“เจ้า…มาหาใครหรือ?” นางเจียงถาม
นางเคยเห็นองค์ประมุข แต่นั่นก็เป็นเรื่องในวัยเด็ก ในตอนนั้นนางก็ไม่ได้โตไปกว่าเด็กน้อยทั้งสามเท่าไหร่ แม้ว่านางจะเป็นเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ก็จำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้
ส่วนหนานกงเยี่ยนนั้นเคยไปเยือนเผ่าปีศาจเมื่อสิบกว่าปีก่อน เคยพบหน้านางอยู่บ้าง จึงจดจำนางได้
องค์ประมุขรู้สึกตื่นตกใจกับประโยคคำถามของนางอยู่ไม่น้อย
อันที่จริงเมื่อเห็นนางปราดแรก เขายังคิดว่านางคืออวี๋หวั่น อวี๋หวั่นหน้าตาเหมือนกับนางเจ็ดแปดส่วนเห็นจะได้ ผู้ที่คุ้นเคยจะสามารถบอกได้ว่าทั้งสองต่างกันมาก แต่องค์ประมุขมิได้คุ้นเคยกับทั้งสอง เขาเคยพบหน้าอวี๋หวั่นเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่นับว่าคุ้นเคยกัน
แต่เขาจำเสียงของอวี๋หวั่นได้
เขาจำนัยน์ตาเย็นชาของอวี๋หวั่นได้เช่นกัน
แต่ในเมื่อไม่ใช่อวี๋หวั่น ทว่าหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับอวี๋หวั่นเช่นนี้ เมื่อคิดดูแล้วก็เหลือเพียงมารดาบังเกิดเกล้าของอวี๋หวั่น…ลูกสาวคนโตของเขา ตี้จีองค์โตผู้ซึ่งถูกขับไล่ออกจากหนานจ้าว
แต่ว่า…
ธิดาคนโตของเขาไฉนจึงเป็นเช่นนี้?!
นางเจียงกำลังจะไปบ่อน เพื่อที่จะทำพรางตัว นางจึงเปลี่ยนไปสวมชุดของบ่าวชาย บนศีรษะสวมหมวกของบ่าวชาย เหนือริมฝีปากวาดหนวดไว้สองเส้น ดวงตาสีดำกลมโต ดูราวกับเป็นหนูตัวน้อยที่กำลังหลบหนีนักล่า
แขนและอกของนางพองขึ้นเพราะยัดตั๋วแลกเงินไว้แน่น ทำให้ดูเหมือนชายหนุ่มกล้ามแน่น!
องค์ประมุขหนังตากระตุก ในใจนึกสงสัยว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง!
นางเจียงเห็นว่าเขาไม่ตอบ จึงมองหน้าเขาแล้วบอกไปว่า “ขอทานหรือ? ข้าไม่มีเงินหรอก!”
องค์ประมุข “?!”
คำพูดนี้ทำให้องค์ประมุขรู้สึกประหนึ่งถูกโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็มิปาน เขาพยายามเตือนตนเองว่านางคือลูกสาวในไส้ เขาจะโกรธนางไม่ได้ เขาตั้งสติ พยายามกดโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในอก แล้วบอกกับนางว่า “ข้าคือองค์ประมุขแห่งหนานจ้าว และเป็นพ่อของเจ้า”
เขาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรสาวจะโผเข้ามาในอ้อมกอด ร้องห่มร้องไห้ พร่ำบอกว่าในที่สุดก็ได้พบหน้าท่านพ่อ
แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้น
เขาเพียงได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’ ประตูปิดลงในทันใด!
เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โมโหจนต้องกระทืบเท้า!
ดะ…เด็กคนนี้ ไม่ไว้หน้าเขายิ่งกว่าลูกสาวอีก!
ลูกสาวของนางยังคุยกับเขาสองสามประโยค แต่เด็กคนนี้ไม่พูดไม่จา ปิดประตูใส่หน้าเขาแล้ว?
เป็นถึงองค์ประมุขผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกลูกสาวทิ้งไว้หน้าประตูบ้าน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คงจะถูกคนทั่วทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะเอาได้
“เจ้าเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
องค์ประมุขกล่าวพลางพยายามระงับไฟโทสะในอก
คนด้านในไม่มีผู้ใดสนใจเขา
“ออกมาหาเราเดี๋ยวนี้นะ!” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ดุดัน
แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ก็ไม่มีใครตอบรับ แม้ว่าเขาจะเปิดเผยตัวตนว่าเป็นองค์ประมุขแล้วก็ตาม
เด็กคนนั้นไม่สนใจเขา แต่คนในจวนตายไปหมดแล้วหรืออย่างไร?
ไม่ได้ยินองค์ประมุขอย่างข้าหรืออย่างไร จึงปล่อยให้ข้ายืนรออยู่เช่นนี้?
ยืนรอเช่นนั้นแล้วอย่างไร?
คนวิปลาสที่ไหนกันมาบอกว่าตนเองเป็นองค์ประมุข องค์ประมุขจะมาถึงจวนสกุลเห้อเหลียนเชียวหรือ? แม้แต่องครักษ์สักคนก็ยังไม่มี จะเป็นองค์ประมุขไปได้อย่างไรกัน? คุณชายจวนตะวันตกออกไปข้างนอกยังมีองครักษ์มากกว่าเขาเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นองค์ประมุขจริง เมื่อถูกปฏิเสธไป จะยอมทนยืนรอเช่นนี้หรือ?
บ่าวในจวนต่างไม่มีใครสนใจเสียงเรียกของเขา
อวี๋หวั่นออกมาจากชีสยาย่วนพอดี เธอกำลังจะไปหาท่านแม่ที่สวนอูถง แต่กลับพบว่าท่านแม่ไม่อยู่ ส่วนท่านพ่อก็นอนหลับอยู่ในห้อง
เวลาแบบนี้ ท่านแม่ไปไหนนะ?
อวี๋หวั่นถามบ่าว แต่ทุกคนล้วนแต่ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้
อวี๋หวั่นกังวลว่ามีใครลักพาตัวท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะของเธอไปอีกหรือเปล่า จึงจะออกไปตามหา ทันทีที่เดินไปถึงประตูใหญ่ ก็เห็นบ่าวในเรือนแต่ละคนแลดูมีสีหน้าลำบากใจ
“เกิดอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นถาม
บ่าวคนหนึ่งตอบว่า “เรียนฮูหยินน้อย ด้านนอกมีคนบ้ามาบอกว่าตัวเองคือองค์ประมุขขอรับ”
“มานานหรือยัง?” อวี๋หวั่นถาม
“นานมากแล้วขอรับ” บ่าวตอบ
อวี๋หวั่นให้เขาเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก อวี๋หวั่นก็เห็นองค์ประมุขซึ่งโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เป็นองค์ประมุขตัวจริงเสียงจริง
“พวกเจ้าถอยไปก่อน” เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้บ่าวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พลอยโดนหางเลขไปด้วย เธอจึงสั่งให้พวกเขา
ออกไป
“ขอรับ”
บ่าวซึ่งอยู่บริเวณนั้นจึงถอยออกไป
อวี๋หวั่นยืนอยู่ด้านหลังธรณีประตู มองไปยังผู้ชายที่ทอดทิ้งท่านแม่ของเธอ
ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นองค์ประมุข และยังไม่รู้ว่าท่านแม่ของเธอคือตี้จีองค์โต เธอยังคงยอมรับเพื่อนบ้าน
แสนดีคนนี้ได้อย่างสนิทใจ แต่ตอนนี้เพื่อนบ้านแสนดีกลับดูน่าขันเหลือเกิน
เขาปฏิบัติต่อ ‘เด็กแปลกหน้า’ ที่หลงเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยความใจกว้างและเอ็นดู แต่กลับใจร้ายใจดำทอดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขที่พระสนมตั้งท้องมาเกือบสิบเดือนได้ลงคอ
“อา…อาหวั่น” องค์ประมุขมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยความตกใจ พร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อที่ถูกกดทับอยู่ในใจของเขามาตลอด
อันที่จริงก็เป็นแค่คำเรียก เขาอยากจะเรียกอย่างไรก็เรื่องของเขา เธอจะตอบหรือไม่ก็เรื่องของเธอ
เห็นได้ชัดว่าอวี๋หวั่นไม่ได้ตอบเขา เธอเพียงแต่ถามว่า “ฝ่าบาทมาทำอะไรที่นี่หรือเพคะ?”
เดิมทีคิดว่าอวี๋หวั่นนั้นอ่อนโยนกว่าตี้จีมาก บัดนี้ได้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกคำที่เด็กคน
นี้พูดเปรียบประหนึ่งหมุดที่ตอกลงบนหัวใจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปในดวงตาใสแต่ก็คมกริบของเธอ
“ข้า…” องค์ประมุขอ้าปากพะงาบ “ข้ามาหาแม่ของเจ้า”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ในฐานะอะไรหรือเพคะ?”
คำพูดนี้ฟังดูไม่ไว้หน้าเขายิ่งกว่าที่แท่นบูชาเสียอีก
องค์ประมุขถึงกับตะลึงงัน
ที่แท่นบูชา อวี๋หวั่นยังคงอยู่ในอาการตกใจ หลังจากนั้นเธอจึงปะติดปะต่อเรื่องอีกครั้ง เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้ว เธอก็พลันรู้สึกสงสารท่านแม่ขึ้นมา เดิมทีไม่รู้ว่าตี้จีองค์โตคือท่านแม่ เธอก็รู้สึกเห็นใจนางอยู่แล้ว เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิดเช่นนี้ได้ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าแม่กับลูกหัวใจเชื่อมถึงกัน
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรคิดมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ
แต่ก็มีคำพูดบางคำที่สามารถพูดออกไปได้อย่างเปิดเผย พูดแล้วก็รู้สึกโล่งอก
“ข้าคิดเพียงว่าครอบครัวฝั่งท่านแม่ตายไปหมดแล้ว แม้ว่าข้าจะเห็นใจท่านแม่ แต่ก็รู้สึกว่านางโตแล้ว นางมีท่านพ่อ มีข้ากับน้องชายข้า ชีวิตนี้ก็นับว่าสมบูรณ์แล้ว”
“ข้าไม่รู้ว่าที่จริงแล้วนางถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง”
“เกิดมาก็ถูกทอดทิ้งแล้วครั้งหนึ่ง โตมาก็ถูกน้องสาวแท้ๆ กับพ่อร่วมมือกันขายทิ้งอีกครั้งหนึ่ง”
“ไม่เคยเลี้ยงดูนางเลยสักวัน แต่กลับหาผลประโยชน์จากนาง”
“ท่านบอกว่าท่านเป็นท่านตาของข้า เช่นนั้นข้าขอถามท่านว่าแม่ข้าชอบกินอะไร ชอบใช้อะไร นางคลอดข้ามาตอนไหน คลอดน้องชายข้าตอนไหน ท่านตอบได้ไหม?”
องค์ประมุขถูกอวี๋หวั่นตอกหน้าจนพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนที่ท่านแม่ไม่สบาย ท่านอยู่ที่ไหน? ตอนที่นางร้องเรียกหาพ่อ ท่านอยู่ที่ไหน? ตอนที่นางต้องการพ่อมากที่สุด ท่านไม่อยู่ จะมาปรากฏตัวก็ไม่จำเป็นแล้ว”
หลายสิ่งบนโลกนี้ ใช่ว่าท่านนึกอยากได้ก็ได้ นึกอยากโยนทิ้งก็โยนทิ้งได้
ท่านเป็นองค์ประมุข
แต่ท่านแม่จะไม่เป็นตี้จีก็ได้
ตั้งแต่วินาทีที่ท่านทิ้งนาง นางก็ไม่ได้เป็นตี้จีอีกต่อไป
โอกาสสุดท้ายของท่านได้สลายสิ้นไปตั้งแต่ที่ท่านส่งนางไปแลกกับหนอนตัวหนึ่งแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าท่านเป็นใคร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านแม่ข้า
องค์ประมุขถอนหายใจ “ในตอนนั้นข้าก็…”
“ก็ทำไปเพื่อความปลอดภัยและความสงบสุขของแผ่นดินหนานจ้าว” อวี๋หวั่นพูดตัดบท “แล้วตอนนี้เล่า? ความปลอดภัยและความสงบสุขของแผ่นดินหนานจ้าว ลูกสาวคนเล็กหมดประโยชน์แล้ว ถึงจะนึกถึงลูกสาวคนโต แต่ของที่ลูกสาวคนเล็กของท่านอยากได้หนักหนา สำหรับลูกสาวคนโตของท่านแล้ว…มันไม่มีค่าเลยแม้แต่นิดเดียว!”
ไม่มีค่าเลยแม้แต่นิดเดียว!
องค์ประมุขรู้สึกประหนึ่งถูกค้อนทุบแรงๆ หลายครั้ง สะเทือนจนทรงตัวไม่อยู่
อันที่จริงอวี๋หวั่นยังไม่ได้คุยกับท่านแม่ แต่เธอเป็นลูกของนาง บางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูด เธอก็รู้ว่าท่านแม่จะเลือกอะไร
ถ้าหากยังไม่สิ้นหวังจริง ทำไมท่านแม่ต้องบอกว่าคนในครอบครัวตายไปหมดแล้วด้วย? ในใจของนาง พวกเขาได้ตายไปแล้วอย่างไรเล่า
อวี๋หวั่นหันหลัง เดินออกจากจวน ผ่านหน้าองค์ประมุขซึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่กับที่
องค์ประมุขนัยน์ตาเป็นประกายวูบหนึ่ง
อวี๋หวั่นหันมาแล้วบอกว่า “สมน้ำหน้า”
องค์ประมุขมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยความสงสัย
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าราบเรียบ “เอาแม่ข้าไปแลกกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ลังเล สุดท้ายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับตกมาอยู่ในมือข้า ท่านรู้สึกอย่างไร? มีความสุขไหมเล่า?”
องค์ประมุขซึ่งถูกอวี๋หวั่นจิกกัดจนพูดไม่ออก “…”
“ข้ามีความสุขสุดๆ” อวี๋หวั่นพยักหน้า แล้วเดินกลับเข้าจวนไป
ก่อนหน้านี้เธอไม่ชอบเจ้าตัวเล็กนี่เอาเสียเลย แต่ตอนนี้เธอชักจะชอบมันขึ้นมาแล้ว
เธอตัดสินใจว่าจะดูแลมันให้ดีกว่านี้อีกสักหน่อย อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ท่านแม่ใช้การแต่งงานในนามแลกมา
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือมันทำให้คนที่เคยรังแกท่านแม่ของเธอต้องโมโหจนกระทืบเท้า แต่พวกเขาก็ได้แต่มองตาละห้อยเพราะทำอะไรไม่ได้ เธอมีความสุขเสียจริง
อวี๋หวั่นเข้าไปในจวนโดยไม่หันหลังกลับมา ขณะที่เดินผ่านสวนดอกไม้ เธอก็สั่งบ่าวว่า “ต่อไปถ้ามีคนมาปลอมเป็นท่านตาของข้าอีก ก็ไล่ไปซะ”
องค์ประมุขซึ่งได้ยินคำพูดของอวี๋หวั่นเต็มสองหู “…”
องค์ประมุขผู้ซึ่งอยากจะระเบิดตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด “…”
คนอื่นอาจจะพบกับความผิดหวัง แต่เขาผู้นี้กลับต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ เขาเดินคอตกขึ้นรถม้าไป
ขันทีหวังได้ยินว่าฝ่าบาทยังไม่กลับวัง จึงเดาได้ว่าไปหาตี้จีองค์โต จึงรีบขึ้นรถม้าตามมา เมื่อมาถึงก็พบว่าองค์ประมุขมีสีหน้าย่ำแย่เหลือเกิน
“กะ…เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เขารีบรุดไปด้านหน้าด้วยความวิตก
ขันทีหวังทิ้งรถม้าของตนไว้ แล้วทำใจดีสู้เสือตามเจ้านายของตนขึ้นรถม้าไป
องค์ประมุขกำลังเดือดดาล ไม่ทันได้มองกระดานซักผ้าที่ตนโยนทิ้ง จึงสะดุดและล้มลงไปนั่งคุกเข่า
องค์ประมุขซึ่งเดินสะดุดกระดานซักผ้า “…”
ขันทีหวังซึ่งเห็นเหตุการณ์ “…”
ระหว่างทางกลับวังหลวง ไม่มีผู้ใดพูดอะไรสักคำ
ขันทีหวังคิดในใจว่า วิธีสำนึกผิดของท่านจริงใจเหลือเกิน แม้แต่กระดานซักผ้าก็พกมาด้วย ว่าแต่ท่านคุกเข่าทำไม? หรือว่ากำลังแอบซ้อมสารภาพผิดอยู่?
ซ้อมก็ส่วนซ้อม ต้องจริงจังขนาดนี้เชียวหรือ? ดูกระดานซักผ้าสิแตกแล้วเนี่ย
ในฐานะที่เป็นข้าราชสำนักผู้ภักดี เขาย่อมต้องช่วยองค์ประมุขแบ่งเบาความวิตกกังวลนี้
หลังจากที่องค์ประมุขกลับห้องนอนไปอาบน้ำอาบท่า เมื่อกลับมาที่ห้องก็พบว่าบนเตียงของตนมีกระดานซักผ้าเพิ่มมาอีกหนึ่งแผ่น
ทำจากเหล็ก!
ไม่แตกไม่หัก!
องค์ประมุขซึ่งอยากจะตีขันทีหวังให้ตาย “…!!”
……
ความวิตกขององค์ประมุขได้กลายเป็นความจริงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
เขายังไม่ทันนั่งจนเตียงอุ่น ก็มีคนมากราบทูลว่า “ฮองเฮาเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาเป็นสตรีที่สามารถเข้ามายังห้องบรรทมได้โดยตรง แม้ว่าในตอนนี้เขาไม่อยากพบนาง แต่ในเมื่อมาแล้ว เขาก็คงห้ามไม่ได้แล้ว
เขาจำใจเรียกให้ฮองเฮาเข้ามา
เรื่องที่เกิดขึ้นบนแท่นบูชา ฮองเฮาได้ฟังมาแล้ว ลูกสาวของนางสร้างความเคืองแค้นให้เหล่าอาณาประชาราษฎร์ และถูกองค์ประมุขสั่งขังไว้ในคุกหลวง
เมื่อลูกสาวของนางเข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างคุกหลวง ยังจะมีจุดจบที่ดีได้อยู่อีกหรือ?
ฮองเฮาไม่สนใจกิริยามารยาทได้อีกต่อไป นางร่ำไห้ออกมาทันทีที่เห็นองค์ประมุข “ฝ่าบาท…ไฉนท่านจึงใจร้ายใจดำเช่นนี้ ไม่ถามอะไรสักคำ ข้าเป็นแม่นะเพคะ ท่านส่งลูกสาวของท่านเข้าคุกหลวง…ข้าตั้งท้องนางมาสิบเดือน…ท่านไม่เห็นแก่ข้าบ้างหรือ?”
องค์ประมุขเพิ่งถูกตอกหน้ามาจากจวนสกุลเห้อเหลียน บัดนี้สภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก ไม่อาจค่อยๆ ปลอบประโลมนางอย่างใจเย็นได้ เขาตอบว่า “นางทำผิดเองต่างหาก ข้าก็เพียงตัดสินอย่างเป็นธรรม”
“นางเป็นลูกของท่านนะเพคะ!”
“นางเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว! ราชวงศ์ทำความผิด ย่อมต้องรับโทษเช่นเดียวกับราษฎร!”
ฮองเฮาถูกไฟโทสะทำให้ตกใจกลัว เป็นสามีภรรยากันมานาน นางไม่เคยเห็นเขาโมโหเช่นนี้มาก่อน
น้ำตาเอ่อล้นที่ขอบตาของฮองเฮา นางคาดเดาในสิ่งที่ไม่อยากเชื่อ และเอ่ยถามไปว่า “ท่านเจอเด็กคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
องค์ประมุขไม่ตอบ เขาหันหลังไป
ฮองเฮาสะอึกสะอื้นและกล่าวว่า “ท่านหันมามองข้านะเพคะ ท่านเจอนางแล้วใช่ไหม? ตั้งแต่ที่นางกลับมา เยี่ยนเอ๋อร์ของข้าก็ไม่เคยมีวันคืนที่ดีเลย แต่ท่านกลับไปหานางน่ะหรือ? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าราชครูท่านก่อนทำนายชะตาของนางไว้ว่าอย่างไร? นางเป็นกาลกิณี หากเกิดในตระกูลสามัญชน ก็จะล้างผลาญพ่อแม่พี่น้อง แต่หากเกิดในราชวงศ์ ก็จะพิฆาตชะตาของหนานจ้าว”
องค์ประมุขกำหมัด “ราชครูท่านก่อน…อาจจะทำนายผิด”
ฮองเฮากล่าวอย่างชอกช้ำว่า “ท่านหมายความว่า ลูกสาวของผู้หญิงคนนั้นเป็นดาวนำโชค แต่เยี่ยนเอ๋อร์ของข้าเป็นกาลกิณีหรือ?”
องค์ประมุขไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาเพียงแต่จะบอกว่าเด็กคนนั้นก็อาจจะมีดวงชะตาที่ดีเหมือนกัน
เป็นลูกของเขาทั้งคู่ ย่อมต้องดีทั้งคู่
ขณะที่ปัญหาของทั้งสองยังไม่คลี่คลาย ก็มีเสียงคนกราบทูลมาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท อวิ๋นเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………….
Related