หากหนานกงหลีไม่อาจยกเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอขึ้นมาได้ องค์ประมุขก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ
แต่เขาไม่อยากเปิดเผยการมีอยู่ของซิวหลัว
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
แผนการของเขาคือใช้ซิวหลัวจัดการเยี่ยนจิ่วเฉาและพรรคพวกให้ราบคาบ ให้เหลือเพียงอวี๋หวั่นและแม่ที่ป่วยสะเงาะสะแงะของนาง จากนั้นก็ใช้อำนาจของซิวหลัวบีบบังคับให้สองแม่ลูกส่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มา เมื่อพวกนางปราศจากที่พึ่งพิงก็จะกลายเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของเขา
เท่านั้นก็จบ
หลังจากนั้นองค์ประมุขก็อาจเคลือบแคลงใจว่าเขากำจัดเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ประการแรก พระองค์ปราศจากหลักฐาน ประการที่สอง ตายก็ตายไปแล้ว องค์ประมุขจะถึงกับยอมละทิ้งผู้สืบบัลลังก์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วหรือ?
ทว่าวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
เมื่อใดที่องค์ประมุขรู้ว่าเขามีซิวหลัวอยู่ในครอบครอง ย่อมต้องคอยจับตามองเขาอย่างแน่นอน และเมื่อใดที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเยี่ยนจิ่วเฉา เขาต้องโดนองค์ประมุขหมายหัวเป็นคนแรก
หากองค์ประมุขทรงมีบัญชาให้เขาทำลายซิวหลัว เขาจะฟัง หรือไม่ฟังดี?
หนานกงหลีนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ในสมองของเขาก็พลันยุ่งเหยิงไปหมด
“แม่ทัพใหญ่เซียวมาที่นี่” องค์ประมุขเอ่ยขึ้นทันใด
หนานกงหลีตื่นตะลึง
เซียวเจิ้นถิงมาหรือ?
กล้ามาได้อย่างไรกัน?
สองดินแดนมีสงคราม เขาลอบเข้ามาในหนานจ้าว ไม่กลัวองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวสั่งประหารหรืออย่างไร
เดี๋ยวก่อน สีหน้าและน้ำเสียงที่ท่านตาใช้ขณะที่กล่าวถึงเซียวเจิ้นถิงนั้น…
หนานกงหลีทำใจดีสู้เสือเหลือบมององค์ประมุข องค์ประมุขมีโทสะตั้งแต่แรก ทว่าระหว่างที่กำลังรอหนานกงหลี ไฟโทสะของเขาก็ได้มอดลงบ้างแล้ว อีกทั้งเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉาและเยี่ยนอ๋อง ก็ล้วนเป็นความผิดธิดาของตน เขาจะขอโทษก็เห็นจะไม่ทันการแล้ว ไหนเลยจะมีหน้าไปกล่าวโทษเซียวเจิ้นถิงที่ทำเพื่อบุตรชายอีก?
หนานกงหลีเดาไม่ออกว่าเซียวเจิ้นถิงพูดอะไรกับท่านตา จึงทำให้ท่านตาของตนล้มเลิกความคิดจะสังหารเขา แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือการเคลื่อนไหวของเขาถูกเซียวเจิ้นถิงเปิดเผยเสียแล้ว!
เจ้าเซียวเจิ้นถิง!
ผู้ที่ประมือกับซิวหลัวบนถนนในวันนั้นก็คือเขา!
เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้หนานกงหลีส่งซิวหลัวไปสังหารตน เขาจึงชิงปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ก่อน พร้อมทั้งกราบทูลเรื่องของหนานกงหลี
ต้องบอกว่าการตอบโต้ในครั้งนี้ดูบ้าบิ่น แต่กลับได้ผลชะงัด
“ทำไมไม่พูดแล้วเล่า?” องค์ประมุขถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หนานกงหลีลอบกัดฟันกรอด เขาตั้งสติ แล้วตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ท่านตา ข้าขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าคิดว่าจะสังหารเซียวเจิ้นถิงก่อนแล้วจึงกลับเมืองหลวง ข้าไม่ได้คิดว่าเขาจะลอบเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ เมื่อรับราชโองการมา ข้านั้นไม่รอบคอบเอง แต่ข้ารับรองได้ว่าข้าจะต้องลากศีรษะเขากลับมาให้ได้!”
ก่อนหน้านี้ที่ตกปากรับคำเรื่องการสังหารเซียวเจิ้นถิง เป็นเพราะคาดการณ์ว่ากองทัพทั้งสองดินแดนจะต้องรบกันอย่างแน่นอน และเมื่อเซียวเจิ้นถิงแสดงเจตจำนงแล้วว่าไม่ยินดีสู้รบเช่นนี้ ในฐานะที่เขาเป็นองค์ประมุข ไหนเลยจะอยากให้เหล่าทหารกล้าและราษฎรต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันเล่า?
ฮ่องเต้แห่งต้าโจวต้องการเปิดศึก เซียวเจิ้นถิงเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าขัดบัญชา หากเซียวเจิ้นถิงตาย ก็จะมีแม่ทัพคนใหม่มา จากนั้นการเจรจาสงบศึกก็คงมิได้ทำได้ง่ายดายเช่นนี้
กล่าวอย่างไม่เกินจริง ยุทธวิธีเดียวของหนานจ้าวในตอนนี้ก็คือทำให้เซียวเจิ้นถิงยังมีชีวิตอยู่
แต่องค์ประมุขมิได้มีรับสั่งให้ไปคุ้มกันเซียวเจิ้นถิง เขามองไปในดวงตาของหนานกงหลี พร้อมกับเอ่ยถามว่า “เซียวเจิ้นถิงเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าโจว วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่ง หามีผู้ใดต่อกรกับเขาได้ไม่ เจ้าจะใช้วิธีใดสังหารเขา?”
หนานกงหลีรู้ดีว่าท่านตากำลังหยั่งเชิงเขาอยู่
เอาเถอะ ถ้าหากเขาไม่บอกไป เรื่องในวันนี้คงจบไม่สวย
“ข้ามีซิวหลัว”
“เจ้ามีอะไรนะ?” องค์ประมุขชะงักไป
หนานกงหลีกัดฟันพูดออกไปว่า “ข้า…ข้ามีซิวหลัวสามคน พวกเขาสามารถสังหารเซียวเจิ้นถิงได้อย่างง่ายดาย”
เซียวเจิ้นถิง ที่แท้เจ้ามาเปิดเผยตัวตนให้เรารู้ เพราะคิดจะให้เราปกป้องเจ้านั่นเอง!
องค์ประมุขหรี่ตา ปลายนิ้วเย็นไล้ไปตามสาส์นบนโต๊ะ “ซิวหลัวของเผ่าปีศาจหรือ? เจ้ามีซิวหลัวได้อย่างไร?”
ทั้งยังมีมากขนาดนั้น!
หนานกงหลีอธิบายว่า “ข้าเคยไปเผ่าปีศาจ และพาซิวหลัวกลับมาด้วย”
“เจ้า!”
หนานกงหลีรีบบอกว่า “ท่านตาอย่าเพิ่งทรงกริ้วไป ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นคนทำ อีกทั้งซิวหลัวคนนั้นก็ตายไปแล้ว ต่อให้คนจากเผ่าปีศาจเดินทางมาถึงหนานจ้าว ก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นคนขโมยซิวหลัวของพวกเขาไป ซิวหลัวที่ข้ามีอยู่ในตอนนี้ ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ”
สีหน้าขององค์ประมุขจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
ตี้จีองค์โตทำผิดต่อเผ่าปีศาจไปครั้งหนึ่งแล้ว หากหนานกงหลีไปขโมยซิวหลัวของพวกเขามาอีก เห็นทีครานี้หนานจ้าวกระโดดแม่น้ำฮวงโหก็คงชำระมลทินไม่ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา องค์ประมุขก็กล่าวว่า “เราได้ยินว่า… ซิวหลัวสามารถแว้งกัดเจ้านายได้”
ความหมายโดยนัยก็คือ หนานกงหลีบอกว่าตนมีซิวหลัวสามคน ไฉนจึงยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหนานกงหลีก็ดีชึ้นมาก รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ได้ “ต้องขอบคุณปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งที่ใช้หนอนพิษควบคุมจิตใจของพวกเขา ท่านตาวางใจเถิด พวกเขาจงรักภักดีต่อข้า ไม่มีทางทำร้ายข้า”
พูดจบ เขาก็ลอบสังเกตสีหน้าขององค์ประมุข เขารู้ว่าแม้องค์ประมุขจะมิได้กล่าวอะไร ทว่าในใจก็ตื่นตะลึงที่เขามีซิวหลัวถึงสามคน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้มายาก แต่ซิวหลัวไม่ใช่ว่านับร้อยปีจะปรากฏเพียงครั้งหนึ่งหรอกหรือ?
เป็นเพราะซิวหลัว ท่านตาย่อมต้องให้อภัยเขาเป็นแน่
“เจ้ามีซิวหลัวนับว่าเป็นเรื่องดี แต่เราหวังว่าเจ้าจะไม่ใช้ซิวหลัวไปสังหารผู้บริสุทธิ์ เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพูดหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ หลีเอ๋อร์น้อมรับคำสั่ง”
หมายความว่าไม่ให้เขาส่งซิวหลัวไปสังหารเซียวเจิ้นถิงกับเยี่ยนอ๋องใช่ไหมเล่า?
เหอะ แต่เขาก็มีวิธีกำจัดคนพวกนั้นอย่างเปิดเผยอยู่ดี!
หากองค์ประมุขต้องการปกป้องเซียวเจิ้นถิง คงไม่กระทำอย่างเปิดเผย แต่ยามที่ต้องการปกป้องหนานกงหลี พระองค์ย่อมต้องทำอย่างเปิดเผย
วันต่อมา องค์ประมุขมีราชโองการว่าพระวรกายของฮองเฮาไม่แข็งแรง ให้หนานกงหลีกลับเมืองหลวงมาอยู่เป็นเพื่อน
ความสัมพันธ์ขององค์ประมุขและฮองเฮานั้นดี ไม่มีผู้ใดนึกสงสัยว่าราชโองการฉบับนี้เป็นความจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องฮองเฮาแกล้งป่วยหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ในความคิดของผู้คน แต่แกล้งป่วยแล้วอย่างไร? หนานกงหลีเป็นหลานของนาง นางจะทนเห็นเขาตายไปพร้อมกับเซียวเจิ้นถิงได้หรือ?
หนานกงหลีจำต้องแสร้งเป็นว่าตนเพิ่งกลับมาจากชายแดน เช่นนั้นก็ต้องเกิดความ ‘ล่าช้า’ ระหว่างทาง ไม่กี่วันมานี้เป็นโอกาสทองสำหรับพวกเขาที่จะฝึกซิวหลัว
การสูญเสียวรยุทธ์ไปในชั่วข้ามคืน ทำให้ซิวหลัวชอกช้ำมากกว่าที่จินตนาการไว้มาก
เพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของซิวหลัวอีกครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชนะความกลัวในจิตใจของเขา
เพียงแต่บัดนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากห้องของตน…
ฟ้าเพิ่งสว่าง เด็กน้อยทั้งสามก็ตื่นนอนแล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาทำหลังจากตื่นนอนก็คือตรงไปหาซิวหลัวซึ่งอยู่ห้องข้างๆ
“ซิวหลัว” เสี่ยวเป่าผลักประตู เดินเตาะแตะเข้าไป
ซิวหลัวยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
เสี่ยวเป่าปีนขึ้นไปบนเตียง เปิดผ้าห่มออก “อย่านอนอย่างนี้ซี่ เด็กที่นอนไม่ยอมลุกเป็นเด็กไม่น่ารักนะ”
“ซิวหลัว ดอกไม้” เอ้อร์เป่าเด็ดดอกไม้สวยๆ มาให้ซิวหลัว
ต้าเป่าก็มีของขวัญของตนเองเหมือนกัน นั่นก็คือต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงหน้าตาอัปลักษณ์
ทั้งสามคนดึงซิวหลัวขึ้นมา
เสี่ยวเป่าเอียงคอมอง “วันนี้จะต้องไปเรียนวรยุทธ์กับอาจารย์อาเว่ยนะ”
ซิวหลัวกุมศีรษะ หันหลังไปนอนขดเป็นก้อนกลม
ซิวหลัวไม่อยากเรียนวรยุทธ์
ซิวหลัวไม่ไป!
ต้าเป่าเดินอ้อมไปตรงหน้าเขา จับมือหยาบกร้านของซิวหลัว ดวงตากลมโตจ้องมองเขา
ไม่เจ็บเลยนะ
เรียนวรยุทธ์กับอาจารย์อาเว่ยไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว
“ต้าเป่า พวกเจ้าอยู่ด้านในหรือ?”
เสียงอันอ่อนโยนของอวี๋หวั่นดังมาจากด้านนอก
ซิวหลัวดูราวกับว่าตกตะลึงพรึงเพริด เขาโผกลับลงบนเตียง ลากผ้าห่มมาคลุมตัว
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะไป
เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นมาตบไหล่ของซิวหลัวเบาๆ เพื่อปลอบซิวหลัวอย่างที่ท่านแม่ชอบทำ “ไม่ต้องกลัวนะ ท่านแม่ข้าเอง ท่านแม่เป็นคนดี”
เอ้อร์เป่าปีนขึ้นไปบนเตียง ใบหน้าน้อยๆ จ้องมองใบหน้าของซิวหลัว แล้วพูดเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านแม่มา ไม่ต้องกลัวนะ”
ซิวหลัวค่อยๆ เปิดผ้าห่มออก เผยให้เห็นดวงตาสีโลหิต
เอ้อร์เป่ายิ้มหวาน แล้วลูบศีรษะของซิวหลัว อย่างที่ท่านพ่อชอบทำ “เด็กดี”
หลังจากซิวหลัวฟื้นขึ้นก็ไม่ยอมเข้าใกล้ผู้ใด นอกจากเด็กน้อยทั้งสาม กระนั้นอวี๋หวั่นก็ยังไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะปลอบซิวหลัวได้จริงๆ
ในมือของอวี๋หวั่นถือหลางหยาป่าง[1] เพื่อรักษาชีวิตของคนในครอบครัว เธอจำเป็นต้องสู้ ถ้าหากซิวหลัวไม่ยอมลุกขึ้นมาด้วยตนเอง ต่อให้เธอจะต้องตีเขา เธอก็จะทำ!
ในห้องมีเสียงพึมพำของเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าดังมาเป็นครั้งคราว อวี๋หวั่นไม่อยากยอมรับว่าเธอรู้สึกอิจฉา แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยรู้เลยว่าเด็กซนๆ ทั้งสามคนจะอ่อนโยนได้เช่นนี้ นี่ลูกของเธอจริงๆ หรือ? ไม่ใช่ลูกบ้านอื่นใช่ไหม?
แต่ว่า…
เหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนกันแฮะ
ซิวหลัวไม่ยอมขยับเขยื้อน
อวี๋หวั่นกัดฟัน เด็กๆ แม่ขอโทษเพื่อนของพวกเจ้าไว้ล่วงหน้า!
อวี๋หวั่นยกหลางหยาป่างขึ้นมา แล้วเดินไปยังประตู…
“ท่านแม่?” เสี่ยวเป่าทำตาโต
เด็กทั้งสามมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้างุนงง พวกเขากำลังพยุงซิวหลัวซึ่งรวบรวมความกล้าลุกขึ้นเดินได้ก้าวแรก
อวี๋หวั่นรีบซ่อนหลางหยาป่างไว้ด้านหลัง เธอฉีกยิ้มจนเห็นฟันซี่เล็ก “อรุณสวัสดิ์!”
สิ่งที่จวนเทพสงครามมีพรั่งพร้อมก็คือสถานที่ฝึกวรยุทธ์ แต่สถานะของเด็กทั้งสามพิเศษสักหน่อย เพื่อที่จะให้พวกเขาได้ฝึกฝนอย่างมีประสิทธิภาพ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงสั่งให้คนทำสนามหญ้าผืนหนึ่ง บนสนามหญ้ามีอุปกรณ์ชั้นดีและครบครัน ราวกับสนามฝึกขนาดย่อมของกองทัพ
เด็กทั้งสามจูงซิวหลัวมาถึงสนามซ้อม พวกเจียงไห่และอาเว่ยมารออยู่ที่สนามแล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิงและเซียวเจิ้นถิงก็มาแล้วเช่นกัน
แม่ทัพของทั้งสองดินแดน ร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อการฟื้นฟูพลังของคนเพียงคนเดียว
เพื่อศึกษาการบาดเจ็บของซิวหลัว ทั้งสองปรึกษากันอยู่นาน ในตอนที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงธาตุไฟเข้าแทรกนั้น เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ไปทั้งหมดเพื่อกำจัดพลังภายในที่บ้าคลั่งในร่าง
โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีพลังภายในมาก พลังที่โหมคลั่งในร่างก็จะมาก ในทางกลับกัน หลังจากที่สูญเสียพลังภายในไป ความรุนแรงของพลังในร่างก็จะลดลงและหายไปเช่นกัน
แต่ไม่ใช่กับซิวหลัว พลังภายในของเขาถูกดูดซับไปจนหมด ทว่าพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างก็ยังคงทำให้เขาทรมานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
นี่เป็นความโชคร้ายของเขา แต่ก็เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเขาแต่เพียงผู้เดียว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงคาดเดาว่า ตราบใดที่เขายังมีพลังนี้อยู่ ก็หมายความว่าอาจมีพลังภายในหลงเหลืออยู่ในจุดตันเถียนของเขา เพียงแต่พลังนี้อ่อนเกินไป จึงไม่อาจสัมผัสได้ก็เท่านั้น
หากเปรียบพลังภายในที่เขามีก่อนหน้านี้เป็นดังไฟซึ่งกำลังเผาไหม้ผืนป่าใหญ่ พลังภายในที่อาจหลงเหลืออยู่ของเขาก็เป็นเพียงสะเก็ดไฟเท่านั้น
สะเก็ดไฟแม้ว่าจะเล็ก แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่กลายเป็นไฟป่า?
ทุกคนล้วนแต่เชื่อมั่นในตัวซิวหลัว เซียวเจิ้นถิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขากล้าเดินออกมาจากห้องนั้น ทนความเจ็บปวดได้ ก็นับว่ามหัศจรรย์มากแล้ว เขาเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกมาก
“จะเริ่มฝึกแล้วนะ” เสี่ยวเป่าจูงมือซิวหลัว
คาบแรกของอาจารย์อาเว่ย: วิชาตัวเบา
อาเว่ยพาลูกศิษย์ตัวน้อยขึ้นไปบนหลังคา
อาเว่ยโยนลูกศิษย์ตัวน้อยลงมา
พลั่ก!
ต้าเป่าพุ่งลงพื้น ล้มหน้าคะมำลงบนพื้นเป็นรูปตัวอักษรต้า (大)
ทุกคนยกมือขึ้นปิดตา
ตามมาติดๆ ด้วยเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่า เป็นไปดังคาด ทั้งสองร่วงลงไปด้วยท่าคะมำมาตรฐาน
เอาเถอะๆ อย่างไรเสียพวกเจ้าก็มาฝึก
ถึงตาซิวหลัวแล้ว
ด้วยความสามารถของซิวหลัวแล้ว ต่อให้ไม่มีพลังภายใน ก็ต้องลงมาแตะพื้นได้อย่างงดงาม เขาต้องเอาชนะความกลัวของตนให้ได้
เขาจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่?
หัวใจของทุกคนแทบจะขึ้นมาบนคอหอย
ซิวหลัว! ซิวหลัว! ซิวหลัว!
ในที่สุดซิวหลัวก็ขยับ!
ใบหน้าของซิวหลัวปะทะสายลม! เขาก้าวไปข้างหน้า! กางแขนออกมาด้วยความกล้าหาญ!
พลั่ก!
ซิวหลัวล้มหน้าคะมำตามเด็กทั้งสามไป!
ทุกคน “…”
……
เด็กทั้งสามหมดคุณสมบัติที่จะฝึกซ้อมเป็นเพื่อนซิวหลัว ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็นชิงเหยียนและเจียงไห่มาแทน
ทั้งสองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง ในที่สุดซิวหลัวก็เข้าใจว่าหลักการของวิชาตัวเบาก็คือการเอาเท้าลงพื้น ไม่ใช่เอาหน้าลงพื้น
ทว่าซิวหลัวเพียงแต่ทำตามพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาหยุด ซิวหลัวก็จะหยุดเคลื่อนไหว
จะทำตามพวกเขาอย่างเดียวไม่ได้นะ ไม่เช่นนั้นยามที่ต้องเผชิญหน้ากับซิวหลัวทั้งสาม เมื่อถูกซิวหลัวคนใหม่รุกเข้ามา ยังไม่ทันได้โต้กลับ มีหวังได้ถูกพวกเขาฆ่าตายเสียก่อน
“อาม่า” อวี๋หวั่นมองไปยังชายชรา อาม่าเป็นผู้ทรงภูมิ เขาต้องมีทางออกอย่างแน่นอน!
อาม่าพยักหน้า เป็นถึงนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ เขาย่อมมีวิธี
เขาหยิบอาวุธลับออกมาจากอกเสื้อ!
เสียงกระดิ่งลมดังเสนาะหู ทว่ากลับทำให้ซิวหลัวขนลุกซู่!
อ๊ากกกก!!!
ซิวหลัวชะงัก ทันใดนั้นเองก็ปราดหนีไป!
อาม่าสาบานได้ว่าเขาเพียงจะบังคับให้ซิวหลัวใช้วิชาตัวเบาก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้านี่จะออกจากเมืองหลวง อิ่งสือซันและอาเว่ยตามหาเขาอยู่สามวันสามคืน กว่าจะไปหาเขาพบที่เมืองอวี้…
คนอื่นใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามหลังคาบ้าน
ใครจะไปเหมือนเจ้าที่บินข้ามเมืองไปเลย!!!
………………………………..
[1] หลางหยาป่าง เป็นอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง มักทำจากท่อนไม้ ตอกด้วยตะปูหรือโลหะแหลม นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ซ่ง
Related