บทที่ 23 วิธีของพี่จิ่ว
โดย
Ink Stone_Romance
เธอร้องเรียกเขาด้วยเสียงแหบพร่า เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกประหนึ่งหัวใจของตนกำลังหลอมเหลว เขาคุ้นเคยกับการเห็นอวี๋หวั่นในมุมแข็งกร้าวมาโดยตลอด เมื่อมาเห็นด้านอ่อนแอของเธอ เขากลับใจอ่อนขึ้นมา
แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนกับผู้ใด
“ลุกขึ้น”
“ลุกไม่ขึ้น”
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ขาแพลงแล้วละ”
ขาเป็นเหน็บชาด้วย
เยี่ยนจิ่วเฉาเผยสีหน้าบ่งบอกว่า ‘ข้ารู้แล้ว’
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งยองลง อาภรณ์สีขาวสะอาดจุ่มลงไปบนพื้นดินเฉอะแฉะ เขาส่งร่มใส่มืออวี๋หวั่น “ถือดีๆ”
ความอบอุ่นยังคงหลงเหลืออยู่บนคันร่ม ทำให้มือของเธอไม่รู้สึกเหน็บหนาว
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มช้อนเธอขึ้นมา
อวี๋หวั่นอยู่มาสองชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอุ้มเธอในท่าเจ้าหญิง เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจ เธอสัมผัสได้ถึงท่อนแขนแกร่งมีกล้ามเนื้อผ่านชั้นผ้า
เมื่ออิ่งลิ่วและอิ่งสือซันเห็นคุณชายบ้านตนอุ้มสตรี พวกเขาก็จ้องเขม็ง จากนั้นก็ก้มหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งที่จริงๆ ในอกของพวกเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!
กล่าวตามตรง ก่อนที่จะพบกับอวี๋หวั่น พวกเขาทั้งสองต่างสงสัยว่าคุณชายไม่สนอิสตรี เรื่องของเหยียนหรูอวี้ก็คงเป็นความผิดพลาด ที่จริงแล้วเขานิยมชมชอบบุรุษเพศ
มิอาจโทษอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน เป็นเพราะข้างกายคุณชายไม่มีแม้แต่สาวใช้วัยแรกแย้มแม้แต่คนเดียว มีเพียงองครักษ์และบ่าวหนุ่ม อีกทั้งทุกคนล้วนหล่อเหลาเอาการ ต่อให้สุ่มเลือกสารถีรถม้ามาคนหนึ่ง ก็ยังหล่อเหลาเสียยิ่งกว่าชายบำเรออันดับต้นๆ ด้วยซ้ำไป
ในฐานะที่เป็นองครักษ์ของคุณชาย ร่างกายของพวกเขาล้วนเป็นของคุณชาย นั่นหมายรวมถึงพรหมจรรย์และความบริสุทธิ์ผุดผ่อง พวกเขากลัวว่าวันดีคืนดีอาจถูกคุณชายเรียกหาได้…
บัดนี้พวกเขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าคุณชายจะคิดมิดีมิร้ายกับพวกเขา!
บนรถม้า อวี๋หวั่นเก็บร่ม เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกโชก เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเธอขึ้นมา ทำให้เสื้อผ้าของเขาก็เปียกไปด้วย เปียกชุ่มเสียจนเนื้อผ้าแนบติดร่างของเขา เห็นเป็นมัดกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน และไม่ใช่เพียงกล้ามใหญ่ไร้แรง หากแต่แข็งแกร่งมีพลัง
ความเย้ายวนของเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม ก็เหมือนกับฮอร์โมนที่พลุ่งพล่าน
อวี๋หวั่นรู้สึกหัวหมุน
อวี๋หวั่นเบือนหน้าหนีด้วยความอับอาย
ท่านพ่อของเธอถูกจับเข้าคุก เธอยังจะมีกะจิตกะใจไปชื่นชมกล้ามเนื้อของผู้ชายอีก…
รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนคุณชาย…
ฝนซาลงแล้ว ไม่กางร่มก็ไม่เป็นไร
เมื่อบ่าวเห็นรถม้าของคุณชายบ้านตน ก็รีบลากประตูใหญ่เปิดออก ให้รถม้าเคลื่อนเข้ามาด้านใน ตรงไปยังเรือนของเยี่ยนจิ่วเฉา
เมื่อลุงวั่นได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ถือร่มมายืนรอด้านนอก เมื่อรถม้าหยุดลง เขาก็เดินเข้าไป “เหตุใดจึงเร็วเพียงนี้ ซื้อขนมกุ้ยฮวาได้แล้วหรือ?”
แท้จริงแล้วเป็นเด็กน้อยทั้งสามที่อยากกิน เยี่ยนจิ่วเฉาจึงออกไปซื้อให้บุตรชายด้วยตนเอง
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าไปอุ้มอวี๋หวั่น
“ข้าเดินเองได้!” อวี๋หวั่นยั้งมือของเขา เมื่อครู่เธอล้มลงไปจึงรู้สึกมึนงง ตอนนี้สมองปลอดโปร่งกว่าเดิม หนังหน้าก็บางลงกว่าเดิมเช่นกัน
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังมือเล็กซึ่งวางอยู่ในฝ่ามือของตน “จะจับมือหรือ เข้าบ้านแล้วข้าจะให้เจ้าจับจนพอใจ ตอนนี้ลงจากรถก่อน”
“?!”
ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย!
อวี๋หวั่นชักมือกลับมา!
ปฏิกิริยาเช่นนี้ สำหรับเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว หมายถึงอยากเข้าห้องเร็วๆ
“รีบร้อนเสียจริง!”
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอื้อมมือไปอุ้มอวี๋หวั่นขึ้นมา เมื่อลุงวั่นเลิกม่านออกด้วยความร่าเริง ก็เห็นฉากที่คุณชายบ้านตนกำลังอุ้มแม่นางอวี๋เข้าพอดี
ลุงวั่นตะลึงงัน
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นเข้าเรือนไป
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะน้ำลายสอเข้ามา ทันทีที่เห็นอวี๋หวั่น พวกเขาก็โยนขนมกุ้ยฮวาทิ้งไปด้านหลังทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นไปยังห้องของตน เด็กทั้งสามก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาวางอวี๋หวั่นลงบนเตียงนุ่ม เด็กทั้งสามก็กรูเข้าไปหาเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงยกพวกเขาขึ้นมา เด็กน้อยทั้งสามกอดอวี๋หวั่นไม่ถึง จึงจ้องท่านพ่อด้วยความไม่พอใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ รอนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พวกเจ้าค่อยเข้ามา”
พูดจบก็โยนเด็กทั้งสามออกไปอย่างไม่เกรงใจ
เด็กทั้งสามกระทืบเท้าด้วยความโกรธ!
เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งลุงวั่นว่า “ไปตามหมอหลวงมา”
“ทราบ!” ลุงวั่นมองไปยังขาซ้ายของอวี๋หวั่น แล้วรุดรีบออกไป
สตรีสูงอายุคนหนึ่งถือผ้าสะอาดเข้ามา โค้งให้เยี่ยนจิ่วเฉา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด ข้าจะดูแลแม่นางท่านนี้เอง”
“นางแซ่อวี๋” เยี่ยนจิ่วเฉาบอกนาง
นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค้อมให้อย่างรู้มารยาท “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจดจำได้”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกไปจากห้อง
เขาออกไปแล้ว แต่ทันใดนั้นก็วกกลับมา คิ้วโก่งดังคันศรขมวดเป็นปมพร้อมกับถามอวี๋หวั่นว่า “ท่านพ่อของเจ้าถูกจับไป…แล้วเมื่อครู่เจ้าจะไปหาผู้ใด?”
หัวใจของอวี๋หวั่นประหนึ่งถูกบีบเค้น เมื่อได้ยินเขาพูดประโยคแรก อวี๋หวั่นคิดว่าเขาจะถามว่า ‘พ่อเจ้าทำความผิดอะไร ถูกจับไปไว้ที่ไหน’ แต่ทำไมเขาถึงสนใจเพียงว่าเธอจะไปหาใคร…
สัญชาตญาณบอกกับอวี๋หวั่นว่า ถ้าบอกความจริงไปว่าจะไปหาคุณชายห้าที่จวนสกุลเว่ย เธอคงได้ตายอนาถอย่างแน่นอน
อวี๋หวั่นจึงตอบเอาตัวรอดว่า “…ไป…ไปหาท่านไง”
“ถนนเส้นนั้น…” เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นคิดในใจว่าแย่แล้ว เขารู้ว่าเธอกับคุณชายห้าจากจวนสกุลเว่ยรู้จักกัน ถนนสายนั้นมุ่งตรงไปจวนสกุลเว่ย เป็นคนละทิศทางกับทางไปจวนคุณชาย
กล่าวแบบไม่เกินจริงก็คือ ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวเป็นจวนสกุลเว่ย แต่ก้าวไปด้านหลังอีกเก้าสิบเก้าก้าวจึงจะถึงจวนคุณชาย…
“ที่จริงเจ้ามาที่จวนข้าก็ได้” คิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ คลายปม ใบหน้าดูพึงพอใจขึ้นมา
อวี๋หวั่นปาดเหงื่อ อย่าง…อย่างนี้ก็ได้เหรอ?
ครั้งนี้เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปจริงๆ นางกำนัลให้คนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้ นางบอกกับอวี๋หวั่นว่า “แม่นางอวี๋ไปอาบน้ำร้อนให้ร่างกายอุ่นขึ้นก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวน้ำขิงต้มเสร็จแล้ว ข้าจะนำมาให้แม่นางอวี๋ ในจวนไม่มีสาวใช้อายุน้อย ข้าหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้ไม่ได้ พระชายาแวะเวียนมาไม่บ่อยนัก นี่เป็นเสื้อผ้าของพระชายา แม่นางอวี๋เปลี่ยนไปก่อนเถิด ข้าแซ่ฝาง แม่นางอวี๋ต้องการสิ่งใดเรียกข้าได้”
แม่นางอวี๋จึงไปแช่น้ำในถัง
ฝางมามารออยู่ด้านหลังฉากกัน
อวี๋หวั่นชะโงกหน้าออกมาถามว่า “คุณชายของพวกท่านไม่มีอนุหรือ?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฝางมามายิ้ม
“สาวใช้คนสนิทเล่า?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“สาวใช้ที่ไม่สนิทเล่า?”
“ก็ไม่มีเช่นกันเจ้าค่ะ” ฝางมามากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พระชายาเคยส่งมาให้อยู่สองสามคน แต่คุณชายก็ไล่กลับไปหมด”
“อย่างนั้นหรือ…” อวี๋หวั่นแช่ตัวลงไปในน้ำร้อนซึ่งโรยด้วยกลีบดอกไม้ โผล่ออกมาเพียงศีรษะ เธอเงียบอยู่สักพักแล้วพูดขึ้นว่า “เขาเป็นหมันหรือเปล่านะ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งเพิ่งจะเดินเข้ามา “…”
……
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินตาเขียวปั้ดไปยังห้องหนังสือ อิ่งลิ่วเพิ่งจะไปสืบความกลับมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคุณชายบ้านตนแล้ว เขาจะไปกล้าพูดอะไรได้อย่างไรกัน?
“อะแฮ่ม คุณชาย” อิ่งลิ่วกระแอม “ข้าไปสืบความมาได้แล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาเค้นกำปั้น “สักวันข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตา!”
อิ่งลิ่ว “เอ๋…”
ข้าต้องคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาหรือ?
“เจ้าได้ข่าวอันใดมา?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อิ่งลิ่วได้สติกลับมา เขาตั้งสมาธิ กล่าวว่า “เรียนคุณชาย ท่านพ่อของแม่นางอวี๋ถูกจับเข้าคุกหลวงด้วยโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง”
“หลอกลวงอย่างไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วตอบว่า “อวี๋เซ่าชิงแย่งชิงความดีความชอบซึ่งเดิมทีควรจะเป็นของท่านเหยียนโหว จากนั้นก็ไปทูลขอรางวัลต่อหน้าพระพักตร์จนฝ่าบาททรงกริ้ว จึงรับสั่งให้จับเขาเข้าคุกหลวง”
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ในเมืองหลวงมีเหยียนโหวเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
อิ่งลิ่วตอบว่า “ท่านพ่อของคุณหนูเหยียนเพิ่งได้รับแต่งตั้งวันนี้”
“ความดีความชอบเล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ก็เรื่องรายชื่อสายลับในโยวโจวไงขอรับ ได้ยินว่าเดิมทีแม่ทัพเซียวมอบรายชื่อนี้ให้กับเหยียนโหว ในคืนก่อนถึงโยวโจว ท่านพ่อของแม่นางอวี๋ก็ขโมยรายชื่อมาจากเหยียนโหว จากนั้นก็นำมามอบให้แม่ทัพผางเหริน แล้วเพ็ดทูลว่าก่อนตายแม่ทัพเซียวมอบให้ตน”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะนิ้วชี้เบาๆ สองครั้งบนโต๊ะ
อิ่งลิ่วกล่าวว่า “ข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่หลายจุด”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ ด้วยความขุ่นเคือง “จุดน่าสงสัยอะไร? ก็แค่เชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น เจ้าให้อิ่งสือซันไปคุกหลวงกับพ่อบ้านวั่น อารักขาอวี๋เซ่าชิงซะ”
อิ่งลิ่วกล่าวด้วยความงุนงง “คุณชายท่าน…”
เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตาเย็นเยียบ “เข้าวัง”
……
ย่างเข้ายามราตรี ฝนหยุดตกแล้ว ถนนหนทางยังคงชื้นแฉะ กลิ่นของดินและหญ้าชื้นคลุ้งอยู่ในอากาศ
องค์หญิงซยงหนูเข้าไปในคุกหลวงไม่ได้ จึงผล็อยหลับไปในรถม้า
“ผู้ใดกัน?” ทหารยามเฝ้าคุกหลวงตะโกนลั่น วินาทีต่อมาก็พลันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงประจบประแจงทันที “ไอ้หยา เป็นพ่อบ้านวั่นนั่นเอง! ลมอะไรหอบท่านมากันนี่?”
ลุงวั่นชูป้ายหยกของเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นมา “ข้ามาหาคน”
ทหารยาม “เอ๋…คนที่ท่านอยากพบคงไม่ใช่คนที่ถูกจับมาวันนี้กระมัง?”
ลุงวั่นหัวเราะ “อะไรกัน? มีคนมาหาเยอะเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ทหารยามชี้ไปยังรถม้า กระซิบว่า “ท่านดู องค์หญิงซยงหนูก็มาหานะ แต่ว่าฝ่าบาทมีรับสั่ง ข้าน้อยก็ไม่กล้าปล่อยให้เข้าไป”
ลุงวั่นลากเสียงยาว “เช่นนั้น พวกข้าก็เข้าไม่ได้”
“เรื่องนั้น…” ทหารยามเผยสีหน้าขมขื่น
ลุงวั่นหรี่ตา “พวกเจ้าคงไม่ได้ทรมานใต้เท้าอวี๋หรอกกระมัง?”
ความตื่นกลัวพาดผ่านนัยน์ตาของทหารยาม
“ถอยไป!” ขันทีวั่นดูน่าเกรงขามเสียจนทหารยามอกสั่นขวัญแขวน จึงเปิดทางให้อย่างว่าง่าย
…………………………….