บทที่ 20 ครอบครัวพร้อมหน้า (1)
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นซึ่งได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง “…”
สุดท้ายแล้ว อวี๋หวั่นก็มิได้ย่อท้อต่อการทำอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่านพ่อก็ชอบอาหารที่เธอทำนะ!
วินาทีที่บุตรสาวถือมีดออกมา อวี๋เซ่าชิงซึ่งไม่ได้กลับบ้านมานานและกำลังจะมีช่วงเวลาอันแสนหวานกับภรรยาก็ขมวดคิ้วแล้วพุ่งปราดไป เขาไม่รู้ และคิดว่าศัตรูเข้ามาในห้องครัว จึงลุกขึ้นมาหมายจัดการให้สิ้น
ท่านพ่อต้องหิวมากแน่เลย!
อวี๋หวั่นคิดอย่างเป็นกังวล
“อาหวั่น!” อวี๋เซ่าชิงหายใจเข้าลึกๆ แล้วดึงมีดออกมาจากมือของอวี๋หวั่น “ข้าทำอาหารเอง เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เถอะ”
“หา?” เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? ท่านพ่อที่ก่อนหน้านี้จะสังหารศัตรู พูดเองหรือว่าจะทำอาหาร? ลุงใหญ่ทำอาหารก็เพราะเขาเป็นพ่อครัว เขาชอบศึกษาการทำอาหาร แต่เขาก็ทำเพียงบางครั้ง ปกติแล้วก็เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ทำอาหาร
“ท่านพ่อ ข้าทำเองเถอะ ท่านเดินทางมาเหนื่อย” อวี๋หวั่นพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ พ่อของเธอเป็นถึงวีรบุรุษที่ปกป้องประเทศ เธอจะให้วีรบุรุษมาเข้าครัวได้อย่างไร?
“ไม่ได้! ข้ากับแม่เจ้าให้เจ้าเกิดมา ไม่ได้ให้มาอยู่ก้นครัว งานหนักเช่นนี้ไม่ควรให้เด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างเจ้ามาทำ!” อวี๋เซ่าชิงซึ่งปกติเป็นคนพูดน้อย บัดนี้กลับมีคำพูดมากมายพรั่งพรูออกมา เพียงเพื่อชิงอำนาจในห้องครัวกลับมา
อวี๋หวั่นเห็นพ่อของเธอมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวไม่ถนอมน้ำใจของเธอ จะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องถนอมน้ำใจ เธอโตแล้ว ช่วยที่บ้านทำงานได้แล้ว
สุดท้ายอวี๋หวั่นก็ต้องยอมแพ้ส่งมอบห้องครัวให้บิดา
อวี๋หวั่นมองไปยังท่านพ่อซึ่งกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา
พ่อฉันรักฉันจริงๆ รักมากๆ ด้วยแฮะ!
ในขณะเดียวกัน อวี๋เซ่าชิงกำลังหั่นผักและกำลังจะไปเติมถ่าน ในสมองเต็มไปด้วยประโยคว่า ‘หากรักชีวิต อย่าคิดให้ลูกสาวทำอาหาร!’
เนื่องจากไม่รู้ว่าอวี๋เซ่าชิงจะกลับมา ที่บ้านจึงไม่ได้ซื้อผักเตรียมเอาไว้ ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาผ่านตลาดขายผักหลายแห่ง ทว่าสองพ่อลูกสนทนากันจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
โชคดีที่ที่บ้านยังมีปลารมควันและเนื้อรมควันที่เหลือในคืนวันส่งท้ายปี นอกจากนั้นก็ยังมีหน่อไม้ ผักขมป่า และหัวไช้เท้าที่ป้าไป๋ให้มา
อวี๋เซ่าชิงนึ่งปลารมควันหนึ่งชาม ทำเนื้อรมควันผัดหน่อไม้หนึ่งหม้อ ผักโขมผัดหนึ่งจาน และหัวไช้เท้าเส้นผัดอีกหนึ่งจาน
มองก็รู้แล้วว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อน ทำมาตั้งมากมาย!
อวี๋หวั่นแอบคิดว่า พ่อของเธอใช้มือฆ่าศัตรู ไม่ได้ใช้มือทำอาหาร ถ้าอาหารที่เขาทำไม่อร่อย เธอก็ควรจะไว้หน้าเขาสักหน่อย
ก็เธอเป็นลูกกตัญญูนี่นา
เถี่ยตั้นน้อยไปเรียกครอบครัวของลุงใหญ่ อวี๋หวั่นจึงแอบกินเนื้อแดดเดียวที่เหลืออยู่ในหม้อ
แม่เจ้า…ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้?!
……
เถี่ยตั้นน้อยวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ไปเรียกพวกลุงใหญ่ที่บ้านเดิมมา ในตอนที่ป้าสะใภ้ใหญ่ออกไปเก็บผ้า นางก็เห็นสายตาของชาวบ้านมองมาจากบ่อน้ำเก่า นางเองก็ยังสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ควรให้อวี๋ซงไปสืบมาดีหรือไม่ แต่บังเอิญว่าเถี่ยตั้นน้อยมาถึงหน้าบ้านพอดี ครั้นได้ยินว่าอวี๋เซ่าชิงกลับมาแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ยังคิดว่าเขาล้อเล่น
เมื่อคนทั้งครอบครัวเดินไปยังบ้านเก่าของสกุลติง ก็เห็นอาชาศึกตัวสูงสง่าผูกอยู่ที่หน้าบาน ในใจก็เชื่อขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง!
ลุงใหญ่ถึงกับโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น “น้องสาม?”
อวี๋เซ่าชิงซึ่งเพิ่งถอดชุดเกราะก็เดินออกมา เมื่อเห็นพี่ใหญ่ของตน ขอบตาก็ร้อนขึ้นมา เขารีบจ้ำเข้าไปหา
“น้องสาม!”
“พี่ใหญ่!”
สองพี่น้องพยุงแขนของกันและกันด้วยความตื่นเต้น ลุงใหญ่กอดน้องชายของตน ตื้นตันจนพูดไม่ออก
น้องสามซึ่งออกรบแทนเขา ในที่สุดก็หวนคืนสู่บ้านเกิดอย่างปลอดภัย!
หลายปีมานี้ ไม่มีคืนไหนเลยที่เขาไม่กังวล กลัวว่าน้องสามจะโชคร้ายตายแทนเขา ทว่าฟ้ามีตา น้องสามกลับมาแล้ว…กลับมาแล้วจริงๆ !
“หลายปีมานี้…จะ…เจ้า…เจ้าลำบากแย่เลย…” ลุงใหญ่ร่ำไห้จนพูดไม่เป็นศัพท์
บุรุษฉกรรจ์ร้องไห้ประหนึ่งเด็กน้อย แต่ทุกคนในบ้านล้วนไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเขา หัวใจของเขาแบกรับความทุกข์ทรมานมานานหลายปี เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีเท่าคนสกุลอวี๋
เขายินดีตาย แต่จะไม่ยอมให้น้องสามเป็นอะไร
ที่โชคดีก็คือ อวี๋เซ่าชิงมีชีวิตรอดกลับมา
“พี่ใหญ่ ขาท่าน…” อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว มองไปยังขาขวาที่สั่นเทิ้มของลุงใหญ่
ลุงใหญ่กล่าวเลี่ยงว่า “ล้มนิดหน่อย เกือบจะหายดีแล้ว! ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด!” ด้วยกลัวว่าอวี๋เซ่าชิงจะซักไซ้ไล่เลียง เขารีบหันหน้าไป “อาเซียง!”
ป้าสะใภ้ใหญ่ปาดน้ำตาแล้วรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้า
อวี๋เซ่าชิงมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ของตน กล่าวกันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเสมือนมารดา สำหรับเขาแล้ว เขาก็เคารพพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างมาก
“พี่สะใภ้ใหญ่!”
“เอ้อ!” พี่สะใภ้ใหญ่พยักหน้าพลางสะอึกสะอื้น
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงก็ตามติดอยู่ด้านหลังบิดาและมารดา ทั้งสองมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ในตอนที่อวี๋เซ่าชิงจากไป อวี๋เฟิงเพิ่งจะอายุสิบสี่ อวี๋ซงอายุสิบสอง เป็นวัยที่รู้ความแล้ว ทว่าอาสามในความทรงจำของพวกเขากับอาสามในตอนนี้แตกต่างกันมาก
อาสามดู…ยิ่งใหญ่และสง่างามมากกว่าเดิม
นี่คือหลานชายทั้งสองซึ่งเคยเดินตามเขาต้อยๆ หลายปีผ่านไป เวลาทำให้พวกเขาห่างกันมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ความรักที่อวี๋เซ่าชิงมีต่อพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ในดวงตาของอวี๋เซ่าชิงหลงเหลือความอบอุ่นและรอยยิ้ม “คงเป็นเสี่ยวเฟิงกับเสี่ยวซงกระมัง? โตขึ้นมาก สูงขึ้นด้วย”
สูงกว่าบิดาของพวกเขาเสียอีก
ลุงใหญ่ถลึงตาใส่บุตรชาย “ยืนงงอะไรกัน รีบเรียกอาพวกเจ้าสิ!”
อวี๋เฟิง “อาสาม!”
อวี๋ซง “อะ…อาสาม!”
อวี๋เซ่าชิงลูบศีรษะของอวี๋ซง “ตอนนี้ยังแอบดูแม่นางน้อยอาบน้ำอยู่หรือเปล่า?”
“ท่านอา!” อวี๋ซงอับอายจนหน้าแดงก่ำ!
อวี๋หวั่นทำตาโต มองไปยังพี่ชายคนรองผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องของเธอ ที่แท้เขาก็มีประวัติด่างพร้อยเคยแอบดูผู้หญิงอาบน้ำหรอกหรือ?
นั่นเป็นเรื่องตอนเด็กของอวี๋ซง เขาอยู่กับเด็กน้อยผมยังไม่ยาวกลุ่มหนึ่ง ได้ยินว่าในลำห้วยมีสตรีกำลังอาบน้ำอยู่ ไม่รู้ว่าใครนำพาไป พวกเขาจึงวิ่งไปแอบดู อวี๋ซงไม่อยากถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว จึงตามไปด้วย เมื่อไปถึงก็พบว่าเป็นหวังหมาจื่อกำลังอาบน้ำ เล่นเอาพวกเขาถึงกับระคายสายตาไปตามๆ กัน!
เรื่องนี้มิใช่เรื่องน่าขันแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่อวี๋เซ่าชิงรู้เข้า ก็กักพวกเขาเอาไว้ในหมู่บ้าน และลงโทษพวกเขาอย่างแรง
หลังจากถูกตีอย่างเจ็บแสบ พวกเขาก็ไปพูดกันลับหลังว่า อวี๋เซ่าชิงแอบมีใจให้หวังหมาจื่อ…
เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจว่าสิ่งที่อาสามทำก็เพื่อสั่งสอนพวกเขา ทว่าในตอนนั้น อาสามก็จากไปชายแดนเสียแล้ว
เมื่อในบ้านมีเสียงครึกครื้น บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมา
หลังจากนั้น เจินเจินก็จูงมือน้องสาวออกมา “นี่คือน้องเจินเจิน”
“เจินเจิน เรียกอาสามสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่บอก
เจินเจินตัวน้อยเรียกท่านอาอย่างว่าง่าย “อาสาม”
อวี๋เซ่าชิงยิ้ม “เด็กดี”
ป้าสะใภ้ใหญ่ไปยกกับข้าวที่บ้านเดิมมา ทุกคนจึงนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“ท่านแม่เสียไปเมื่อปีก่อน…” ลุงใหญ่กล่าวด้วยความเศร้าโศก “ก่อนเสียไปก็ยังเป็นห่วงเจ้าอยู่ พร่ำเรียกแต่ชื่อเจ้า ข้าบอกว่าเจ้าจวนจะกลับมาแล้ว ต้องกลับมาอย่างแน่นอน…”
เรื่องน่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตมนุษย์ก็คือเมื่อบุตรยินดีจะเลี้ยงดู แต่บุพการีลาลับโลกนี้ไปแล้ว อวี๋เซ่าชิงรู้มาตลอดว่าตนไม่ใช่ลูกแท้ๆ ทว่าผู้เฒ่าทั้งสองเลี้ยงดูเขาราวกับลูกแท้ๆ เขาไปออกรบ แม้แต่มารดายังมิอาจได้พบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย…
อวี๋เซ่าชิงน้ำตาคลอเบ้า “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่หลุมศพของท่านแม่”
ป้าสะใภ้ใหญ่สูดจมูกฟึดฟัด “กว่าน้องสามจะกลับมาได้ ท่านพูดเรื่องที่ทำให้มีความสุขสักหน่อยจะดีกว่า”
“ไม่พูดแล้ว ดื่มเหล้าๆ” ลุงใหญ่เปิดไหสุรา
ลุงใหญ่ดื่มยาสมุนไพร จึงไม่ควรดื่มสุรา ทว่าวันนี้เขารู้สึกยินดีปรีดา จึงดื่มไปสองสามจอก
อวี๋เซ่าชิงนึกบางเรื่องออก จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วลูกชายสกุลจ้าวเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าจำได้ว่าเขาชอบเรียนหนังสือ ไปสอบแล้วหรือยัง? เป็นอย่างไรบ้าง?”
แน่นอนว่าเขาหมายถึงจ้าวเหิง หลังจากที่อวี๋หวั่นและจ้าวเหิงแตกหักกัน คนสกุลอวี๋ก็ไม่ได้นึกถึงคนผู้นี้มาเป็นเวลานานแล้ว เมื่ออวี๋เซ่าชิงเอ่ยถึงเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทุกคนล้วนรู้สึกประหลาดใจ
พวกเขาจะบอกกับเขาอย่างไรดี? อาหวั่นกับจ้าวเหิงหมั้นหมายกันมาตั้งแต่ยังเล็ก บัดนี้ถอนหมั้นกันแล้ว อะไรต่อมิอะไร?
ทุกคนล้วนหันไปมองอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นก้มหน้ากินข้าวอย่างมิได้ยี่หระ
กลับเป็นเถี่ยตั้นน้อยที่ไร้เดียงสา คิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้น “ข้าได้ยินจากสือโถวว่าพวกเขาย้ายออกไปแล้ว! พวกเขาไม่อยากคืนเงินท่านพี่ จึงถือโอกาสที่ทุกคนหลับตอนกลางดึก แอบย้ายออกไป!”
มิน่าเล่าช่วงนี้ถึงไม่เห็นคนสกุลจ้าวเลย แม้แต่ตอนกลางดึกที่เหล่าโจรลักม้าบุกมาก็ไม่เห็นพวกเขา ที่แท้ก็หนีไปแล้วรึ?
เหลวไหลทั้งเพ หากเป็นพี่ใหญ่ข้าจะต้องคืนเงินให้พวกเจ้าอยู่แล้ว! ไม่ใช่แค่สามร้อยตำลึงหรอกหรือ? คิดว่าพี่ใหญ่ข้าหามาคืนไม่ได้หรืออย่างไร?
เพ้อเจ้อ!
ว่าแต่เขาจะหามาจ่ายได้จริงหรือ?
อวี๋ซงแค่นหัวเราะ “ข้าคิดว่าเขาจะมีมโนสำนึกมากกว่านี้เสียอีก”
เพื่อที่จะหนีหนี้สินสามร้อยตำลึง จึงหลบหนีออกไปกลางดึก
ข้อตกลงก่อนหน้านี้ก็คือ ถ้าหากไม่คืนเงินทั้งหมดภายในสามเดือน พวกเขาจะต้องย้ายออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวา แต่ว่ายังไม่ทันครบสามเดือน พวกเขาก็หนีหัวซุกหัวซุนไปเสียแล้ว
“ชิ หน้าไม่อาย!” ป้าสะใภ้ใหญ่บริภาษ
“หน้าไม่อาย!” เจินเจินพูดตาม
ป้าสะใภ้ใหญ่ชะงัก แล้วเอื้อมมือปิดปากบุตรสาว “นี่ เจินเจินเด็กดี คำนี้พูดไม่ได้นะ”
อวี๋เซ่าชิงเหลือบมองบุตรสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว แล้วมองไปยังภรรยาที่ไม่พูดไม่จา ก็นึกในใจว่าเขาจากบ้านไปนานหลายปี คงมีเรื่องเกิดขึ้นมาก…
บางเรื่องก็ไม่ควรพูดต่อหน้าเด็ก เรื่องของจ้าวเหิงถูกปัดตกไป ลุงใหญ่กล่าวถึงเรื่องกิจการของครอบครัวแทน เขาเอ่ยชื่นชมว่าอวี๋หวั่นมีความสามารถ และกล่าวถึงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกิน ก็ล้วนมาทำงานในโรงงานของสกุลอวี๋ ทั้งยังเอ่ยถึงพ่อครัวเทพเป้าและโจรลักม้า รวมไปถึงแม่หม้ายหลิวและหวังหมาจื่อ…
เมื่อกินอาหารมื้อนี้เสร็จเรียบร้อย ก็ย่างเข้ายามดึก เถี่ยตั้นน้อยและเจินเจินต่างหลับอยู่ในอ้อมอกของมารดาตน ลุงใหญ่และอวี๋เซ่าชิงต่างก็ดื่มสุรากันเสียจนเมามาย ใบหน้าแดงก่ำ
“เจ้าสามข้า…ข้าจะบอกเจ้าให้…ข้าน่ะนะ…”
ตึง!
เขาผล็อยหลับจนศีรษะกระแทกกับโต๊ะ
“ชิ!” ป้าสะใภ้ใหญ่เหลือบมองสามีของตนด้วยความเอือมระอา แล้วจึงมองไปยังเจ้าสามซึ่งก็เมาจนไม่ได้สติเช่นกัน แล้วบอกกับนางเจียงว่า “น้องสะใภ้ พยุงเจ้าสามเข้าไปเถอะ”
…………………………………………..