ไม่อวดเก่งแม้แต่น้อย แต่เป็นคนน่าคบหามากทีเดียว
เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อพิสูจน์ของคำพูดหนึ่งว่า ‘น้ำเต็มขวดเขย่าแล้วไม่ส่งเสียงดัง น้ำครึ่งขวดเขย่าแล้วส่งเสียงดัง[1]’
“ผู้อาวุโสเยวี่ย” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ พร้อมกับกล่าวทักทาย วันนี้เธอก็ยังแต่งตัวเป็นผู้ชาย กระนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ยังแนะนำว่าเธอเป็นหลานสะใภ้ อวี๋หวั่นพูดด้วยเสียงของตัวเองว่า “ท่านเรียกข้าว่าอาหวั่นก็ได้”
ผู้อาวุโสเยวี่ยพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเกรงใจ แล้วเรียกเธอว่าอาหวั่น
เยี่ยนจิ่วเฉายังอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า ออกมาไม่ได้ อวี๋หวั่นคิดว่าเป็นอย่างนี้ก็ดี ผู้ชายคนนี้จะได้ไม่หึงหวงเมื่อพบหน้าแม่นางต่ง แล้วพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา อวี๋หวั่นแนะนำเจียงไห่และชิงเหยียน กับผู้อาวุโสเยวี่ย ส่วนเยว่โกวอยู่ในจวนกับเยี่ยนจิ่วเฉา
อย่างไรก็ดี อวี๋หวั่นกลับดูเบาความสามารถของสามีตนเองไปสักหน่อย ขณะที่อวี๋หวั่นเลิกม่านรถม้า ก็มีคนผู้หนึ่งเดินตึงตังขึ้นไปนั่งเบาะนั่งปูหนังเสือแล้วเรียบร้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เหอะ คิดว่าจะไปโดยไม่บอกข้าอีกแล้วหรือ? ฝันไปเถอะ!”
อะไรคืออีกแล้ว? ครั้งก่อนไปหอตี้อี ก็พาท่านไปแล้วไม่ใช่หรือไง?
อวี๋หวั่นรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรืออย่างไร เธอรู้สึกเหมือนตัวเธอเป็นผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่งซึ่งนัดพบกับชู้ แต่กลับถูกภรรยาหลวงจับได้เสียก่อน
ผู้ชายเฮงซวยจึงนั่งลง
สีหน้าของภรรยาหลวงบูดบึ้ง
ผู้ชายเฮงซวยจึงตัดสินใจปลอบภรรยาหลวง!
“ดูท่านสิ ข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านหรอกหรือ? แล้วข้าก็ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย มีคนคอยดูตั้งมาก ข้าจะไปทำอะไรได้? อีกอย่างข้ากังวลว่าท่านจะเหนื่อย ให้ท่านอยู่ที่นี่เพื่อที่ท่านจะได้พักผ่อน ท่านนอนหลับสักงีบ พอท่านตื่น ข้าก็กลับจวนมาพอดี”
“หึ” เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ฟัง เขายื่นท่อนแขนแกร่งออกมา แล้วดึงอวี๋หวั่นเข้าไปในอ้อมอก
อวี๋หวั่นมองเพดานรถม้า เธอน่าจะคิดมากไปเอง ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะร่างกายของเขากำลังทรมาน
เธอจึงปล่อยให้เขาหอมหัวลูกแมวต่อไป
อวี๋หวั่นไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะช่วยลดความทรมานในร่างกายของเขาได้แต่อย่างใด ทั้งหมดนี้มีผลทางจิตใจก็เท่านั้น
เธอคิดว่านี่อาจเป็นพลังแห่งความรัก
เมื่อวานแม่นางต่งให้คนนำความมาบอกว่า ‘ยามซื่อ ปี้ลั่วซานจวง รอพบพวกท่าน’
สถานที่ซึ่งพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปในตอนนี้มีชื่อว่าปี้ลั่วซานจวง ผู้ที่บังคับรถม้าก็คือเจียงไห่ ทว่าชิงเหยียนรู้จักเมืองหลวงดีกว่าเจียงไห่มาก เพราะฉะนั้นอวี๋หวั่นจึงให้สลับหน้าที่กัน เจียงไห่ไปบังคับรถม้าของผู้อาวุโสเยวี่ย
เจียงไห่มีสีหน้าย่ำแย่เหลือเกิน
จากคำบอกเล่าของชิงเหยียน อวี๋หวั่นเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าปี้ลั่วซานจวงคืออะไร โดยสรุปแล้วก็น่าจะเหมือนกับบ้านพักตากอากาศกลางหุบเขาในโลกปัจจุบัน เดิมทีเป็นสวนป่าของราชวงศ์ จากนั้นเมื่อพวกเขาไม่ต้องการแล้ว ก็ขายให้กับพ่อค้า จากนั้นก็นำมาทำเป็นสถานที่ซึ่งเรียกว่าปี้ลั่วซานจวง
อวี๋หวั่นถามว่า “สวนป่าของราชวงศ์สามารถขายได้หรือ? ราชวงศ์หนานจ้าวต้องการเงินหรืออย่างไร?” เรื่องแบบนี้ฟังดูห่างไกลกับราชวงศ์ของต้าโจวเหลือเกิน ต้องการเงินหรือไม่ต้องการเงินเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือขายหน้า สวนป่าของราชวงศ์ใช้สำหรับพักผ่อน ไม่มีใครคิดจะขาย
ชิงเหยียนหัวเราะ “ไม่เกี่ยวอะไรกับเงินหรอก ราชวงศ์หนานเจ้าก็มีเงิน เพียงแต่ว่าที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งอวิ๋นเฟยเคยมาหลบอยู่ระหว่างที่ตั้งครรภ์ อวิ๋นเฟยให้กำเนิดทารกซึ่งเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง องค์ประมุขจึงคิดว่าที่นี่แปดเปื้อนความอัปมงคล จึงขายทิ้งไปเสีย”
เป็นเพราะที่นี่คือที่อยู่ของสองแม่ลูกซึ่งเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จะมอบให้ผู้ใดก็คงไม่เหมาะนัก จึงทำได้เพียงขายให้พ่อค้าในราคาถูก
………………………………………..
[1] น้ำเต็มขวดเขย่าแล้วไม่ส่งเสียงดัง น้ำครึ่งขวดเขย่าแล้วส่งเสียงดัง เปรียบเปรยว่าผู้มีความสามารถมักไม่โอ้อวด แต่ผู้ที่ไม่มีความสามารถมักคุยโวโอ้อวด