หลังจาก ‘เข้าๆ ออกๆ ’ อยู่หลายวัน ในคืนอันเงียบสงัดคืนหนึ่ง ณ สวนอูถง เทพสงครามแห่งหนานจ้าวและต้าโจวก็ได้พบกันโดยบังเอิญในที่สุด
เซียวเจิ้นถิงมาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ซิวหลัว เห้อเหลียนเป่ยหมิงนำยามาให้ซิวหลัว สงครามของทั้งสองดินแดนกำลังคุกรุ่น เดิมทีทั้งสองควรจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งในสนามรบ สุดท้ายพวกเขากลับต้องมาร่วมมือกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
เซียวเจิ้นถิงมายังจวนสกุลเห้อเหลียนหลายครั้งแล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้แต่ก็มิได้พูดออกไป ขอเพียงไม่มาพบหน้ากันตรงๆ เขาก็แสร้งว่าไม่เคยพบกันก็พอแล้ว ทว่าบัดนี้พวกเขาพบหน้ากันตรงๆ จะให้แสร้งทำเป็นไม่รู้จักอีกฝ่ายได้หรือ?
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปน้อยกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเลย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปิดบังสถานะของตน แต่ก็ไม่ได้ป่าวประกาศเสียใหญ่โต ทั้งสองล้วนมีจุดยืนของตนเอง เรื่องบางเรื่องรู้เพียงในใจ ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง
ทว่าในตอนนี้ ห้องนั้นดูคับแคบลงไปถนัดตา คนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู อีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในประตู
“อะแฮ่ม!”
“อะแฮ่ม!”
ทั้งสองกระแอมขึ้นพร้อมกัน
แม่ทัพเข้าประชิด สองดินแดนเผชิญหน้า สงครามกำลังจะเริ่มต้น องค์ประมุขแห่งหนานจ้าวและฮ่องเต้แห่งต้าโจวแทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากถกแขนเสื้อขึ้นฟาดฟันกันให้รู้แล้วรู้รอด ในฐานะที่พวกเขาเป็นขุนนาง…ก็จำต้องประลองกันสักคราใช่ไหมเล่า?
“เอ๋? ท่านแม่ทัพ! พี่ใหญ่! พวกท่านมาแล้วหรือ? ยืนนิ่งทำอะไรกันอยู่? ฝนจะตกแล้ว! รีบเข้าบ้านเร็ว!” อวี๋เซ่าชิงเดินถือกระจาดใส่พริกแห้งออกมาจากชีสยาย่วนอย่างสบายอารมณ์
น้ำเสียงและสีหน้าของเขาดูจะเหลือเชื่อ ราวกับว่าผู้ที่ตนทักทายเมื่อครู่ไม่ใช่แม่ทัพที่ควรต่อสู้กัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและเซียวเจิ้นถิงมองด้วยความตื่นตะลึง พวกเขายืนนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
เจ้านี่ไม่รู้หรืออย่างไรว่าพวกเขาเป็นใคร? ไม่รู้หรือว่าพวกเขากำลังจะชักกระบี่มาแทงกันตายอยู่แล้ว
อวี๋เซ่าชิงเดินไป เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่ได้ตามมา จึงหันหลังกลับไปถามด้วยความประหลาดใจว่า “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง มัวยืนอยู่ทำไมหน้าประตู? ขวางทาง!”
เขาพูดไปพลางมองทั้งสองคน
เซียวเจิ้นถิงมองไปด้านหน้า ส่วนเห้อเหลียนเป่ยหมิงหันหลังกลับไป ก็เห็นจื่อซูกำลังใช้แรงทั้งหมดที่มียกกะละมังเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ จะเข้าไปก็ไม่ได้ ไม่เข้าไปก็ไม่ได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นเจ้าบ้าน เขาจึงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เข้าไปนั่งในห้องหนังสือเถิด”
“อืม” เซียวเจิ้นถิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เซียวเจิ้นถิงเดินไป ล้อรถเข็นของเห้อเหลียนเป่ยหมิงติดในซอกหิน
เซียวเจิ้นถิงจึงเข้าไปดึงรถเข็นขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ขอบคุณ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงบอก
“ไม่ต้องขอบคุณ” เซียวเจิ้นถิงตอบ
ทั้งสองตรงไปยังห้องหนังสือ
อวี๋เซ่าชิงยกพริกแห้งไปยังห้องครัวเล็ก อาซูอยากกินไก่หั่นลูกเต๋าผัดพริก เขาจึงจะแสดงฝีมือสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันเดินเข้าไปถึงสองก้าว ด้านหลังก็มีเสียงตวาดของพี่ใหญ่ของตนและแม่ทัพใหญ่ดังมา “เจ้าเข้ามาสิ!”
อวี๋เซ่าชิงใจหายวาบ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและเซียวเจิ้นถิงจ้องหน้ากันและกันเขม็ง สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
เจ้ากล้าดุน้องชายของข้าหรือ?
เจ้ากล้าดุผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าหรือ?
อวี๋เซ่าชิงเดินถือกระจาดพริกแห้งเข้าไปในห้อง “เกิดอะไรขึ้น”
ทั้งสองมีสีหน้าคล้ายกับอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ในสมองของอวี๋เซ่าชิงในตอนนี้มีเพียงวิธีทำไก่หั่นลูกเต๋าผัดพริก ไม่ได้สังเกตว่าการพบหน้ากันของพี่ชายและแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้มีสิ่งใดผิดปกติ
ตอนนั้นเองอวี๋หวั่นเดินผ่านมา จึงเอ่ยทักทาย “เอ๋? ท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ พวกท่านก็อยู่หรือ? ข้าลืมแนะนำไปเลย ท่านลุงใหญ่ นี่คือแม่ทัพใหญ่เซียว ท่านพ่อ นี่คือเทพสงครามเห้อเหลียน”
ทั้งสองถึงคราวต้อง ‘ร่วมมือกัน’ จริงๆ เสียแล้ว
อวี๋หวั่นรู้ว่าพวกเขามีเรื่องใดค้างคาใจ แต่อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อใจได้ เธอจึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจ พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยนเข้ามาอยู่ที่เรือนบนถนนซื่อสุ่ยให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงฟัง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้เรื่องที่ครั้งก่อนเซียวเจิ้นถิงมาหาอวี๋หวั่นแล้ว แต่เรื่องที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนฝั่งตรงข้ามกับเยี่ยนอ๋องนั้น เห้อเหลียนเป่ยหมิงมิได้คาดคิดมาก่อน เขาตกใจจนไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่มาหาเยี่ยนจิ่วเฉากับเยี่ยนอ๋อง พวกเขามากันแค่สองคน มีสาวใช้ชื่อซิ่งจู๋ติดตามมาด้วย แม้แต่สารถีรถม้า พวกเขายังมาจ้างหลังจากเข้ามาในหนานจ้าวแล้ว”
ความหมายโดยนัยก็คือ การที่เทพสงครามแห่งต้าโจวลอบเข้ามาในหนานจ้าวนั้นมิใช่เพื่อสืบข้อมูลทางการทหารแต่อย่างใด
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้และคำพูดนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงคงไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ แต่เขารู้จักอวี๋หวั่นดี เด็กคนนี้ไม่ใช่คนซื่อบื้อ และไม่มีทางหลอกลวงสกุลเห้อเหลียนเพียงเพื่อประจบฮ่องเต้และแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจว
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ต้าโจวยังไม่รู้เรื่องที่เซียวเจิ้นถิงลอบเข้ามาในเมืองหลวง นี่เป็นการตัดสินใจของเซียวเจิ้นถิงเพียงฝ่ายเดียว ราชสำนักต้าโจวไม่รู้เรื่องด้วย
อีกอย่าง เรื่องระหว่างเซียวเจิ้นถิงกับซั่งกวนเยี่ยน เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็พอจะได้ยินมาบ้าง หากเขาจะติดตามซั่งกวนเยี่ยนเพื่อมาหาลูก ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้นึกสงสัยในแรงจูงใจของเซียวเจิ้นถิงตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นเพราะถึงแม้เขาจะรู้ว่าเซียวเจิ้นถิงเข้าๆ ออกๆ จวนสกุลเห้อเหลียน เขาก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง เพียงแต่ว่าวันนี้บังเอิญพบหน้ากันตรงๆ เขาจึงจำต้องต้อนรับขับสู้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองไปยังน้องชายของตน
ทั้งสองมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
เขาถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง “เอาเถอะ ข้าจะไม่พูดออกไป”
เขาติดค้างพวกเขามาไม่รู้กี่ครั้ง ตั้งแต่เด็กคนนี้เข้ามาในสกุลเห้อเหลียน นางทำละเมิดกฎของตระกูลไปไม่รู้กี่ครั้ง จนเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว
สกุลเห้อเหลียนที่จงรักภักดีต่อองค์ประมุขไปชั่วชีวิต บัดนี้กำลังมีเรื่องปิดบังองค์ประมุข ราวกับพระองค์ตาบอด
“ที่ชายแดน…” เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เอ่ยถามเซียวเจิ้นถิง
เซียวเจิ้นถิงตอบว่า “ข้ามีตัวแทนอยู่ในกองทัพ นอกจากหนานกงหลีแล้ว คงไม่มีใครรู้ว่าข้าไม่อยู่”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “หนานกงหลีรับราชโองการให้นำทัพไป และบอกว่าถ้าหากไม่ได้ศีรษะของแม่ทัพใหญ่มา ก็จะไม่กลับเมืองหลวง แต่ในตอนนี้แม่ทัพใหญ่เดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว หมายความว่าเขาก็ต้องรีบตามมา นั่นก็เท่ากับขัดราชโองการ ถ้าหากไม่กลับมา ก็ไม่มีทางได้ศีรษะของแม่ทัพ เพราะฉะนั้นเขาไม่เพียงไม่อาจเปิดเผยตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ได้ แต่ก็ยังต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอีกด้วย”
ส่วนทางองค์ประมุขหนานจ้าว หากกองทัพต้าโจวยังไม่เคลื่อนไหว เขาก็จะยังไม่กระจ่างว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล บางทีเขาอาจคิดว่าแม่ทัพใหญ่กำลังซ่องสุมขุมกำลังขนาดใหญ่ เพื่อบีบบังคับให้ส่งราชบุตรเขยคืนก็เป็นได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า หลานสาวของเขาพูดได้ถูกต้อง จากความเข้าใจที่เขามีต่อองค์ประมุขแล้ว พระองค์ไม่มีทางเดาได้ว่าเซียวเจิ้นถิงไม่ได้อยู่ในกองทัพและเดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว ส่วนหนานกงหลี ซิวหลัวย่อมเป็นหลักฐานชิ้นประจักษ์ เขาเป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้ตำแหน่งของเซียวเจิ้นถิงถูกเปิดเผยมากที่สุด อีกทั้งยังคิดจะจัดการเรื่องนี้ภายในครั้งเดียว
“เจ้าไม่ได้บอกว่า…เขามีซิวหลัวคนใหม่หรอกหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อิ่งซันไปจวนตี้จีมาเจ้าค่ะ เขาบอกว่าซิวหลัวคนใหม่ไม่ได้มีแค่คนเดียว”
แม้ว่าเขาจะลอบเข้าไปในจวนตี้จีไม่ได้ แต่เขาก็เป็นถึงครึ่งหน่วยกล้าตาย ประสาทสัมผัสของเขาว่องไวต่อกลิ่นอายของซิวหลัวมากกว่าคนทั่วไป กลิ่นอายนั้นเป็นกลิ่นอายที่ทำให้เขาถึงกับรู้สึกชา
สีหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงแลดูเคร่งขรึมขึ้น “ซิวหลัวเพียงคนเดียวก็ต่อกรด้วยยากมากแล้ว ตอนนี้มีซิวหลัวถึงสามคน นี่มันช่าง…”
คำว่า ‘ต่อกรด้วยยาก’ นั้นเป็นเพียงคำพูดที่ฟังดูนุ่มนวล ซิวหลัวคนนี้ไม่ได้คิดจะสู้กับพวกเขาแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากซิวหลัวคิดจะสังหารพวกเขาจริง พวกเขาคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้
แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับซิวหลัวด้วยซ้ำไป
เซียวเจิ้นถิงเป็นเพียงคนเดียวที่รอดมาจากเงื้อมมือของซิวหลัว แต่หากจะบอกว่าเขาสามารถเอาชนะซิวหลัวได้ก็คงจะยากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นซิวหลัวคนใหม่ไม่ได้มีเพียงคนเดียว พวกเขาคงจนปัญญาจะจัดการซิวหลัวพวกนั้นแล้ว
อวี๋หวั่นเท้าคาง ทอดถอนใจ “ไม่มีวิธีต่อกรกับซิวหลัวพวกนั้นแล้วหรือ?”
“มี” ไม่รู้ว่าอาม่ามาปรากฏตัวด้านหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไร “ซิวหลัว”
ผู้ที่สามารถเอาชนะซิวหลัวได้ มีเพียงซิวหลัวเท่านั้น
ซิวหลัวเป็นผลผลิตจากเผ่าปีศาจ คนพวกนั้นสามารถฝึกฝนซิวหลัวขึ้นมาได้ ก็ย่อมมีวิธีกำราบซิวหลัวเช่นกัน แต่หากจะสังหารพวกเขาเห็นจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งจากการคาดการณ์ของอาม่าซิวหลัวใหม่ของหนานกงหลีนั้นได้ทั้งยาและพลังภายในของซิวหลัว ทำให้แข็งแกร่งจนน่ากลัว แม้ว่าคนจากเผ่าปีศาจมา ก็ใช่ว่าจะควบคุมเขาได้
ในตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงหนทางเดียว ซึ่งก็คือการฟื้นฟูพลังของซิวหลัว
อวี๋หวั่นชะงักไป “เขาบาดเจ็บหนัก…”
เส้นเลือดขาดสะบั้น กระดูกหักเป็นท่อนๆ แม้ว่าจะต่อกลับมาได้ แต่จิตวิญญาณของเขาก็ได้สลายไปสิ้นแล้ว พลังภายในของเขาถูกดูดไปจนหมด เซียวเจิ้นถิงและพวกอาเว่ยมาเติมพลังภายในให้เขาทุกวันเพียงเพื่อให้เขาสามารถกดพลังในร่างเอาไว้ได้ก็เท่านั้น
ผู้เฒ่ากล่าวว่า “เขาเป็นซิวหลัวโดยกำเนิด มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะหยุดเขาได้”
อวี๋หวั่นยักไหล่ “แต่ว่าตอนนี้เขาฆ่าแมลงไม่ตายด้วยซ้ำ”
นัยน์ตาของอาม่าเป็นประกายวาบ “เช่นนั้นก็ฝึกเขาขึ้นมาอีกครั้งสิ!”
อวี๋หวั่นผงะถอย
“แต่ว่า” ผู้เฒ่าหยุดพูดไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง “ซิวหลัวของหนานกงหลีคงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็จะออกมาอาละวาดแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาคิดอยากจะฆ่าใครเขาก็ทำได้ ถ้าซิวหลัวฟื้นตัวกลับมาไม่ทัน เช่นนั้นจุดจบเดียวของพวกเขาก็คือความตาย ข้าแนะนำว่าให้พวกเจ้านำเรื่องของเซียวเจิ้นถิงและหนานกงหลีไปกราบทูลองค์ประมุขพร้อมกัน”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “อาม่าหมายความว่า…ต้องไม่ให้เขามีโอกาสลอบลงมือน่ะหรือ?”
อาม่าพยักหน้า “ถูกต้อง”
นี่คือหนทางที่ดูเหมือนหมดสิ้นหนทาง
ถ้าหากชนะต่อหน้าไม่ได้ ลับหลังก็ไม่มีทางชนะ แต่เมื่อต่อสู้กันต่อหน้า อย่างน้อยองค์ประมุขก็สามารถช่วยถ่วงเวลาได้
เซียวเจิ้นถิงและเห้อเหลียนเป่ยหมิงมองหน้ากัน ทันใดนั้นแม่ทัพใหญ่ของทั้งสองดินแดนก็บังเกิดข้อตกลงลับกันทันที
หลังอาหารกลางวัน เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เข้าวัง พาตัวเซียวเจิ้นถิงไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์องค์ประมุขด้วยตนเอง
องค์ประมุขผู้นี้หลอกลวงได้ยากกว่าฮ่องเต้แห่งต้าโจว แทนที่จะปิดบังเรื่องนี้ มิสู้เปิดเผยไปตามตรง
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเล่าความจริงทั้งหมด เลือกเล่าเพียงบางเรื่องก็เพียงพอแล้ว
เซียวเจิ้นถิงเป็นคนแข็งกร้าว แต่ก็มิได้โง่เขลา
“ฮ่องเต้แห่งต้าโจวทรงไหว้วานข้ามาทวงคืนความยุติธรรมให้กับเยี่ยนอ๋อง แต่ท่านต้องเข้าใจว่าข้าก็ไม่ได้สนใจสามีเก่าของภรรยาสักเท่าไร”
นี่คือความสัตย์จริง
“เพราะฉะนั้นที่ข้าปกปิดตัวตนและเดินทางมายังเมืองหลวงก็เพราะภรรยาข้าเป็นห่วงลูกชายที่โดนยาพิษ”
นี่ก็คือความสัตย์จริงอีกเช่นกัน
“ท่านอาจไม่รู้ เป็นเพราะตี้จี ฉงเอ๋อร์จึงถูกยาพิษตั้งแต่เด็ก หมอล้วนแต่บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบห้า แต่ก่อนหน้านี้ฉงเอ๋อร์พบตำรับยารักษาแล้ว จึงพอมีความหวังที่จะถอนพิษ”
นี่ก็คือความสัตย์จริงที่สุด
แน่นอนว่าความหมายโดยนัยของคำพูดนี้ค่อนข้างเจ็บแสบพอสมควร นั่นก็คือ ‘ลูกสาวของท่านทำให้ลูกของข้าถูกยาพิษ ท่านยังไม่ยอมให้ข้าช่วยลูกถอนพิษอีกหรือ ท่านว่าท่านเป็นองค์ประมุขเยี่ยงนี้ มันหน้าไม่อายขนาดไหน?’
องค์ประมุขไม่ได้ตอบอะไร
เรื่องราวในตอนนั้นองค์ประมุขก็พอจะสืบรู้มาบ้างแล้ว ธิดาคนเล็กของเขาแย่งสามีของผู้อื่น ทั้งยังวางยาพิษลูกชายของคนผู้นั้น ในฐานะที่เป็นพ่อคน เขาไม่อาจกล่าวโทษเซียวเจิ้นถิงที่เดินทางมายังหนานจ้าวเพื่อหายาถอนพิษให้ลูกชายได้
นอกจากนั้นแล้ว จุดยืนของเซียวเจิ้นถิงนั้นต่างจากฮ่องเต้แห่งหนานจ้าว และนั่นนับว่าเป็นการดีต่อแผ่นดินหนานจ้าวซึ่งบอบช้ำมามากแล้ว
ไม่ว่าคำพูดของเซียวเจิ้นถิงจะจริงหรือเท็จ อย่างน้อยตัวเขาก็เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว หมายความว่าจะไม่มีการปะทะที่ชายแดน เมื่อคิดเช่นนี้ องค์ประมุขก็ไม่อาจโกรธกริ้วหรือรังเกียจการมาเยือนของเซียวเจิ้นถิงในครั้งนี้
เพียงแต่ว่า เซียวเจิ้นถิงลงมือทำโดยไม่กราบทูลเช่นนี้ นับว่าไม่เห็นองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวอยู่ในสายตาเอาเสียเลย
ว่ากันตามความรู้สึกของเขา การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจ เขาควรลงโทษเซียวเจิ้นถิงเพื่อกอบกู้
เกียรติของตนกลับมา แต่หากใช้เหตุและผลมาตัดสิน นับว่าเขาได้รับผลประโยชน์จากการมาเยือนของอีกฝ่าย
แต่อีกฝ่ายจะนำประโยชน์มาให้เขาได้อย่างไร? องค์ประมุขรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
องค์ประมุขหรี่ตา “บอกมาเถอะ ยังมีเรื่องอะไรอีก”
เซียวเจิ้นถิงกระแอม โชคดีเหลือเกินที่ฮ่องเต้ต้าโจวเบาปัญญา ไม่ได้เจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆ ของเขาคงไม่รอดมาจนถึงป่านนี้!
เซียวเจิ้นถิงทำสีหน้าจริงจัง “หนานกงหลีก็กลับมาเมืองหลวงแล้วเช่นกัน”
เขาหยุดไว้ตรงนี้ ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดนอกเหนือจากนี้
แต่ถึงเขาไม่พูด ก็ไม่ได้หมายความว่าองค์ประมุขจะไม่ถาม
ในวันเดียวกัน องค์ประมุขส่งคนไปยังจวนตี้จี และมีรับสั่งให้หนานกงหลีเข้าเฝ้า
หนานกงหลีมองไปยังท่านตาของตนด้วยความสับสน
เอ…เกิดอะไรขึ้น?
ตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยแล้วหรือ?
“เจ้าคนไม่รักดี! คุกเข่าลง!”
หนานกงหลีคุกเข่าลง
“เจ้ากล้ามาก!” องค์ประมุขตบลงบนโต๊ะ ถลึงตาใส่เขาด้วยโทสะที่เดือดพล่าน “ไม่รู้หรือว่าตนเองรับคำสั่งให้นำทัพไป? แต่ยังกล้ากลับมาโดยพลการ! เจ้าจะให้ข้าคิดว่าอย่างไร! จะให้คนทั้งใต้หล้าคิดว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร!”
หนานกงหลีตอบด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านตา! หลานผิดไปแล้ว! หลานไม่มีทางเลือก จึงต้องทำเช่นนี้! ท่านตาอาจจะยังไม่รู้ เจ้าเซียวเจิ้นถิงนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ลอบหนีออกจากกองทัพ เดินทางเข้ามาในเมืองหลวง! หลานกังวลว่าเขามีแผนร้ายต่อท่านตา จึงติดตามเขามา!”
องค์ประมุขหรี่ตา “เจ้ากังวลว่าเขามีแผนร้าย ไฉนจึงไม่บอกข้าตรงๆ เล่า? ข้าจะได้ระวังตัว”
หนานกงหลีชะงักไป
องค์ประมุขผู้นี้มิได้โง่งม อย่างน้อยเมื่อเทียบกับฮ่องเต้แห่งต้าโจว เขาก็นับว่าปราดเปรื่องเลยทีเดียว
………………….
Related