บทที่ 24 เหยียนหรูอวี้โมโหสุดขีด (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฮ่องเต้กำหมัดดัง ‘กร็อบ’ “ไปตามหาพวกเขาเร็ว! พลิกแผ่นดินหาให้ทั่ว ต้องหาอวี๋เซ่าชิงและหัวขโมยที่บุกเข้ามาในคุกหลวงให้พบ!”
“อาจมิได้มีเพียงคนเดียว” ขันทีวังเตือน
ฮ่องเต้ก็คิดถึงเหตุผลข้อนี้ ยอดฝีมือในคุกหลวงมีมากราวกับเมฆบนฟ้า ต้องฝีมือเก่งกาจเพียงใดจึงจะสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจภายใต้จมูกของพวกเขาเช่นนี้? แปดในสิบส่วนย่อมต้องเป็นคนกลุ่มหนึ่ง! ต้องเป็นคนจำนวนมาก! ร่วมมือกับคนภายในซึ่งทรยศ จึงจะสามารถ ‘ขน’ อวี๋เซ่าชิงซึ่งถูกวางยาออกไปได้
ฮ่องเต้โมโหสุดขีด “ดี กล้าลักพาตัวนักโทษประหาร เราไม่สนว่าจะร้อยคนหรือพันคน เราจะส่งทหารไปจับมาให้หมด! ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
เดิมทีเยี่ยนจิ่วมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้มิใช่เพียงเพราะเรื่องของอวี๋เซ่าชิงเพียงอย่างเดียว ทว่าในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เขาก็ทำได้เพียงถอยออกมาก่อน
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร เยี่ยนจิ่วเฉาก็ถามอิ่งลิ่วว่า “ลำพังฝีมือของเจ้ากับอิ่งสือซัน เจ้าจะสามารถเข้าออกคุกหลวงได้หรือไม่?”
อิ่งลิ่วครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เข้าออกได้ แต่เข้าออกโดยไม่ถูกสังเกตเห็นค่อนข้างยาก และถ้าพาคนหมดสติไปด้วย ยิ่งยากขึ้นไปอีกขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง อิ่งสือซันก็ทำไม่ได้หรือ?”
อิ่งลิ่วตอบตามตรง “ข้าน้อยคิดว่ายาก”
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะ “ยิ่งน่าสนใจกว่าเดิมเสียอีก”
……
ณ จวนคุณชาย หลังจากที่อวี๋หวั่นอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าแห้ง และรับการตรวจรักษาจากหมอหลวง
เธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคุกหลวง แต่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไปคิดหาวิธีแล้ว และในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็เพียงทำใจสบายๆ รอผลก็พอแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เธอเริ่มค่อยๆ เชื่อใจเขาขึ้นมา
หมอหลวงท่านนี้แซ่จาง เป็นหนึ่งในหมอที่ไปตรวจรักษาแทนหมอจี่ในเป่าจือถังในวันที่ลุงใหญ่ไปรักษา อวี๋หวั่นถาม จึงรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาให้ลุงวั่นไปเชิญเขาและ ‘หมอเหลียง’ มารักษาแทนหมอจี่ เพื่อให้หมอจี่มีเวลาตรวจรักษาลุงใหญ่ได้อย่างเต็มที่
ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ว่า…ในเมื่อสามารถเชิญหมอหลวงมาได้ ทำไมไม่เชิญหมอหลวงมารักษาลุงใหญ่ล่ะ? ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำอะไรอ้อมค้อม ระบบสมองของผู้ชายคนนี้…แปลกจริงๆ
“อาการบาดเจ็บของแม่นางไม่หนักมาก ข้าให้ยาทาสลายเลือดคั่ง แม่นางทาสามถึงห้าวัน อาการบวมก็จะลดลง ทาวันละสองครั้ง” หมอจางหยิบยาทากล่องหนึ่งออกมาจากกล่องยา
“ขอบคุณท่านหมอจาง” อวี๋หวั่นรับยามาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
หมอจางยังเตือนอีกว่า “นอกจากนั้น แม่นางต้องพักผ่อนให้มาก อย่าเดินมาก อาการบวมจึงจะดีขึ้น”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าจะจำไว้”
หลังจากนั้น หมอจางก็บอกรายชื่ออาหารแสลงอีกเล็กน้อย อวี๋หวั่นไม่นับว่ามีความรู้เรื่องโภชนาการดีนัก ความรู้เหล่านี้เธออ่านมาบ้าง แต่ก็ยังตั้งใจฟังจนจบ
ฝางมามาเดินออกไปส่งหมอจางด้วยตนเอง ก่อนจะไป นางก็ยกน้ำขิงที่เพิ่งต้มเสร็จมาวางบนโต๊ะด้านข้างอวี๋หวั่น “แม่นางอวี๋อย่างลืมดื่มน้ำขิง”
อวี๋หวั่นคิดว่านี่เป็นเพียงน้ำขิงธรรมดา เมื่อยกขึ้นมากลับพบว่าเป็นทังหยวนต้มน้ำขิง ในน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดง ไส้ทังหยวนทำจากงาและถั่วลิสง เปลือกนอกนุ่มและเคี้ยวหนึบ ไส้ในหอมและเข้มข้น แต่ไม่หวานเกินไป หากกินทังหยวนเพียงอย่างเดียวจะรู้สึกเลี่ยน หากกินน้ำขิงอย่างเดียวอาจรู้สึกเผ็ด เมื่อกินด้วยกันจะได้รสชาติที่ลงตัว
อวี๋หวั่นเหงื่อออก ความหนาวเหน็บในร่างกายถูกขจัดออกไป ท้องไม่หิว แต่ก็ไม่ได้ท้องอืด พักสักหน่อยก็สามารถกินข้าวเย็นต่อได้
อวี๋หวั่นอดชื่นชมฝีมือในการทำอาหารของพ่อครัวจวนคุณชายไม่ได้ ทั้งรสชาติ สรรพคุณ ปริมาณ ทุกปัจจัยล้วนถูกออกแบบมาได้อย่างประณีตและลงตัวเป็นที่สุด
แล้วเยี่ยนจิ่วเฉาล่ะ? เขาเป็นคนที่…ทำอะไรต้องถึงที่สุดด้วยหรือเปล่า?
ตึง!
ระหว่างที่จมอยู่ในความคิด ประตูห้องก็ถูกเด็กน้อยคนหนึ่งโขกจนเปิดอ้า
เป็นเด็กน้อยทั้งสามที่แอบมองอยู่ด้านหลังช่องประตู มองไปมองมา ศีรษะคงจะหนักเกินไป จึงชนเข้ากับบานประตู
“เด็กๆ เหรอ?” อวี๋หวั่นมองไปยังเงาที่กลิ้งหลุนๆ เข้ามา เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงลุกไปอุ้มพวกเขา ทว่าทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นจากข้อเท้า เจ็บปวดจนเธอแทบกลั้นหายใจ
น้องเล็กกลิ้งลงมาบนพื้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยคนโตและคนรอง
ทั้งสามคนลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างมึนงง แล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “หลายวันมานี้กินข้าวหรือเปล่า?”
เด็กน้อยทั้งสามพยักหน้า ด้วยกลัวว่าอวี๋หวั่นจะไม่เชื่อ จึงเปิดเสื้อขึ้น เผยให้เห็นพุงกลมๆ
อวี๋หวั่นมองไปยังพุงกลมคล้ายลูกแตงโมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขากินอิ่ม เผยรอยยิ้มออกมา “เด็กดี”
เด็กทั้งสามยื่นหน้าไปหาเธอ
หอมแก้มหน่อย!
อวี๋หวั่นทนความน่ารักไม่ไหว จึงค้อมตัวลงไปหอมแก้มพวกเขาคนละครั้ง
ทันใดนั้นเอง เมื่อทั้งสามคนเห็นขาซ้ายของอวี๋หวั่นซึ่งพันด้วยผ้าพันแผล ใบหน้าน้อยๆ ของพวกเขาก็ปรากฏสีหน้ากังวลทันที
อวี๋หวั่นพูดปลอบพวกเขาว่า “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บเลย”
เด็กทั้งสามคนมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทันใดนั้นเอง เจ้าสามก็เดินไป แล้วเป่า ‘ฟู่ๆ’
เจ้าคนโตและเจ้าสองก็ตามติดๆ ไปเป่า ‘ฟู่ๆ’ เช่นกัน
แน่นอนว่าเด็กทั้งสามเป่าไม่ถึง แต่ว่าท่าทางเงอะงะเช่นนี้ ก็ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
เด็กทั้งสามไปนอนข้างอวี๋หวั่นจนผล็อยหลับไป แม่นมจึงมาอุ้มพวกเขาออกไป
ทันทีที่แม่นมเดินออกไป เหยียนหรูอวี้ก็เข้ามา นางมาเยี่ยมเด็กทั้งสาม แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือนางยังมาเจออวี๋หวั่นที่นี่อีก!
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เหยียนหรูอวี้หยุดฝีเท้าลงด้านหน้าประตู มองไปยังสตรีในห้องอย่างไม่เชื่อสายตา
เสื้อผ้าของอวี๋หวั่นเปียกชื้น เธอต้องสวมเสื้อยาวสีม่วงและเสื้อปักดิ้นสีขาวของพระชายา การแต่งกายเช่นนี้ เมื่ออยู่บนร่างของพระชายาย่อมดูงดงามชวนตะลึง เมื่ออยู่บนตัวของอวี๋หวั่นกลับดูงดงามดุจภาพวาด
เธอนั่งอยู่เฉยๆ ยังดูเหมือนกับคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงเสียมากกว่าเหยียนหรูอวี้
เหยียนหรูอวี้จ้องตาเขม็ง
เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนหรูอวี้ อวี๋หวั่นไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง
เมื่อเช้าเหยียนหรูอวี้เพิ่งหัวเสียกับองค์หญิงซยงหนู ตอนนี้นางไม่อาจมาหัวเสียกับสตรีบ้านนอกผู้นี้ได้อีก!
เหยียนหรูอวี้เดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเย็นเยียบ นางหยุดอยู่ข้างอวี๋หวั่น แล้วกล่าวกับเธอว่า “เมื่อครู่ที่ข้าพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ผู้ใดให้เจ้ามา?”
“เยี่ยนจิ่วเฉาน่ะสิ” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว
เหยียนหรูอวี้ตื่นตะลึง “เจ้ากล้าเรียกชื่อคุณชายได้อย่างไรกัน?”
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ “อะไรกัน? เจ้าไม่กล้าเรียกหรือ? หรือว่าเจ้าเรียกแล้วเขาไม่สนใจกันแน่?”
เหยียนหรูอวี้ถูกพูดแทงใจดำ กล้าไม่กล้านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้นางไม่อาจพบหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา นางเป็นมารดาของเด็กทั้งสาม นางมาเยี่ยมเยียนพวกเขานับว่าเป็นเรื่องที่พึงกระทำ แต่ทุกครั้งที่มา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ต้อง ‘บังเอิญ’ ไม่อยู่ทุกครั้งไป!
“ดึกป่านนี้…เจ้ายังมาอยู่ในห้องของคุณชายเยี่ยนรึ?” เหยียนหรูอวี้เอ่ยถามอย่างดุดัน
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นเท้าคาง มองไปยังเหยียนหรูอวี้ด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะ…มาอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรเล่า”
ใครให้เธอมายุ่งเรื่องของฉันล่ะ โกรธให้อกแตกตายไปเลย!
“เจ้า…” เหยียนหรูอวี้นึกสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่ สตรีผู้นี้พูดอะไรกัน? นางจะมาอยู่ในห้องของคุณชายเยี่ยนหรือ?! หรือว่าคุณชายเยี่ยนเขา…เขา…เขามีใจให้สตรีผู้นี้?
เหยียนหรูอวี้โกรธจนผ้าคลุมหน้าหล่น “จะ…เจ้าเข้าหาลูกๆ ข้า ที่แท้ก็เพราะเจ้ามีแผนการในใจ! เจ้ามันไร้ยางอาย!”
“แล้วเจ้ามียางอายรึ?” อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่รีบร้อน
เหยียนหรูอวี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกผู้ใดพูดจาเหยียดหยาม “ข้าเป็นแม่ของลูกเขา! ข้ากับเขามีพันธะทางกาย…”
อวี๋หวั่นกล่าวตัดบทขึ้นมา “พันธะ? พันธะอะไร? เขายอมรับแล้วหรือ? เขาบอกหรือว่าเขาจะแต่งงานกับเจ้า? เจ้าคิดว่าจะใช้ลูกมาเป็นข้ออ้างเพื่อพึ่งพาเขาสินะ เจ้าโง่ หรือว่าเขาโง่กันแน่?”
คำพูดทุกคำของอวี๋หวั่นแทงใจดำของเหยียนหรูอวี้ได้อย่างตรงจุด เหยียนหรูอวี้โมโหจนหน้าดำหน้าแดง “คุณชายไม่แต่งงานกับข้า แล้วจะแต่งงานกับเจ้าหรือ? ไม่รู้จักสำเหนียกตนเองบ้างเสียเลย สตรีบ้านนอก คู่ควรกับคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่นโทสะพลุ่งพล่าน “คู่ควรแล้วอย่างไร? ไม่คู่ควรแล้วอย่างไร? สุดท้ายแล้ว…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเพิ่งกลับจวน เพิ่งเดินถึงปากประตู ก็ได้ยินประโยคที่ทำให้หัวใจแทบระเบิดเข้าพอดี
“ข้าก็ต้องแต่งเข้าจวนคุณชาย ข้าต้องเป็นแม่ของลูกของเขา!”
………………………………………