บทที่ 26 พี่จิ่วรับผิด ท่านพ่อออกจากคุก (1)
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นนั่งอยู่บนหลังม้า รอคอยด้วยความวิตกกังวล
สรุปแล้วเยี่ยนจิ่วเฉาเห็นอะไร? มองจากด้านหลัง เขาเพียงชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืนนิ่งราวกับถูกฟ้าผ่า หลังจากนั้นก็เดินเข้ากระท่อมไป
อวี๋หวั่นมองไปอีกครั้งก็ไม่เห็นเขาแล้ว
“คุณชายของพวกเจ้าคงไม่เป็นอะไรกระมัง?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามองครักษ์
องครักษ์ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขาไม่ได้สนใจเธอด้วยซ้ำ สายตาเอาแต่จับจ้องไปยังกระท่อมมุงหญ้าผุพังหลังนั้น
อวี๋หวั่นรู้สึกเหมือนกำลังพูดอยู่กับร่างไร้วิญญาณ เธอนิ่งไป เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน ความสนใจไปรวมกันอยู่ที่กระท่อมมุงหญ้าเพียงจุดเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ออกมา เขาอุ้มบุรุษคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ดูจากลักษณะแล้วเป็นอวี๋เซ่าชิง บิดาของอวี๋หวั่น
องครักษ์เดินขึ้นหน้าไปรับอวี๋เซ่าชิงมาจากเยี่ยนจิ่วเฉา องครักษ์ที่เหลือเข้าไปเก็บตาข่าย แล้วเดินตามเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาทางอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรีบร้อนกระโดดลงจากม้า วิ่งเข้าไปหาบิดา “ท่านพ่อ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักฝีเท้า องครักษ์ก็หยุดชะงักเช่นกัน
อวี๋หวั่นยื่นมือไปอังที่จมูก แล้วจึงคลำไปบนแขนของบิดา เมื่อแน่ใจว่าชีพจรยังเต้นอยู่ เธอก็รู้สึกโล่งใจกว่าเดิมมาก
เพียงแต่…เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ? ทำไมเยี่ยนจิ่วเฉาดูเห็นอกเห็นใจเธอกัน?
หรือเป็นเพราะพ่อของเธอได้รับความทุกข์ทรมาน เขาจึงพลอยเห็นใจลูกสาวไปด้วย?
เยี่ยนจิ่วเฉากระแอม แล้วกล่าวว่า “พ่อเจ้าได้รับยาสลบในปริมาณมาก ฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
เพียงแต่ว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าเองนั่นแลที่จะเจอปัญหา
อวี๋หวั่นไม่มีกะจิตกะใจจะไปถอดรหัสสายตาของคุณชาย เธอมัวแต่กังวลเรื่องของบิดา “ท่านพ่อสภาพแบบนี้ ถ้าท่านแม่รู้ นางจะต้องเศร้ามากอย่างแน่นอน บนโลกนี้ คนที่ท่านแม่รักที่สุดก็คือข้า รองลงมาก็ท่านพ่อนี่แหละ”
เยี่ยนจิ่วเฉายิ่งรู้สึกเห็นใจอวี๋หวั่นเข้าไปอีก…
“คนร้ายล่ะ?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มองหน้าเธอตรงๆ “หนีไปแล้ว”
อวี๋หวั่นประหลาดใจ “หนีไปแล้ว? ทำไมข้าไม่เห็น?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หนีไปทางด้านหลัง”
“คนร้ายหน้าตาเป็นอย่างไรท่านจำได้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาสีหน้าจริงจัง ไม่เพียงจำหน้าได้ ต่อให้วันหนึ่งคนผู้นั้นเหลือเพียงเถ้ากระดูก เขาก็ยังจำได้ “ข้าจะนำคนไปส่งคุกหลวง”
“…อืม” แม้อวี๋หวั่นจะไม่อยากปล่อยไป แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ท่านพ่อยังมีความผิดติดตัว ถ้ากลับไปก็คงจะหนีคุกหลวงไม่พ้นอีกแล้ว
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นเบาๆ “ต่อไปไม่ให้ท่านพ่อข้ากินยาแล้วได้ไหม?”
น้ำเสียงสบายๆ แต่สำหรับเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเดียดฉันท์ว่า “คนที่ข้าส่งไป พวกเขาจะกล้าให้ยาหรือ?”
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นมอง น้ำตารื้นขอบตา “ขอบคุณนะ เยี่ยนจิ่วเฉา”
นัยน์ตาเป็นประกาย ส่องสว่างไปยังส่วนที่มืดบอดที่สุดในจิตใจของเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาแทบหยุดหายใจ เขาเบือนสายตาไปทางอื่นประหนึ่งกำลังต่อต้าน แล้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ขึ้นม้า!”
การเปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลันของเขานั้น ทำให้อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงงงวย เธอพูดอะไรผิดงั้นเหรอ? ทำไมอารมณ์ถึงเปลี่ยนกะทันหันอย่างนี้?
ทั้งสองคนขี่ม้าไปด้วยกันจนถึงเชิงเขา รถม้าจอดอยู่บริเวณนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้คนพาอวี๋เซ่าชิงเข้าไปในรถม้า จากนั้นเขาและอวี๋หวั่นจึงขึ้นไปนั่งด้านใน
คนทั้งหมดเดินทางไปยังคุกหลวง อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนไหวจิ่งและจวินฉางอันก็ยังตามเสาะหาร่องรอยของอวี๋เซ่าชิง ตามหาไปเรื่อยๆ ไม่สู้การพึ่งพาโชค คนผู้นั้นรวดเร็วเหลือเกิน ถึงแม้จะแบกบุรุษร่างสูงใหญ่อยู่ก็ยังสลัดการตามของจวินฉางอันหลุด
เรื่องเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ ประตูเมืองปิดอยู่ คนผู้นั้นไม่มีทางหลบหนีออกไปจากเมืองหลวงได้
“องค์ชาย ท่านดู” ขณะที่กำลังเดินทางผ่านตรอกสายหนึ่ง จวินฉางอันก็สังเกตเห็นรถม้าและคนกลุ่มหนึ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งกระตุกเชือก มองไปตามเสียง สายตาก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์คุ้นตา เขาเอ่ยขึ้นว่า “รถม้าของคุณชายเยี่ยน? เป็นเยี่ยนจิ่วเฉารึ? เขาก็ออกตามหาอวี๋เซ่าชิงเช่นกัน”
ด้วยความสัมพันธ์ที่ยังคลุมเครือของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาออกหน้าตามหาอวี๋เซ่าชิงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ที่แปลกก็คือองครักษ์ที่มากับเขาทั้งเก้าคนนั้น ล้วนสวมผ้าคลุมสีเงิน สวมหน้ากากสีเงิน ความน่าสะพรึงกลัวแผ่ไปรอบกาย แม้แต่ม้าที่พวกเขาขี่อยู่ก็ดูเหมือนม้าอสูร ชวนให้ขนลุกขนพองยิ่งนัก
“คนกลุ่มนั้นคือผู้ใดหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“ทัพผู้วายชนม์” จวินฉางอันตอบ “ทัพผู้วายชนม์หน้ากากเงิน”
เยี่ยนไหวจิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับทัพผู้วายชนม์มาบ้าง ใต้หล้ามีองครักษ์ที่ทำงานรับใช้ผู้ว่าจ้างเป็นจำนวนมาก แต่องครักษ์ที่เรียกว่า ‘ทัพผู้วายชนม์’ นั้นมีไม่มาก ทัพผู้วายชนม์หน้ากากทองแดงนั้นนับว่าพบเห็นได้น้อย หน้ากากเงินนั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง ส่วนทัพผู้วายชนม์หน้ากากทองนั้นปรากฏเพียงในตำนาน ในจงหยวนไม่พบเห็นทัพผู้วายชนม์หน้ากากเงินมานานหลายปีแล้ว
ไม่คิดเลยว่าข้างกายของเยี่ยนจิ่วเฉาจะมีทัพผู้วายชนม์ถึงเก้าคน
จวินฉางอันกล่าวว่า “มิน่าเล่า เขาถึงสามารถล้างบางเชียนจีเก๋อได้ภายในคืนเดียว ปัญหาก็คือ คุณชายเศษสวะคนนี้ไปหาทัพผู้วายชนม์มาจากที่ใด”
รถม้าเคลื่อนผ่านตรอกไป
อวี๋หวั่นมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอมองออกไปซ้ายขวา “เมื่อครู่มีคนหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้แยแส “มีคนผ่านไปสามสี่คน มิจำเป็นต้องสนใจ”
……
รถม้าหยุดลงหน้าประตูคุกหลวง
เมื่อทหารยามเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นแม่นางที่มาเมื่อตอนกลางวัน ก็ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ “บอกเจ้าไปกี่รอบแล้ว! คุกหลวงไม่ใช่…”
เยี่ยนจิ่วเฉาลงมาจากรถม้า แล้วเดินมายืนอยู่ด้านหลังของอวี๋หวั่น ทหารยามก็พลันหน้าซีดเผือด
“ไม่ใช่อะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทหารยามคุกเข่าลงทันที ทั้งร่างสั่นเทิ้ม!
อวี๋หวั่นดึงชายเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉา เป็นนัยว่าอย่าหาเรื่อง มีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ
ทหารยามก้มหน้า แล้วลอบมองมือที่อาจหาญดึงแขนเสื้อของคุณชายเยี่ยน เขาถึงกับตื่นตะลึง!
ดรุณีน้อยที่ถูกเขาตะคอกใส่ผู้นี้กล้าแตะต้องคุณชายเยี่ยน ครานี้คอของเขาจะถูกบั่นทิ้งหรือไม่…
“ออกไป!” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเสียงค่อย
ทหารยามวิ่งหัวหกก้นขวิดหนีไป
ลุงวั่นและอิ่งสือซันออกมารับอวี๋เซ่าชิงซึ่งยังหลับไม่ได้สติ แล้วส่งเขาเข้าไปในห้องขังที่พวกเขามาจัดแจงให้เป็นห้องขังที่สะดวกสบาย
ลุงวั่นกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางอวี๋วางใจเถิด ข้ากับอิ่งสือซันอยู่ที่นี่ จะไม่ยอมให้ผู้ใดทรมานใต้เท้าอวี๋อีก”
อวี๋หวั่นค้อมตัวคำนับ “เช่นนั้นก็รบกวนลุงวั่นและองครักษ์อิ่งด้วย”
……
แม้ว่าอวี๋เซ่าชิงจะกลับมาแล้ว แต่เรื่องของคนร้ายก็ยังไม่สามารถปล่อยไปได้ และเมื่อเกิดขึ้นใต้จมูกของฮ่องเต้ ก็มิอาจใช้คำว่า ‘หลบหนีไป’ แล้วจบเรื่องได้ ฮ่องเต้โมโหเป็นอย่างมาก รับสั่งว่าหากเหล่าทหารยังหาไม่พบ ก็จะให้ทัพผู้วายชนม์ของวังหลวงออกโรง
หลังจากที่ส่งอวี๋หวั่นกลับจวน เยี่ยนจิ่วเฉาก็เข้าวัง
ย่างเข้ากลางดึก ฮ่องเต้เพิ่งได้เข้านอน ครั้นล้มตัวลงนอนไปเพียงครู่เดียว ขันทีวังก็ปลุกและทูลว่าเยี่ยนจิ่วเฉามาเข้าเฝ้า เขารู้สึกมึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็พลันตื่นเต็มตาด้วยข่าวของเยี่ยนจิ่วเฉา “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าเป็นคนลักพาตัวเขาไป?”
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจเข้าลึกๆ “…พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองเขาด้วยความสงสัย “เจ้าให้ผู้ใดทำ?”
“ทัพผู้วายชนม์ที่เสด็จลุงให้ข้า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
ฮ่องเต้โมโหสุดขีด
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้? มีเรื่องอันใดก็คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ? มิจำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่!” ฮ่องเต้โมโหมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกว่าตนอยากตีเด็กนี่ให้รู้แล้วรู้รอด “เราจะถามเจ้าเป็นรอบสุดท้าย เจ้าทำเรื่องนี้จริงหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจเข้า “…พ่ะย่ะค่ะ”
หน้าอกของฮ่องเต้กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ “…ของเซ่นไหว้ ของเซ่นไหว้เจ้าก็ขโมยกินไปใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เข้าใจ
ขันทีวังจึงกระซิบว่า “เครื่องเซ่นไหว้ในหอบรรพชนถูกขโมยกิน”
หอบรรพชนของราชวงศ์ได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนาเสียยิ่งกว่าคุกหลวง เครื่องเซ่นไหว้มิได้ถูกขโมยมาเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาไม่เกิดเหตุ กลับมาเกิดเหตุในช่วงเวลาเดียวกับเรื่องนี้พอดิบพอดี ทำให้ผู้คนอดเชื่อมโยงทั้งสองเหตุการณ์เข้าด้วยกันมิได้
คนผู้นั้นแม้แต่ลูกจิ้งจอกหิมะก็เกือบจะจับย่างกิน เรื่องพรรค์นี้ก็น่าจะทำได้เช่นกัน
เยี่ยนจิ่วเฉามุมปากกระตุก แบกรับหายนะครั้งนี้ด้วยความลังเล “…เป็นข้า”
ฮ่องเต้หันข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและขมขื่น “อันนั้นของเราเจ้าก็โกนไปใช่หรือไม่?”
“อะไรนะ?” สองพยางค์นี้ เยี่ยนจิ่วเฉาฟังไม่ถนัด
ฮ่องเต้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ริมฝีปากไม่ขยับ “อันนั้น!”
เยี่ยนจิ่วเฉาสับสนไปหมด
ฮ่องเต้กำหมัดดัง ‘กร็อบ’ แล้วกล่าวว่า “ขนขา! ขนขาของเรา!”
เยี่ยนจิ่วเฉาแข้งขาอ่อนแรง แทบจะทรุดฮวบลงกับพื้น!
สตรีผู้นี้ขโมยกินเครื่องเซ่นไหว้ไม่พอ ยังโกนขนฮ่องเต้อีกหรือ?!
นางจะใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปเสียแล้ว!
ไม่สิ นางคิดได้อย่างไรกัน?!
หากเรื่องที่คุกหลวงถูกพบช้าอีกสักนิด นางคงจะไม่ได้โกนแค่ขนขา แต่จะโกน…
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยากคิดต่อ ตอนนี้เขาอยากจะบ้าตายเหลือเกิน…
…………………………………………