บทที่ 22 พี่จิ่วมาแล้ว (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าสามเขา…ถูกจับเข้าคุกหลวงรึ?” เมื่อลุงใหญ่ได้ยินคำบอกเล่าของอู๋ซัน เขาก็กระเด้งขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
เดิมทีอู๋ซันก็ไม่คิดจะนำข่าวร้ายมาบอกคนสกุลอวี๋เช่นนี้ ทว่าเมื่อคิดไปคิดมา อวี๋เฒ่าไม่กลับบ้านสักที คนสกุลอวี๋ย่อมต้องเข้าไปถามในเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องได้ยินมาจากคนอื่น ไม่สู้เขาเล่ารายละเอียดให้พวกเขาฟังเองจะดีกว่า
ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่ อวี๋เฟิงและอวี๋ซง ต่างเข้ามานั่งในบ้านของอวี๋หวั่น เถี่ยตั้นน้อยพาน้องสาวออกไปเล่น นางเจียงและอวี๋หวั่นนั่งฝั่งตรงข้ามของอู๋ซัน
ไม่รู้ว่าอู๋ซันคิดไปเองหรืออย่างไร เขารู้สึกว่าในดวงตาของพี่สะใภ้มีแรงอาฆาตคุกรุ่นอยู่
เขาต้องคิดมากไปเองเป็นแน่ พี่สะใภ้เป็นสตรีอรชรอ้อนแอ้น เมื่อได้ยินข่าวร้าย ไม่มีทางคิดฆ่าคนอย่างแน่นอน!
“ท่านลุงอู๋ ขอคุยด้วยหน่อยได้หรือไม่” อวี๋หวั่นไม่อยากให้พูดเรื่องน่าปวดใจเช่นนี้ต่อหน้าท่านแม่ พ่อแม่ของเธอรักกันขนาดนี้ ท่านพ่อถูกจับเข้าคุก ท่านแม่ย่อมต้องเป็นทุกข์มากกว่าใคร
อู๋ซันเข้าใจดี จึงเดินตามอวี๋หวั่นออกไปข้างบ่อปลา
“สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อข้าหรือ?” เมื่อไร้ผู้คน อวี๋หวั่นจึงเอ่ยปากถามขึ้น
อู๋ซันถอนหายใจยาว “เดิมทีวันนี้อวี๋เฒ่า…ต้องเข้าวังไปรับปูนบำเหน็จ เขาสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ฝ่าบาททรงเรียกพบ”
อวี๋หวั่นตกใจ “ท่านพ่อสร้างความดีความชอบรึ?”
อวี๋เซ่าชิงแทบไม่ได้พูดถึงการรบ ไม่ได้พูดถึงสงครามในซีเป่ย ทว่าเหล่าชายหนุ่มที่เพิ่งกลับบ้านมากลับเล่าเรื่องราวเอาไว้ไม่น้อย กระนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าตัวละครสำคัญของเรื่องนี้ก็คืออวี๋เซ่าชิงจากหมู่บ้านของพวกเขา
“พ่อเจ้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังหรอกหรือ? เขาสร้างความดีความชอบครั้งสำคัญเชียวนา! พ่อเจ้าเป็นถึงหัวหน้ากองพันของทัพใหญ่ซีเป่ย…” อู๋ซันเล่าเรื่องการบุกโจมตีของทหารซยงหนูอย่างคร่าวให้อวี๋หวั่นฟัง “…สองพันคน เหลือรอดมาไม่ถึงหนึ่งร้อยคน หลังจากเข้าไปในภูเขาหิมะ พวกเราก็ซ่อนตัวอย่างดี พี่น้องจำนวนไม่น้อยถูกศรธนูของซยงหนูยิงตาย คืนหนึ่งต้าหนิวก็เจอกับแม่ทัพเซียวที่บาดเจ็บหนัก…”
กล่าวถึงตรงนี้ อู๋ซันก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ต้าหนิวเป็นทหารที่ดี เขาสละชีวิตไปแล้ว”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นสั่นเล็กน้อย
อู๋ซันพยายามอดกลั้นความเศร้าสลด แล้วพูดต่อ “อวี๋เฒ่าให้ต้าหนิวไปช่วยแม่ทัพเซียวกลับมา แม่ทัพเซียวรู้ดีว่าไม่อาจกลับมาได้ จึงมอบยาทั้งหมดให้กับเหล่าพี่น้องทหาร ข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขา ไม่ได้อยู่ฟังว่าแม่ทัพเซียวพูดอะไรกับอวี๋เฒ่า แต่วันถัดมาอวี๋เฒ่าก็เริ่มพาพี่น้องทหารข้ามเขา อวี๋เฒ่าบอกว่าพวกเราต้องไปให้ถึงโยวโจว ข้าก็นึกว่าอวี๋เฒ่าจะพาพวกเราไปพึ่งพาแม่ทัพที่โยวโจว เมื่อเห็นว่าเขาส่งของบางอย่างให้แม่ทัพผางเหริน ถึงได้เดาออกว่าน่าจะเป็นของที่แม่ทัพเซียวส่งให้เขา หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพใหญ่เซียวก็แพร่ข่าวลวงออกไป หลอกล่อทัพซยงหนูให้เข้ามาในโยวโจว แล้วพวกนั้นก็เป็นลูกไก่ในกำมือ เมื่อชนะสงคราม เรื่องที่อวี๋เฒ่าส่งรายชื่อสายลับก็กระจายออกไปเรื่อยๆ”
เขาลูกนั้น ได้รับขนานนามว่า ‘หุบเขามรณะ’ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้รอดชีวิตออกมา แต่อวี๋เฒ่า…อวี๋เฒ่าพาพวกเรากลับมาได้”
คนที่เขาช่วยออกมามิได้มีเพียงประชาชนชาวโยวโจวนับแสนคน แต่ยังช่วยชีวิตเหล่าทหารของทัพซีเป่ยด้วย
อวี๋หวั่นรู้แต่แรกแล้วว่าพ่อของเธอเป็นวีรบุรุษ แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นวีรบุรุษที่เก่งกาจขนาดนี้ อดทนในสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจทน ทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจทำ เขาเป็นวีรบุรุษที่โดดเด่นท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษ เพียงแต่ว่าวีรบุรุษประเภทนี้ มักจะไม่เย่อหยิ่งและโอ้อวด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเพียงสามีที่รักภรรยา เป็นบิดาที่รักบุตร…
“เช่นนั้นเรื่องหลอกลวงเบื้องสูงมาได้อย่างไรกัน?” ไม่ได้ให้รายชื่อปลอมจนแพ้สงครามสักหน่อย
อู๋ซันตอบว่า “แม่ทัพกุยเต๋อหลางไร้ยางอาย กราบทูลฝ่าบาทว่าอวี๋เฒ่าขโมยรายชื่อนั่นไปจากตัวเองน่ะสิ!”
“แล้วฝ่าบาทก็เชื่อรึ?” หลอกง่ายไปหน่อยไหมนั่น?
อู๋ซันพูดอย่างหัวเสียว่า “หลานสาว เจ้าไม่รู้อะไร แม่ทัพกุยเต๋อหลางนั้นมีเบื้องหลัง ฝ่าบาทให้ความสำคัญมากเสียด้วย”
“ไม่มีพยานบุคคลหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
อู๋ซันตอบว่า “ทหารที่อารักขาแม่ทัพเซียวในตอนนั้นตายหมด เหลือเด็กแซ่โจวเพียงคนเดียวที่สามารถยืนยันได้ว่าแม่ทัพเซียวไม่ได้พบกับแม่ทัพกุยเต๋อหลาง แต่เจ้าเด็กแซ่โจวนั่นหนีไปแล้ว! หนีไปไหนก็ไม่รู้!”
โจวไหวเป็นขอทานที่แม่ทัพเซียวเก็บมา เรียกได้ว่าเขาแทบขายชีวิตให้แม่ทัพเซียวไปแล้ว หลังจากที่มาถึงโยวโจว โจวไหวก็หายตัวไป หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว จะไปตามหาเขาได้ที่ไหนกัน? กว่าจะหาพบ อวี๋เฒ่าก็คงถูกตัดหัวไปแล้ว
“ถูกตัดหัวด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นนัยน์ตาสั่นระริก
อู๋ซันถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “โทษหลอกลวงเบื้องสูงเชียวนะเจ้าหลานสาว! ไม่ถูกประหารเก้าชั่วโคตรก็ดีเท่าไรแล้ว! เมื่อใดที่พวกเขาจับอวี๋เฒ่าเข้าคุกหลวง เมื่อนั้นเกรงว่าอวี๋เฒ่าก็คงหนีความตายไม่พ้น แต่ข้าคิดว่าเขาไม่มีทาง ‘ยอมรับ’ ได้ง่ายเพียงนั้น เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยว”
ไม่ยอมรับได้ง่าย มิได้หมายความว่าจะไม่ต้องรับโทษ พ่อของเธอถูกคนใส่ร้ายจนต้องเข้าคุก เข้าไปก็คงต้องเจอกับเคราะห์ร้ายอีก คนพวกนั้นต้องสรรหาวิธีมาบังคับให้พ่อของเธอสารภาพผิดอย่างแน่นอน
แค่คิดว่าพ่อของเธออาจถูกทรมานในคุก อวี๋หวั่นกำมือแน่น “ท่านพ่อข้าเป็นคนอย่างไร คนอื่นไม่รู้ คนที่คลุกคลีกับท่านพ่อข้าอย่างแม่ทัพใหญ่เซียวจะไม่รู้เชียวหรือ? เขาไม่ได้ช่วยพ่อข้าแก้ต่างหรือ?”
อู๋ซันส่ายหน้า “แม่ทัพใหญ่ไม่ได้พูดอะไรก็เพื่อพ่อเจ้าเอง”
“อย่างไร?” อวี๋หวั่นถามด้วยความไม่เข้าใจ
บังเอิญว่าชุ่ยฮวาเดินถือกะละมังซักผ้าผ่านมาพอดี
“อาหวั่น!” ชุ่ยฮวายิ้มพลางกล่าวทักทาย พี่ใหญ่ของสามีนางกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งครอบครัวล้วนปีติยินดี
อวี๋หวั่นยิ้มพร้อมพยักหน้า “พี่ชุ่ยฮวา”
อู๋ซันมาที่หมู่บ้านหลายครั้งแล้ว ชุ่ยฮวาเคยเห็นเขา รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมรบของอวี๋เซ่าชิง นางยิ้ม แล้วเดินถือผ้าไป
อู๋ซันพูดต่อ “แม่ทัพใหญ่เซียวสร้างคุณูปการเอาไว้มหาศาล ฝ่าบาทเกรงใจเขา ในตอนนั้นเขาทูลขอแต่งงานกับพระชายาของเยี่ยนอ๋อง เจ้าว่าคำขอเขาเป็นจริงหรือไม่?”
อู๋ซันหัวเราะแดกดัน กล่าวว่า “เขาแบ่งอำนาจทหารหนึ่งล้านนายให้กับแม่ทัพเซียว”
“เพื่อสตรีคนเดียวรึ?”
“และเพื่อชีวิตของเหล่าทหารด้วย”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ยิ่งแม่ทัพใหญ่เซียวขอร้องแทนพ่อข้ามากเท่าไร ฝ่าบาทก็จะยิ่งอยากประหารพ่อข้ามากเท่านั้น”
“ถูกต้อง” ปกติแล้วอู๋ซันมิใช่คนใส่ใจเรื่องราวรอบตัวเท่าไรนัก ทว่าสำหรับเรื่องนี้ เขาก็มีความเห็นของตนเอง “ที่ฝ่าบาทลงโทษอวี๋เฒ่าเช่นนี้ ก็เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู…แต่ไอ้เลวนั่นมันหน้าไม่อาย! ฮ่องเต้จะประหารคน มันกลับยื่นดาบให้!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเหยียนฉงหมิงฉกชิงความดีความชอบของอวี๋เฒ่า ต่อให้ฮ่องเต้จะสำแดงพระราชอำนาจให้ประจักษ์แก่แม่ทัพใหญ่เซียว อย่างไรสายป่านก็โยงมาไม่ถึงอวี๋เฒ่า!
“ลุงอู๋ ข้าไปพบท่านพ่อได้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
“เรื่องนั้น…” อู๋ซันเกาหัว “ข้าไม่รู้จักคนในคุกหลวงซะด้วยสิ…”
อวี๋หวั่นหันหลังกลับไป
“หลานสาว เจ้าจะไปไหน?” อู๋ซันซักไซ้
“ไปคุกหลวง” อวี๋หวั่นตอบ
อู๋ซันรีบร้อนกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่มีเส้นสายในคุกหลวง…”
อวี๋หวั่นสายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าก็จะไปอยู่ดี ข้าจะไม่ยอมให้ท่านพ่อต้องทรมานกับความไม่เป็นธรรมอย่างนี้”
“เจ้า…เจ้า สตรีตัวคนเดียวจะไปทำอะไรได้เล่า?” อู๋ซันรู้สึกเสียใจที่เล่าเรื่องนี้ให้อวี๋หวั่นฟัง
อวี๋หวั่นหยุดฝีเท้า “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไรได้ แต่ข้ารู้ว่าข้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรไม่ได้ ข้าจะไปถามจากท่านพ่อเอง ไม่แน่อาจจะได้เบาะแสอะไรจากปากเขาก็ได้”
“เอ่อ เจ้า…” อู๋ซันอยากถามไปว่า เจ้าจะไปถามได้อย่างไรกัน? ทว่าเห็นนัยน์ตาอันแน่วแน่และดื้อรั้นคู่นั้น เขาก็พูดไม่ออก
อวี๋หวั่นไปหาป้าสะใภ้ใหญ่ “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านช่วยดูแลแม่ข้าที”
ป้าสะใภ้ใหญ่ตกใจ “อาหวั่นเจ้าจะไปไหน?”
“ข้าจะไปเมืองหลวง” อวี๋หวั่นตอบ
“เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่หวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ข้าไม่ทำหรอก มีลุงอู๋ไปด้วย”
อู๋ซันเผยรอยยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทีนี้หากไม่พาหลานสาวสกุลอวี๋กลับมาบ้านอย่างปลอดภัย เขาก็คงไม่มีหน้ามาเจอครอบครัวของอวี๋เฒ่าอีก
ทั้งสองคนเข้าตำบลไปเช่ารถม้าไปยังเมืองหลวง อู๋ซันไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง โชคดีที่สารถีรู้เส้นทาง จึงพาทั้งสองคนไปส่งที่คุกหลวงได้อย่างรวดเร็ว
กระนั้นสิ่งที่ทำให้ต้องผิดหวังก็คือ พวกเขาไม่สามารถเหยียบข้ามธรณีประตูคุกหลวงไปได้ด้วยซ้ำ!
ทหารยามรักษาการณ์ด้านหน้าคุกหลวงกล่าวว่า “อวี๋เซ่าชิงได้รับโทษหนัก นอกจากจะมีรับสั่งจากฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดเข้าไปเยี่ยมได้!”
เดิมทีอู๋ซันคิดจะบากหน้าไปอ้อนวอนแม่ทัพใหญ่เซียว ครานี้เห็นทีจะไม่เป็นผล…
“ทำไมไม่ได้เล่า?” ในตำหนักชื่อเซียวซึ่งใช้รับรองคณะฑูตจากซยงหนู องค์หญิงซยงหนูโมโหจนเงื้อแส้ขึ้นมาฟาดลงไปบนโต๊ะ “ข้าเป็นองค์หญิงแห่งซยงหนู! เขาเป็นองครักษ์ชาวจงหยวนของข้า! องครักษ์ของข้าถูกคนจับไป! ข้าย่อมต้องพาเขาออกมา!”
ผู้ที่ทนรับเสียงตวาดของนางก็คือพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของนาง องค์ชายรองของซยงหนู องค์ชายรองเป็นโอรสของเสี่ยวเยียนจือ[1] ฐานะจะเป็นรองกว่าพี่ชายซึ่งเกิดจากต้าเยียนจือ ในจุดนี้นับว่าเหมือนกับเยี่ยนไหวจิ่ง
สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ มารดาของเขามิได้ฉลาดหลักแหลมเหมือนกับสวี่เสียนเฟย โชคดีที่เขามีลุงซึ่งเป็นกษัตริย์คอยสนับสนุน คนผู้นั้นก็คือบิดาบังเกิดเกล้าขององค์หญิงซยงหนู
…………………………………………………….
[1] เยียนจือ ใช้เรียกตำแหน่งภรรยาของกษัตริย์ซยงหนู