แม้แต่นางกำนัลที่นำข่าวไปกราบทูลก็ยังไม่คาดคิดเลยว่าสองแม่ลูกสกุลเห้อเหลียนจะปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์ องค์ประมุขแห่งหนานจ้าวมีพระธิดาสองคน พระธิดาองค์โตถูกขับไล่ไปแล้ว ส่วนพระธิดาองค์เล็กเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ในภายภาคหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา องค์ประมุขรักและเอ็นดูพระธิดามากเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี ฉะนั้นต่อให้เป็นเพียงงานวันเกิดก็ไม่ควรปฏิเสธ
งานวันเกิดของคนที่บ้าน ย้ายไปฉลองวันอื่นก็ยังได้ เหตุใดต้องสร้างความขัดแย้งกับประมุขหญิงด้วย? คนที่บ้านก็ไม่ใช่ตี้จีองค์โตสักหน่อย จริงๆ เลย!
“แม่ทัพใหญ่คนนี้นี่นะ ไม่รู้งานเอาเสียเลย…”
ด้านหนึ่ง นางกำนัลกลับวังไปกราบทูลองค์ประมุข อีกด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นก็เริ่มขบคิดเรื่องของขวัญวันเกิดของนางเจียง เธอไม่รู้ว่านางกำนัลมาที่นี่ ไม่รู้ว่าท่านแม่ของเธอเกิดวันเดียวกับตี้จีองค์เล็ก แต่ต่อให้เธอรู้ เธอก็คงไม่ได้คิดมากจนไม่เป็นอันเตรียมของขวัญให้นางเจียง
“ให้อะไรท่านแม่ดีนะ?”
อวี๋หวั่นนั่งใคร่ครวญอยู่ในห้อง
เยี่ยนจิ่วเฉาอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ข้างเธอ หนังสือเล่มนั้นก็ยังคงเป็นหนังสือภาพที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงให้เด็กน้อยทั้งสาม!
เขาอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าเขากำลังวางแผนการรบอยู่
“เยี่ยนจิ่วเฉา…”
อวี๋หวั่นเอ่ยปาก เยี่ยนจิ่วเฉาก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากเธอ สายตาของเขายังคงไม่ละไปจากหน้าหนังสือ เขาร้อง ‘โอ้’ แล้วก็พลิกหน้าหนังสือ
อวี๋หวั่น “…”
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็ตัดสินใจได้ว่าจะให้แป้งชาดชั้นดีกับนาง เพราะจากการสังเกตของเธอ ท่านแม่ชื่นชอบแป้งชาดมาก ตั้งแต่ที่เยี่ยนจิ่วเฉาส่งของมีค่าเหล่านั้นไปที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ท่านแม่ก็ใช้แป้งชาดจนหมด ถึงแม้ว่าครึ่งหนึ่งจะถูกใช้ไปกับการเติมหน้าทาปากให้เด็กๆ แต่ก็สรุปได้ว่าท่านแม่ชอบแป้งชาด!
เมื่อตกลงปลงใจเช่นนั้นแล้ว อวี๋หวั่นก็นึกออกว่ามีร้านขายแป้งชาดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อสอบถามตำแหน่งที่ตั้งจากสาวใช้ในจวนเรียบร้อยแล้ว เธอจึงออกจากจวนไป
ทว่าขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูนั้น เด็กน้อยทั้งสามก็วิ่งเตาะแตะมาหาพร้อมกับกอดขาของเธอไว้แน่น
“จะไป” เสี่ยวเป่าบอก
“แม่ไปซื้อแป้งชาด พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าอยากไป? แน่ใจหรือว่าไม่ได้อยากไปร้านขายถังหูลู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม?” ถ้าจำไม่ผิด มีร้านขายถังหูลู่เปิดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายแป้งชาด
เด็กน้อยทั้งสามส่ายหน้าด้วยท่าทางบ้องแบ๊ว
พวกเขาไม่ได้อยากกินถังหูลู่สักหน่อย
ไม่ใช่เลยสักนิด
ซู้ดด!
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขัน พลางยกมือขึ้นดึงแก้มนุ่มๆ ของพวกเขา แล้วพาพวกเขาออกไป
ร้านค้านั้นอยู่ไม่ไกล เดินออกจากจวนไป ผ่านตรอกสายหนึ่งก็ถึงแล้ว อวี๋หวั่นไม่ได้นั่งรถม้า เพียงแต่ให้เด็กๆ เดินตามด้านหลังเธอ
เด็กน้อยทั้งสามเดินเข้าไปในตรอก ก็กระโดดโลดเต้นราวกับม้าป่าหลุดจากบังเหียน
“จับข้าให้ได้สิ! จับข้าให้ได้สิ!”
เสี่ยวเป่าวิ่งนำหน้าไป
เอ้อร์เป่าไม่ยอมน้อยหน้า ตามเสี่ยวเป่าไปติดๆ พร้อมกับหันหน้ามาบอกต้าเป่าว่า “เจ้าจับข้าให้ได้สิ!”
เด็กน้อยทั้งสองชอบรังแกต้าเป่าซึ่งพูดไม่ได้ ทว่าทั้งสองคล้ายจะคำนวณผิดพลาดไปสักหน่อย เดิมทีคิดจะให้
ต้าเป่าวิ่งไล่พวกเขา ปรากฏว่าเมื่อหันหลังกลับไปก็ไม่เห็นต้าเป่าเสียแล้ว และเมื่อหันกลับไปมองด้านหน้า ต้าเป่าก็วิ่งทิ้งห่างพวกเขาไปไกลแล้ว
เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่ายืนอ้าปากค้าง “…”
ต้าเป่าวิ่งไปยังร้านขายถังหูลู่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็วิ่งไม่ไหวแล้ว ท่าทางของเขาราวกับกำลังบอกว่า ‘ข้าไม่ได้ซู้ดด…..ออกมาเพราะถังหูลู่สักหน่อย…ซู้ดด…เป็นเด็กดีซู้ดด…ถึงออกมากับท่านแม่ต่างหาก’
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันเหลือเกิน เด็กๆ ยืนจ้องตาไม่กะพริบ บนใบหน้าของเขาเขียนว่า ‘ข้าไม่กิน ข้าไม่กิน ข้าไม่กิน’
ทว่าน้ำลายหยดไปเสียแล้ว
ทำไมลูกของเธอน่ารักขนาดนี้นะ?
หากเป็นเสี่ยวเป่ากับเอ้อร์เป่าทำเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็คงทนได้ แต่ต้าเป่าเป็นคนเดียวที่พูดไม่ได้ ทั้งยังถูกน้องชายทั้งสองแกล้งอยู่เป็นเนืองนิจ อวี๋หวั่นก็ใจอ่อน ไม่อาจเพิกเฉยได้
เป็นเพราะต้าเป่า สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็พาเด็กน้อยทั้งสามไปยังร้านขายถังหูลู่
ทั้งสามคนมีความสุขจริงๆ!
เจ้าของร้านรู้จักเด็กน้อยทั้งสามอยู่แล้ว และรู้ว่าพวกเขาชอบกินรสชาติใด เพียงแต่แยกพวกเขาไม่ออกก็เท่านั้น
“เสี่ยวเป่าเอา อันนี้” เสี่ยวเป่าเขย่งปลายเท้า ชี้ไปยังถังหูลู่ไม้ใหญ่ที่สุด เป็นน้องสุดท้อง แต่กลับชอบกินชิ้นที่ใหญ่ที่สุดเสมอ
เอ้อร์เป่ายังคงเลือกส้มเคลือบน้ำตาล
ต้าเป่ากินองุ่นเคลือบน้ำตาล
ทั้งสามส่งถังหูลู่ของตนให้อวี๋หวั่นกินก่อน แต่อวี๋หวั่นไม่ชอบกินของหวาน “พวกเจ้ากินเถอะ แม่ไม่ชอบกิน”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสามคนจึงเริ่มกัดถังหูลู่
บนใบหน้าน้อยๆ ของพวกเขา เผยให้เห็นฟันซี่เล็กๆ ดูขาวสะอาด กำลังกัดถังหูลู่ลูกวาวใส พวกเขาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างก็หันไปมอง พร้อมกับพยายามคาดเดาว่าเป็นลูกหลานบ้านไหน
แฝดสามไม่ได้พบเห็นได้ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นฝาแฝดที่ตัวดำเช่นนี้ก็พบเห็นได้ยากยิ่ง กระนั้นแม้จะดำก็ยังน่ารัก พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
อวี๋หวั่นใบหน้างดงามผิวขาวผ่อง แต่กลับถูกเด็กน้อยผิวเข้มแย่งชิงความสนใจไปหมด
พ่ายแพ้ต่อลูกๆ อย่างสิ้นเชิง
อวี๋หวั่นจ่ายค่าถังหูลู่ของลูกๆ จากนั้นก็พาพวกเขาไปยังร้านขายแป้งชาด
สิ่งที่อวี๋หวั่นมิได้คาดคิดก็คือ ทันทีที่ก้าวข้ามประตูร้านเข้าไป ก็บังเอิญพบกับคนผู้หนึ่งเข้า
ราชครูแห่งหนานจ้าว!
โลกกลมจริงๆ เลย!
โชคชะตาแบบไหนกันเนี่ย เจอผู้ชายคนนี้ที่วัดพิษครั้งหนึ่งแล้วไม่พอ ยังต้องมาเจอเขาที่ร้านขายแป้งชาดอีกหรือ?
ชายฉกรรจ์คนนี้ ไม่สิ ต้องเรียกว่าชายชรา จะมาซื้อแป้งชาดไปทำอะไร?
แน่นอนว่าราชครูไม่จำเป็นต้องใช้แป้งชาด แต่ในยาของเขาอาจยังต้องใช้เครื่องหอมที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด แม้แต่องค์หญิงน้อยก็ยังรู้จักร้านขายแป้งชาดแห่งนี้ ร้านนี้เป็นร้านขายแป้งชาดชั้นดี หากราชครูจะมาซื้อเครื่องหอมก็คงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ทว่าอวี๋หวั่นไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง จึงคิดเพียงว่าตนโชคร้าย หลายวันมานี้ออกมาสามครั้ง บังเอิญเจอราชครูไปแล้วถึงสองครั้ง
ราชครูไม่เพียงแต่รู้จักเธอ ยังรู้จักเด็กน้อยทั้งสาม หากจะบอกว่าราชครูเห็นพวกเขา จะมาอ้างว่าเป็นคนหน้าเหมือนก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้ หน้าตาเหมือนกันเพียงคนเดียวยังไม่เท่าไร แต่ทั้งบ้านหน้าตาเหมือนกันจะไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ?
ร้านขายแป้งชาดก็เข้าไปไม่ได้แล้ว แต่จะไปหลบที่ไหนดี?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังลังเลอยู่นั้น ราชครูก็เดินมาทางเธอ
คล้ายกับว่าราชครูจะมองมาทางนี้ด้วย
อวี๋หวั่นจับเด็กน้อยทั้งสามเข้ามาด้านหน้า แล้วใช้ร่างของเธอและกระโปรงบังเด็กน้อยทั้งสามไว้
ทว่าราชครูเดินเข้ามาแล้ว
อวี๋หวั่นนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง เธออุ้มเด็กน้อยทั้งสามคนขึ้นมา จากนั้นก็เดินกลับไปโดยไม่หันหลังกลับมา
เธอเดินผ่านถนนซึ่งมีผู้คนและรถราพลุกพล่าน เดินเข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่ง
บังเอิญเหลือเกิน วันนี้ภัตตาคารแห่งนี้เชิญคนมาแสดงมุขปาฐะ ในห้องโถงใหญ่แน่นขนัดจนไม่มีที่นั่ง ทุกคนล้วนแต่ถูกนักเล่าเรื่องดึงดูดเข้ามา ไม่มีผู้ใดสนใจว่าอวี๋หวั่นจะอุ้มเด็กเข้ามา
อวี๋หวั่นขึ้นไปชั้นสอง พุ่งเข้าไปยังห้องแรกด้านซ้ายมือ ดูเหมือนว่าในห้องจะไม่มีคน เธอปล่อยลูกๆ ลงบนเตียง แล้วยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงปรามพวกเขาว่าอย่าส่งเสียง “ชู่วว อย่าพูด”
ทั้งสามพยักหน้าอย่างว่าง่าย
อวี๋หวั่นปล่อยม่านลง ส่วนตนก็หลบเช่นกัน
ไม่นานก็มีคนเข้ามา
อวี๋หวั่นกำมีดสั้นในมือแน่น เธอคิดไว้แล้วว่า ไม่อาจให้ราชครูรู้ถึงตัวตนของเธอในตอนนี้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้อีกต่อไป ถ้ายังไม่ได้ตัวยา ใครอย่าได้คิดจะไล่พวกเขาออกจากหนานจ้าว
‘อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้า…’
ในใจของอวี๋หวั่นกู่ร้อง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง ‘แคว่ก’ ม่านถูกเปิดออก
ทว่าไม่ใช่ราชครู หากแต่เป็นภิกษุชุดสีฟ้าอ่อน
“เป็นท่าน?” อวี๋หวั่นจดจำเขาได้
หมวกสานของเขาใบใหญ่ บดบังใบหน้าของเขาจนมิด ก่อนหน้านี้อวี๋หวั่นเคยพบเขามาก่อน แต่ก็ไม่เคยได้เห็นใบหน้าของเขา วันนี้บังเอิญเหลือเกินที่เธอนั่งอยู่บนเตียง เขายืนอยู่ข้างเตียง เธอจึงเงยหน้าไปมอง และได้เห็นใบหน้างามล่มเมืองของเขาด้วยตาตนเอง
อวี๋หวั่นตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอตกตะลึงเรื่องอะไร
ภิกษุชุดสีฟ้าอ่อนปล่อยม่านลง
อวี๋หวั่นได้ยินราชครูถามว่า “เจ้าเห็นสตรีที่อุ้มเด็กสามคนมาบ้างไหม?”
“ไม่เห็น” ภิกษุตอบ
อวี๋หวั่นถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอออกจะรู้สึกแปลกประหลาดไปสักหน่อยที่เห็นภิกษุรูปนี้โกหกเพียงเพื่อผู้หญิงแปลกหน้า ราชครูไม่ได้เคลือบแคลงใจแต่อย่างใด แล้วเดินจากไป
“ขอบคุณ…” อวี๋หวั่นเลิกม่าน กำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ แต่อีกฝ่ายก็จากไปเสียแล้ว
เมื่อนับรวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักแม่ชี ตนก็ติดหนี้น้ำใจเขาถึงสองครั้ง แต่ภิกษุท่านนี้มาแล้วก็ไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างนี้หรือ? จะขอบคุณยังยากแสนยาก
เมื่อมั่นใจว่าราชครูออกจากภัตตาคารและขึ้นรถม้าไปแล้ว อวี๋หวั่นจึงพาเด็กน้อยทั้งสามกลับไปยังร้านขายแป้งชาด
เมื่อเถ้าแก่ร้านขายแป้งชาดเห็นสองแม่ลูกแต่งตัวดีดูมีฐานะ จึงเข้ามาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น เถ้าแก่ให้เสมียนเก็บห้อง แล้วให้เด็กน้อยทั้งสามเข้าไปนั่งกินถังหูลู่อย่างสบายใจ ส่วนอวี๋หวั่นก็ตั้งใจเลือกแป้งชาดต่อไป
“แป้งชาดชั้นดีของร้านเราอยู่ตรงนี้ขอรับ ฮูหยินต้องการกล่องไหน สามารถนำออกมาดูได้นะขอรับ” เถ้าแก่กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อวี๋หวั่นไม่สันทัดเรื่องแป้งชาด ปกติเธอไม่ได้ใช้ เพียงแต่ท่านแม่ใช้แป้งชาดหมดอย่างรวดเร็ว กล่องเดียวเห็นจะไม่พอ อวี๋หวั่นจึงซื้อไว้หนึ่งแถว
เถ้าแก่ดีใจสุดขีด “ฮูหยินสายตาเฉียบแหลม กล่าวอย่างไม่ปิดบัง แป้งชาดที่ท่านเลือกนั้นเป็นสินค้าที่ดีที่สุดของร้านเราขอรับ!”
“สินค้าที่ดีที่สุดไม่ได้ถูกข้าจองไว้หมดแล้วหรอกหรือ? ไฉนพวกเจ้าจึงกล้าขายให้ผู้อื่น?”
ทันทีที่เถ้าแก่พูดจบ ก็มีเสียงของดรุณีน้อยดังขึ้น
อวี๋หวั่นได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเช่นนี้ก็เดาได้แล้วว่าเป็นใคร เธอลืมดูฤกษ์ก่อนออกจากบ้านใช่ไหมเนี่ย? ออกมาก็เจอราชครู แล้วต้องมาเจอองค์หญิงน้อยคนนี้อีก สถิติของความถี่ในการเจอคนชั้นสูงเช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่มีใครทำได้มาก่อน
ทว่าเธอจำเป็นต้องหลบราชครู แต่กับองค์หญิงน้อยคงไม่จำเป็น
อวี๋หวั่นบอกเถ้าแก่ว่า “ช่วยใส่กล่องให้ข้าด้วย”
“ขอรับ!” เถ้าแก่รีบหยิบกล่องเครื่องแป้งใบหรูออกมา แล้วนำแป้งชาดที่อวี๋หวั่นเลือกไว้ใส่ลงไป ซื้อของชั้นดีมากมายเพียงนี้ แน่นอนว่ากล่องต้องเป็นของสมนาคุณ
“ใครให้เจ้าขายให้นาง?” องค์หญิงน้อยย่อมจำอวี๋หวั่นได้ นางเดินเข้ามาขวางหน้าเถ้าแก่
เถ้าแก่ตอบด้วยความขุ่นเคือง “องค์หญิงน้อย ของเหล่านี้ไม่ใช่ของที่ท่านจองไว้ขอรับ ของที่ท่านจองไว้ข้าได้บรรจุใส่กล่องให้แล้วขอรับ”
องค์หญิงน้อยแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกหรือว่านี่เป็นของที่ดีที่สุดในร้าน? เช่นนั้นของที่ขายให้ข้าคืออะไร?”
“ขะ…ของที่ขายให้ท่าน…” เถ้าแก่ปาดเหงื่อ เหลือบมองอวี๋หวั่นแวบหนึ่ง คิดในใจว่าดูแล้วฮูหยินคนนี้น่าจะไม่ธรรมดา แต่ต่อให้ไม่ธรรมดาแค่ไหนก็คงเทียบไม่ได้กับองค์หญิงน้อย เขารู้อยู่แก่ใจว่าองค์หญิงน้อยจงใจทำเช่นนี้ จึงต้องกัดฟันตอบไปว่า “ไหนเลยจะเหมือนกันขอรับ? สินค้าขององค์หญิงน้อยนั้นเป็นของที่เหล่าอาจารย์ทำออกมาเอง ไม่มีขายในร้านขอรับ! ”
องค์หญิงน้อยเอ่ยขึ้นทันใดว่า “เช่นนั้นก็บอกมา ว่าของที่เจ้าขายให้นางหรือของที่ขายให้ข้าดีกว่ากัน?”
“เรื่องนั้น…” เถ้าแก่ลังเล
องค์หญิงน้อยถลึงตาใส่เขา “พูดมาสิ! ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากแล้วว่าจะทำแป้งชาดที่ดีที่สุดให้ข้า หากเจ้าขายของที่ดีกว่าให้คนอื่น ก็เท่ากับว่าเจ้ามีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง!”
ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงจะนำมาใช้เช่นนี้ไม่ได้ กระนั้นเมื่อพิจารณาถึงฐานะขององค์หญิงน้อย เถ้าแก่คิดว่าการล่วงเกินนางก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการล่วงเกินองค์ประมุข
เถ้าแก่จึงตอบว่า “ของที่ขายให้องค์หญิงน้อยย่อมต้องดีกว่าสิขอรับ”
องค์หญิงน้อยยิ้มอย่างได้ใจ แล้วพูดว่า “ไก่ก็ยังเป็นไก่วันยังค่ำ ต่อให้บินไปเกาะบนยอดไม้ ไหนเลยจะเป็นหงส์ไปได้ ของที่คนอื่นใช้กัน ข้าไม่ต้องการ!”
เถ้าแก่เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เดิมทีเขาคิดว่าองค์หญิงน้อยจงใจทำให้เขาลำบากใจ แต่กลับพบว่าแท้จริงแล้ว นางกำลังเหยียดหยามฮูหยินคนนั้นอยู่!
น่าแปลกเหลือเกิน พวกนางรู้จักกันหรือ?
ในใจของเถ้าแก่คิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป
อวี๋หวั่นกลับไม่ได้สนใจองค์หญิงน้อย เธอก็เพียงยกกล่องใบนั้นไปอย่างสบายอารมณ์
“ทำไม? โมโหหรือ?”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “มีอะไรน่าโมโห? สุนัขบ้ากัด คนจำเป็นต้องกัดตอบด้วยหรือ?”
“เจ้า!” องค์หญิงน้อยอึ้งไป
อวี๋หวั่นมิได้เหลือบมองนางแม้แต่น้อย เดินถือกล่องแป้งชาดไปยังโต๊ะคิดเงิน
องค์หญิงน้อยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เถ้าแก่กังวลว่าองค์หญิงน้อยจะสร้างปัญหา จึงรีบเข้าไปแก้ต่าง “แป้งชาดที่ทำให้องค์หญิงน้อยเสร็จแล้วขอรับ องค์หญิงต้องการดูหรือไม่?”
เมื่อนึกได้ องค์หญิงน้อยก็ค่อยๆ ระงับโทสะลง “รีบไปเอามาสิ!”
“ขอรับๆๆ!” เถ้าแก่กระวีกระวาดไป
เด็กน้อยทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้อง ดวงตาดำขลับของพวกเขาจับจ้องไปที่องค์หญิงน้อยซึ่งกำลังรังแกท่านแม่ของพวกเขา
ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยทั้งสามก็เลียถังหูลู่ในมือ จากนั้นก็เดินเตาะแตะออกไป
เด็กทั้งสามเดินตามเถ้าแก่ไป
เถ้าแก่เข้าไปในห้องเก็บของ หยิบกล่องซึ่งดูงามวิจิตรออกมา ด้านในบรรจุแป้งชาดห้ากล่อง ทั้งหมดล้วนแต่มีเนื้อและสีสันแตกต่างกัน
ทั้งสามยื่นหน้าเข้าไปมอง
“เถ้าแก่ ท่านว่าของนี่มีอะไรแปลกๆ หรือไม่?” เสมียนซึ่งอยู่ด้านในสุดของห้องเก็บของเอ่ยขึ้น
“จริงหรือ? ให้ข้าดูหน่อย” เถ้าแก่วางกล่องแป้งชาดลงแล้วเดินไป
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะเข้าไป พวกเขามองไปยังกล่องสวย แล้วมองไปยังแป้งชาดด้านใน จากนั้นก็หยิบขวดในกระเป๋าออกมา ปล่อยเจ้าหนอนพิษตัวน้อยให้คลานเข้าไป
……………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 247 เด็กน้อยจอมเจ้าเล่ห์
Posted by ? Views, Released on October 5, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…