ก่อนหน้านี้มีฝนตกปรอยๆ ทำให้กำแพงอิฐสีเทาและกระเบื้องมุงหลังคาสีแดงเปียกชื้น พื้นหินขัดก็เปียกเช่นกัน รองเท้าสีขาวปักดิ้นงดงามค่อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตู เหยียบลงบนพื้นที่เฉอะแฉะ
มือข้างหนึ่งของนางจับชายกระโปรง ท่าทางระมัดระวัง
สายตาของเยี่ยนอ๋องมองไปยังใบหน้างาม ความทรงจำอันยุ่งเหยิงของเขาพลันชัดเจนขึ้นมา ราวกับมีมือข้างหนึ่งมาเปิดม่านที่บดบังสายตาของเขาออก ทำให้เขามองเห็นดวงหน้าซึ่งสลักตรึงอยู่ในใจ
วันเวลายังยอมจำนนต่อความงามของนาง
ผ่านไปสิบกว่าปี ร่องรอยแห่งกาลเวลาก็ไม่ได้ประทับอยู่บนใบหน้าของนาง เพียงแต่นางแลดูเยือกเย็นกว่าแต่ก่อน ความปวดร้าวมิได้ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วของนาง ทำให้ดูอ่อนหวานขึ้นกว่าเดิม
นางรักการแต่งตัว นางมักจะสวมเครื่องประดับเพชรนิลจินดาอยู่เป็นเนืองนิจ ในตอนนี้ใบหน้าของนางกลับปราศจากเครื่องประทินโฉม ดวงตาใสราวกับน้ำ ปิ่นปักผมหยกขัดอยู่ในเส้นผมดำขลับ นางไม่ใช่ซั่งกวนเยี่ยนในตอนนั้นที่สว่างวาบในความทรงจำของเขาอีกต่อไป
นางกลายเป็นสตรีสามัญคนหนึ่ง
ยังมีอีกหลายเรื่องที่นึกไม่ออก เขานึกออกเพียงภาพอันเลือนราง ทว่าทันทีที่เห็นนาง ภาพต่างๆ ก็พรั่งพรูเข้ามาในสมองของเขา
ฉงเอ๋อร์หน้าเหมือนเขาสักเจ็ดส่วนเห็นจะได้ อีกสามส่วนนั้นเหมือนกับนาง
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านางเป็นใคร ระหว่างพวกเขาเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำที่สุดในโลก
“ไอ้หยา นั่นใครน่ะ ทำไมมาจ้องหน้าฮูหยินบ้านข้าเช่นนี้!” สาวใช้คอยดูแลซั่งกวนเยี่ยนอย่างใกล้ชิด นางคอย
ระแวดระวังภยันตรายโดยรอบ เพราะฉะนั้นจึงสังเกตเห็นบุรุษผู้ซึ่งจับจ้องฮูหยินบ้านตนอย่างไม่ละสายตา
เยี่ยนอ๋องสวมหน้ากาก สาวใช้จึงจดจำครึ่งหน้าของบุรุษผู้เป็นบิดาของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้
ซั่งกวนเยี่ยนมองตามสายตาของสาวใช้ไป ก็เห็นร่างสูงโปร่ง และเมื่อเห็นดวงตาที่แสนคุ้นเคยคู่นั้น นางก็พลันตัวสั่นขึ้นมาทันที!
“ฮูหยิน!”
“พระชายา!”
เสียงของสาวใช้และอิ่งลิ่วดังขึ้นพร้อมกัน
สาวใช้ตื่นตะลึง “เอ๋? องครักษ์อิ่ง?” จากนั้นก็มองไปยังอิ่งสือซันซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “ไฉนจึงเป็นพวกท่าน?”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเป็นคนสนิทของเยี่ยนจิ่วเฉา ย่อมเคยไปจวนสกุลเซียว ซั่งกวนเยี่ยนเองก็เคยอาศัยอยู่ในจวนคุณชาย ต่างฝ่ายต่างรู้จักกัน ซั่งกวนเยี่ยนซื้อสาวใช้คนนี้มาเมื่อปีที่แล้ว นางชื่อว่าซิ่งจู๋
ซิ่งจู๋เป็นบ่าวจวนสกุลเซียว ย่อมใช้คำเรียกตามจวนสกุลเซียว เรียกซั่งกวนเยี่ยนว่าฮูหยิน อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วกลับเรียกตามฐานะของคุณชาย จึงเรียกนางว่าพระชายามาตลอด
เมื่อได้ยินว่าพระชายา เยี่ยนอ๋องก็มีสีหน้าตกตะลึงขึ้นทันใด
ซั่งกวนเยี่ยนปล่อยมือจากสาวใช้ แล้วค่อยๆ เดินไปหาเยี่ยนอ๋องด้วยความตะลึงงัน
“ท่านอ๋อง เป็นท่านหรือ?” นางหยุดอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนอ๋อง น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
สายตาของเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ตรงหน้าท้องนูน ซึ่งนางกำลังใช้มือพยุงอยู่
ใช่แล้ว
นางแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว
แต่งงานกับแม่ทัพเซียวเจิ้นถิงผู้ยิ่งใหญ่
นางไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกต่อไป
ซั่งกวนเยี่ยนยังไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของเขา นางเพียงต้องการยืนยันตัวตนของเขา ขอบตาของนางแดงก่ำ มือสั่นเทิ่มยกขึ้นมาถอดหน้ากากของเขาออก
เยี่ยนอ๋องกำลังจมอยู่ในอาการตกตะลึง จึงเบี่ยงกายหลบไม่ทัน
หน้ากากถูกถอดออกแล้ว
ทันทีที่เห็นรอยแผลเป็นที่พาดผ่านใบหน้าข้างซ้ายของเขา นางก็ควบคุมตนเองไม่ได้ และร่ำไห้ออกมา…
นางร้องไห้ราวกับกำลังจะขาดใจ
ซั่งกวนเยี่ยนผู้ซึ่งถูกคนครึ่งค่อนเมืองหลวงโจมตี นางไม่เคยสะเทือนใจเช่นนี้มาก่อน
เยี่ยนอ๋องอยากเดินเข้าไปเหลือเกิน ปลายนิ้วของเขาสั่นระรัว เขาทำไม่ได้ ทำไม่ได้อีกต่อไป นางไม่ใช่ชายาของเขาอีกต่อไป…
เซียวเจิ้นถิงได้ยินเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของซั่งกวนเยี่ยน เขาตกใจจนกระโดดลงจากรถม้า ปราดเข้าไปหาฮูหยิน ของตนอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น? ใครรังแกเจ้า?”
เขาท่าทางร้อนรนราวกับเด็ก แม่ทัพใหญ่เซียวเจิ้นถิงผู้ซึ่งรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งไม่เคยต้องมาดูแลสตรีตั้งครรภ์ ก็เขาไม่มีประสบการณ์นี่นา!
เขารู้เพียงว่าเมื่อสตรีตั้งครรภ์แล้วจะร้องไห้ง่ายขึ้น
แต่ร้องไห้หนักเพียงนี้คืออีกเรื่องหนึ่ง
เป็นเจ้าชั่วนั่นทำขนาดนี้เชียวหรือ?
ทำให้นางเป็นเช่นนี้จะเป็นใครไปได้นอกจากเจ้านั่น!!!
ทันใดนั้นเซียวเจิ้นถิงก็สังเกตเห็นบางอย่างไม่ชอบมาพากล
สีหน้าของทุกคนล้วนแต่ดูแปลกประหลาด
สาวใช้มีสีหน้าคล้ายกับจะพูดบางอย่างออกมา แต่นางกลับทำคอตก ราวกับอยากจะหายไปจากตรงนี้
เขาหันหน้าไป สายตาไปหยุดอยู่ที่อิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว
พวกเขาเป็นองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉา ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่?
สุดท้ายแล้ว สายตาของเขาก็ไปหยุดลงที่ร่างของเยี่ยนอ๋อง
อันที่จริง ในตอนที่เขากระโดดลงจากรถม้า เงาของคนผู้นี้ก็เข้ามาอยู่ในสายตาของเขาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขาจึงบังคับให้ตนเองเพิกเฉย แล้วตรงไปหาซั่งกวนเยี่ยนทันที
เห็นที เมื่อครู่เขาคงจะเดาออกแล้ว เพียงแต่ลึกๆ ในใจกลับไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไร
“เซียวเจิ้นถิง” เขาบอกชื่อตนเอง พร้อมกับยกมือขึ้นประสานกัน “คำนับเยี่ยนอ๋อง”
สายตาที่ดูเฉื่อยชาของเยี่ยนอ๋องละจากใบหน้าของซั่งกวนเยี่ยน แล้วมาหยุดที่ใบหน้าของบุุรุษคนนี้ เขานึกไม่ถึงว่าจื่อจวินจะมาชอบพอบุรุษหน้าตาท่าทางดุดันเช่นนี้ นางเป็นสตรีที่อ่อนหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างของนางตั้งแต่กระเบื้องไปจนถึงดอกไม้ใบหญ้า อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ของนาง เครื่องประดับของนาง ชุดน้ำชาและจานชาม ล้วนต้องประณีตงดงามถึงขั้นหาได้ยากในใต้หล้า
ในตอนนั้น เยี่ยนอ๋องเข้าตานาง ก็เพราะใบหน้าของเขาของเขาหล่อเหลางดงามมากพอสำหรับนาง
ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ของเขาเท่านั้น เขายังอ่อนโยนและเอาใจใส่ เรื่องรสนิยมและความสามารถยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาไม่ได้ลงเล่นในสนามรบ มิเช่นนั้นแม่ทัพแห่งต้าโจวจะเกิดมาได้อย่างไร?
เซียวเจิ้นถิงเป็นคนหยาบกระด้าง
กินข้าวก็ต้องกินชามใหญ่ ดื่มสุราก็ดื่มไหยักษ์
ฝ่ามือของเขาใหญ่ราวกับอุ้งตีนหมี
เขียนตัวอักษรหนึ่งตัว แต่มีขนาดใหญ่เท่าตัวอักษรที่คนอื่นเขียนสิบตัว
ซั่งกวนเยี่ยนอยู่กับเยี่ยนอ๋องแลดูประหนึ่งเทพเซียน เมื่อไปอยู่กับเซียวเจิ้นถิง กลับดูเหมือนโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเสียมากกว่า
“ท่านอย่าได้กล่าวโทษนางเลย” เซียวเจิ้นถิงขวางอยู่ด้านหน้าซั่งกวนเยี่ยน เยี่ยนอ๋องจ้องมองพวกเขาโดยที่ไม่ได้สนใจ เซียวเจิ้นถิงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ตนเองเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้นิสัยใจคออันซับซ้อนของผู้ทรงภูมิ แต่เขาสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้ยังคงไม่สบายใจ
ระหว่างทางมายังหนานจ้าวเขาก็คิดไว้บ้างแล้วว่าอาจได้พบกับเยี่ยนอ๋อง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้
“ข้าเป็นคนบังคับให้นางแต่งงานด้วย ข้ามียาถอนพิษของฉงเอ๋อร์ หากนางไม่แต่งงานกับข้า ข้าก็จะไม่ให้นาง!” เซียวเจิ้นถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ซั่งกวนเยี่ยนดึงแขนเสื้อของเขาไว้เป็นเชิงปรามว่าอย่าพูดเหลวไหล
เซียวเจิ้นถิงยืดอกกล่าวว่า “ข้าบังคับให้นางแต่งงานเอง!”
เยี่ยนอ๋องไม่ได้พูดอะไร เขาหลุบตาลง แล้วหันหลังเดินเข้าเรือน
สาวใช้และอิ่งลิ่วมองหน้ากัน บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
อิ่งสือซันสีหน้าไร้อารมณ์ดังเคย
ในตอนนั้นเอง รถม้าของอวี๋หวั่นก็เคลื่อนเข้ามา
ฝนเพิ่งตก พื้นถนนเฉอะแฉะ อวี๋หวั่นค่อยๆ อุ้มลูกลงจากรถม้า
เด็กน้อยทั้งสามวิ่งเข้ามาในทันใด
อวี๋หวั่นจึงเอ่ยปากเตือนว่า “ระวังชนท่านย่า!”
เป็นเพราะในท้องของซั่งกวนเยี่ยนมี ‘น้องเล็ก’ ทั้งสามจึงตื่นเต้นเหลือเกิน อยากวิ่งเข้าไปหา ‘น้องเล็ก’ แล้ว
นั่นคืออาเล็กของพวกเจ้า ไม่ใช่น้องเล็กสักหน่อย!
ทั้งสามมาหยุดตรงหน้าของซั่งกวนเยี่ยน พวกเขาเงยหน้าขึ้นไปมองท้องกลมๆ ของนาง
เมื่อเห็นเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำกว่าแต่ก่อน ความชอกช้ำในใจของซั่งกวนเยี่ยนก็พลันหายไป แล้วหัวเราะออกมา
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป บรรยากาศในตอนนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ซั่งกวนเยี่ยนบวมเบ่งราวกับลูกเหอเถา(วอลนัท) แล้วก็…อิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? พวกเขาไม่ได้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาส่งไปคุ้มกันเยี่ยนอ๋องหรอกหรือ?
“เกิดอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นถามขึ้นเพราะคล้ายกับมีลางสังหรณ์
อิ่งลิ่วชี้ไปยังเรือนของเยี่ยนอ๋อง “เมื่อครู่พระชายาเจอกับเยี่ยนอ๋องขอรับ”
“อา…” อวี๋หวั่นทำตาโต
เซียวเจิ้นถิงได้ยินข่าวคราวของเยี่ยนอ๋องตั้งแต่ครั้นอยู่ในเมืองหลวง ข่าวเหล่านี้มาจากคาราวานพ่อค้าจากทางใต้ เป็นเพราะเคยเข้าไปในตำบลชิงเหอ จึงได้ยินข่าวของสกุลเห้อเหลียน รวมไปถึงข่าวของราชบุตรเขยและพระชายา
ข่าวคราวในชายแดนนั้นไม่ละเอียดเท่าในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นเรื่องของจวนประมุขหญิงเพิ่งถูกเปิดเผยได้ไม่นาน จึงรู้เพียงว่าราชบุตรเขยคือเยี่ยนอ๋อง แต่ไม่รู้ว่าประมุขหญิงบีบบังคับเยี่ยนอ๋อง
เพราะฉะนั้นในเมืองหลวงจึงเต็มไปด้วยการคาดเดาในแง่ลบ กล่าวว่าเยี่ยนอ๋องแสร้งว่าตายไปแล้ว ทอดทิ้งภรรยาและลูก จากนั้นก็ไปเป็นราชบุตรเขยของประมุขหญิงแห่งหนานจ้าว
เรื่องนี้เดิมทีก็ควรจะปกปิดซั่งกวนเยี่ยนได้ แต่กลับมีข่าวว่าซื่อจื่อจวนเยี่ยนอ๋องเดินทางไปยังหนานจ้าวเพื่อตามหาพ่อแท้ๆ ของตน
ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ซั่งกวนเยี่ยนเข้าเฝ้า แล้วถามนางถึงเรื่องนี้
ซั่งกวนเยี่ยนสับสน นางไม่รู้เลยว่าลูกชายลอบเดินทางไปยังหนานจ้าว และไม่รู้เลยว่าเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่
ฮ่องเต้ไม่เชื่อว่าเยี่ยนอ๋องจะหักหลังตน และคาดเดาว่าตี้จีองค์เล็กจะต้องใช้วิธีการบางอย่างมาหลอกน้องชายของตน เพราะฉะนั้นจึงส่งเซียวเจิ้นถิงมาที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาเยี่ยนอ๋องกลับไปให้ได้
ก่อนออกเดินทาง ซั่นกวนเยี่ยนเข้าไปหาเซียวเจิ้นถิงแล้วบอกว่านางอยากมาด้วย
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้ถามอะไร และให้นางเดินทางมาด้วย
คนตั้งครรภ์เดินทางไม่สะดวก
นางเป็นแม่คนมาก่อน นางรู้ข้อห้ามนี้ดีกว่าใคร แต่ในเมื่อนางยืนกรานที่จะมา ก็หมายความว่านางย่อมต้องมีเหตุผลของตน
ซั่งกวนเยี่ยนคิดถึงลูก และนางก็อยากพบเยี่ยนอ๋อง
“ข้าอยากถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นจึงไม่ต้องการข้ากับฉงเอ๋อร์”
แต่เมื่อได้พบเขาจริงๆ นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไร
เขาผ่ายผอมกว่าในความทรงจำมาก
ใบหน้าของเขากลายเป็นเช่นนั้น ซั่งกวนเยี่ยนไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“ในตอนแรกที่ได้ยินว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังแต่งงานมีลูก ข้าก็นึกโกรธเคืองเขาไปแล้ว”
ซั่งกวนเยี่ยนนั่งอยู่ในห้อง นางเอ่ยขึ้นเบาๆ
ในห้องไม่มีคนอื่น อวี๋หวั่นนั่งฟังเงียบๆ
“หากเขาไม่ต้องการข้าก็ไม่เป็นไร ข้าก็จะไม่ตอแยเขา แต่ทำไมเขาถึงต้องทอดทิ้งฉงเอ๋อร์ด้วย? ข้าคิดแค่ว่าเขาช่างใจจืดใจดำ” ซั่งกวนเยี่ยนชะงักไป รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในลำคอ “แต่วันนี้ได้พบหน้าเขา ข้าจึงรู้ว่าตนคิดผิดไป เขายังคงเป็นท่านอ๋องคนเดิม”
เขาไม่ได้เปลี่ยนไป
คนที่เปลี่ยนไปก็คือนาง
นางไม่ใช่จื่อจวินของเขาอีกต่อไป
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร พวกเขาเคยเป็นคนที่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สุด ใจตรงกันมากที่สุด ทั้งยังมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันมากที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะหนานกงเยี่ยนสอดมือเข้ามายุ่มย่าม บางทีพวกเขาก็อาจจะยังคงเป็นคู่กิ่งทองใบหยกกันอยู่ และบางทีอาจมีน้องให้เยี่ยนจิ่วเฉาตั้งนานแล้ว
แต่บนโลกนี้ไม่มี ‘ถ้า’
ความรักลึกซึ้ง โชคชะตาเปราะบาง
และที่น่าเศร้าที่สุดก็ไม่ใช่ไม่เคยถูกรัก หากแต่เพราะพลัดพราก
เยี่ยนจิ่วเฉามาถึงในช่วงค่ำ
เขากลับจวนเห้อเหลียนไปก่อน และรู้จากจื่อซูกับฝูหลิงว่าเซียวเจิ้นถิงมาที่นี่ ซั่งกวนเยี่ยนก็มาด้วย อวี๋หวั่นพาเด็กทั้งสามไปหาซั่งกวนเยี่ยน พวกเขาพักอยู่ที่ถนนซื่อสุ่ย
ถนนซื่อสุ่ย
เยี่ยนอ๋องก็มีเรือนอยู่ที่นั่นหลังหนึ่ง
ขออย่าให้เกิดฉากนองเลือดเลย
เยี่ยนจิ่วเฉาตรงไปยังถนนซื่อสุ่ยทันที
ฉากนองเลือดได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ พ่อบังเกิดเกล้าของเขาและพ่อบุญธรรมของเขาอาศัยอยู่บ้านตรงข้ามกัน
คุณชายเยี่ยนยืนอยู่บนตรอกเล็กระหว่างเรือนทั้งสองหลัง เขาได้ยินเสียงของเด็กๆ ซึ่งส่งเสียงดังมาจากเรือนของพ่อบุญธรรมของตน สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจผลักประตูเรือนของพ่อแท้ๆ เข้าไป
ประจวบเหมาะกับในตอนนั้น อวี๋หวั่นกำลังจะไปรับลูกๆ ที่เรือนของเซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยน ทันทีที่ผลักประตูออก เธอก็พบกับสามีของตนเข้าพอดี
“สามี?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว เขากลับมาเร็วกว่าที่เธอคิด คงไม่ได้รีบร้อนมาจัดการสถานการณ์หรอกใช่ไหมนั่น? น่าเสียดายที่ฉากสำคัญได้จบลงไปแล้ว เยี่ยนอ๋อง ซั่งกวนเยี่ยน และเซียวเจิ้นถิงได้พบหน้ากันในบรรยากาศน่าอึดอัดไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยนจิ่วเฉาเชิดคางของอวี๋หวั่นขึ้น แล้วมองไปยังขอบตาแดงๆ ของเธอ “เจ้าร้องไห้หรือ?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ข้าเพิ่งมาจากฝั่งนั้น เมื่อครู่ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เลยร้องไห้นิดหน่อย”
ความเห็นใจของเยี่ยนจิ่วเฉาพลันมลายหายไป “…”
ดวงตาใสกลมโตของอวี๋หวั่นเบิกกว้าง แล้วเอ่ยถามว่า “เยี่ยนจิ่วเฉา จะมีวันหนึ่งที่ท่านลืมข้าไหม?”
“เจ้าคิดมากอะไรกัน” เยี่ยนจิ่วเฉาจิ้มหน้าผากของอวี๋หวั่น
“โอ๊ย!” อวี๋หวั่นรู้สึกเจ็บ
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งขนมมันปูกรอบใส่มือของอวี๋หวั่น จากนั้นก็ก้าวข้ามธรณีประตู เข้าไปในเรือนของเยี่ยนอ๋อง
…………………………………..
Related