ไม่ต้องกล่าวถึงยามนี้ความสัมพันธ์ขององค์ประมุขกับตี้จีองค์โตไม่ลงรอยกันเช่นนี้ เขาไม่มีความคิดที่จะแต่งตั้งคนของนางเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย ต่อให้มีก็ไม่มีทางข้ามตี้จีองค์โตกับอวี๋หวั่นไปแต่งตั้งเด็กไม่หย่านมที่ยังพูดไม่ได้แน่!
องค์ประมุขกุมหน้าผาก
เขาปวดหัว
ปวดยิ่งนัก!
เจ็บปวดกว่าใบหน้าเสียอีก!
ที่เจ็บหน้าเพราะเขาให้คำมั่นว่าจะไม่ไปตำหนักจูเชวี่ยอีก แต่กลับไปที่นั่นอย่างเริงร่าและมิใช่เพียงครั้งเดียว ส่วนเรื่องน่าปวดหัว ก็คือถูกเด็กน้อยคนนี้นำโชคร้ายมาสู่ตัว
แย่งตราหยกไปไม่พอ ยังวิ่งมานั่งบนบัลลังก์มังกรของเขาอีก บัลลังก์มังกรเป็นที่ที่เจ้านั่งได้หรือ? หืม?
องค์ประมุขมองต้าเป่าที่อยู่ด้านข้างด้วยความขมขื่น
ต้าเป่ารู้สึกว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง จึงหันมองเขาอย่างน่ารักน่าชัง
องค์ประมุข “…”
โทสะที่เดือดดาลขององค์ประมุขพลันสลายหายไป เขาปิดตาด้วยความเจ็บปวดใจและอับจนหนทาง นึกเสียใจ เหตุใดเขาต้องพาเจ้าตัวน้อยนี้เข้าวังมาด้วยนะ…
เหล่าขุนนางทั้งบู๊บุ๋นไม่รู้เลยว่าในใจขององค์ประมุขรู้สึกเปล่าประโยชน์และทรมานเพียงใด ในหมู่พวกเขามีหลายคนที่จดจำไข่ดำน้อยผู้นั้นได้ ตั้งแต่พิธีบวงสรวงสวรรค์ก็เกิดปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งคือคุณชายน้อยแห่งจวนเห้อเหลียน ภาพของพวกเขาทั้งสามแพร่ออกไปในหมู่ชาวบ้านอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า
ทั้งสามคนเป็นที่จดจำได้ง่าย เพราะเด็กชายตัวเล็กที่ดำเมี่ยมเช่นนี้ไม่อาจหาคนที่สี่ได้อีกแล้วในโลก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าองค์ประมุขพาคนใดในทั้งสามนั้นมาว่าราชการด้วย
แต่ไม่ว่าเป็นใคร ก็งดงามกว่าในภาพวาดยิ่งนัก ดูดวงตาสีดำกลมโต จมูกนิดปากหน่อย เรียวคิ้วน้อยที่เข้มดุจวีรบุรุษคู่นั้น แก้มสองข้างที่อวบอ้วน หน้าท้องที่กลมดิ๊ก
ในใจของทุกคนมีเสียงหนึ่งแวบเข้ามา แม่เจ้า น่าหยิก!
ในท้องพระโรงมีคนของหนานกงเยี่ยนอยู่ไม่น้อย ต่อให้เป็นพวกเขา หลังจากที่พบกับไข่ดำน้อยฟองนี้ต่างก็อยากจะเอื้อมมือไปแย่งชิงมา
อย่างที่โบราณว่าไว้ แว่นแคว้นไม่อาจขาดองค์ประมุขแม้แต่วันเดียว อายุขององค์ประมุขก็มากแล้ว และตำแหน่งรัชทายาทก็ยังว่างอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหนานจ้าว ซึ่งเดิมทีอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นอยู่แล้ว ประชาชนต้องการรัชทายาท ดินแดนจำต้องมีผู้สืบทอด หากองค์ประมุขตัดสินใจล่าช้าอาจทำให้ผู้คนคาดเดาไปเอง จริงหรือไม่ที่ประเทศไร้ผู้สืบทอด?
สิ่งที่ตี้จีองค์เล็กกระทำทั้งหมดทำให้ผู้คนผิดหวัง
แม้ตี้จีองค์โตจะครอบครองของศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์พิษอาวุโส แต่อย่างไรก็มีชะตากรรมแห่งดาวหายนะ ใช่หรือไม่ว่าองค์ประมุขไม่พอใจกับคนทั้งสอง?
ตอนแรกเดาว่าชะตากรรมของตี้จีองค์โตอาจมีความผิดพลาด ภายในเงามืดที่องค์ประมุขล่าช้าไม่ยอมรับนางกลับมาทำให้เกิดการสั่นคลอนอย่างช้าๆ
แต่ไหนเลยประชาชนจะรู้ว่าไม่ใช่องค์ประมุขมิต้องการรับนางกลับมา แต่เขารับนางกลับมาไม่ได้
ทว่าเมื่อเห็นองค์ประมุขพาเหลนคนหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนักจินหลวน เหล่าขุนนางทหารต่างก็ตื่นเต้น
“ข้า…”
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
องค์ประมุขกำลังจะอธิบายให้ทุกคนฟัง ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ขุนนางทั้งบู๊บุ๋นต่างก็คุกเข่าเปล่งเสียงสรรเสริญดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักจินหลวนแทบทะลุหลังคาพุ่งขึ้นฟากฟ้า
องค์ประมุขกุมหน้าผาก “ไม่ใช่…”
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ใต้เท้าทุกท่าน…”
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
หลังจากการสรรเสริญติดต่อกันสามครั้งเสร็จสิ้น องค์ประมุขก็ไม่อยากพูดสิ่งใดอีกแล้ว
“อื้ม” ต้าเป่านั่งยืดตัวตรงพยักหน้า
ทุกคนต่างตกตะลึง องค์ประมุขก็เช่นกัน
เด็กคนนี้ยังตอบว่าอื้ม?
คำสรรเสริญต่อข้า เจ้าอื้มอันใด? ! !
ความคิดของเหล่าขุนนางต่างไปจากองค์ประมุข
ท่าทีที่จริงจังของต้าเป่าราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย และ ‘อื้ม’ ที่ดูจริงจังเป็นพิเศษทำให้เหล่าขุนนางต่างรู้สึกขบขัน
ไยจึงมีเด็กน้อยที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ได้? อยากอุ้มกลับจวนเสียจริง!
สีหน้าของต้าเป่าจริงจังหนักหนา
เหล่าขุนนางอยากหัวเราะก็ไม่กล้าหัวเราะ ต่างกลั้นขำจนหายใจไม่ออก
หัวหน้าฝ่ายตรวจการอาจหาญกล่าวหยั่งเชิง “เช่นนั้น…ก็ให้ใต้เท้าทั้งหลายลุกขึ้น?”
ต้าเป่าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อื้ม”
ฮ่าๆๆๆๆ! เทพบุตรตัวน้อยอะไรนี่! ! ! ยังรู้จักให้พวกเขาลุกขึ้น!
ทุกคนหัวเราะขบขันในใจ!
ต้าเป่าพูดไม่ได้ ทำได้เพียงอื้มอ้า บางครั้งก็หัวเราะคิดคักกับน้องชาย แต่เหล่าขุนนางไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ต่างคิดว่าเด็กคนนี้วาจาอักษรมีค่าดั่งทอง เยือกเย็น สูงส่ง ดูดียิ่งนัก!
ต้าเป่านั่งอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่นี่ไม่สนุก จึงกระโดดลงไปที่พื้นพร้อมกับตราหยกในมือ
ผู้คนที่เดิมทีได้ยืนตรงแล้วเห็นต้าเป่าเดินมาหาพวกเขา ต่างก็รีบร้อนคุกเข่าลง
ต้าเป่ามองพวกเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินไปหาหัวหน้าฝ่ายตรวจการที่เพิ่งพูดกับเขา แล้วยกมือเล็กอันอวบอ้วนขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายอย่างจริงจัง
หัวหน้าฝ่ายตรวจการตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
นี่คือความคาดหวังอันสูงส่งที่มีต่อเขา!
ต้าเป่าเพียงคิดว่า มีขี้เถ้าอยู่บนไหล่ของเจ้าน่ะ!
หลังจากต้าเป่าจากไป หัวหน้าฝ่ายตรวจการก็หลั่งน้ำตา หันตัวคุกเข่าลงในทิศที่ต้าเป่าจากไป “น้อมส่งเสด็จ——”
ทุกคนหันตัวตามเขา ก้มลงคำนับพร้อมกัน “น้อมส่งเสด็จ——”
องค์ประมุขตื่นตระหนก!
ฝ่าบาทอันใด?
ข้าออกราชโองการแต่งตั้งแล้วหรือ?
ข้าตกลงแล้วหรือ?
พวกเจ้ารวบรัดจัดการเรียบร้อยเช่นนี้? ! !
องค์ประมุขได้ผ่านการว่าราชการที่น่ากลัดกลุ้มใจที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่มีโอกาสได้พูด เมื่อในที่สุดก็ถึงคราวได้พูด กลับไม่มีผู้ใดเชื่อสิ่งที่เขาพูดสักคำ
“ข้าไม่ได้คิดจะสละบัลลังก์”
แต่ท่านให้ตราหยกแก่เขา
“แล้วข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นองค์ชายคนใด”
แต่ท่านแบ่งบัลลังก์มังกรแก่เขา
“แค่เด็กเล่นเท่านั้น ใต้เท้าทั้งหลายอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
มาเล่นถึงตำหนักจินหลวน ท่านคิดว่าพวกเราตาบอดหรือ???
องค์ประมุขได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลที่อยู่ภายใน เลิกศาลไปอย่างทุกข์ทรมาน
เขาสาบานว่าจะไม่สนใจเจ้าเด็กหมีตัวนี้อีกต่อไป!
เหตุการณ์นี้ไปถึงหูฮองเฮาอย่างรวดเร็ว
ยามที่หนานกงเยี่ยนนั่งตำแหน่งประมุขหญิงอย่างมั่นคงก่อนหน้านี้ ฮองเฮาไม่เคยสนใจราชการแผ่นดิน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนานกงเยี่ยนก็สืบทอดบัลลังก์อยู่ดี เช่นนั้นแล้วนางยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีกเล่า? ทว่าตั้งแต่ครอบครัวของตี้จีองค์โตล้มจวนประมุขหญิง ฮองเฮาก็จำต้องมีเส้นสายคอยสอดแนมในท้องพระโรง
ยามที่ขันทีรายงานเรื่องที่เกิดในตำหนักจินหลวนทั้งหมด นางก็ตกใจจนพระพักตร์ถอดสี “เจ้าว่าอย่างไรนะ? องค์ประมุขพาเขาไปว่าราชการ? ทั้งยังมอบตราหยกและให้นั่งบัลลังก์ของเขาอีกหรือ?”
นี่ นี่…
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่? เขาเพิ่งเข้าวังมาเพียงสองวันก็ทำให้ฝ่าบาทพึงพอใจได้ถึงเพียงนี้? แล้วซีเอ๋อร์กับหลีเอ๋อร์ที่นางอบรมเลี้ยงดูมาหลายปีเล่านับเป็นสิ่งใด?
ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวจนอึดอัดคับแน่น แม้แต่การหายใจก็ดูยากลำบาก
ขันทีรีบรายงานสิ่งที่ได้ยินมาจากห้องทรงอักษรแแก่ฮองเฮา “มิใช่ฝ่าบาทมอบตราหยกแก่เขา เป็นเขาที่หยิบไปเอง เมื่อวานเพื่อนำตราประทับฮองเฮากลับคืนมา องค์ประมุขจึงพาเขาไปที่ห้องทรงอักษร ผลคือตราประทับถูกนำกลับไปได้ ทว่าเด็กคนนั้นก็หันไปชอบตราหยกอีก”
“เหลวไหล!” ฮองเฮาตบโต๊ะ “ตราหยกสืบบัลลังก์ใช่สิ่งที่แตะต้องได้ตามใจหรือ? เขาจะหยิบก็หยิบ! ฝ่าบาทก็ไม่สั่งสอนเขา!”
ขันทีพูดในใจ จะสั่งสอนอย่างไร? ตอนที่หยิบตราประทับท่านไป ก็ไม่ได้สั่งสอนเหมือนกันมิใช่หรือ? ฝ่าบาทถูกเจ้าตัวเล็กนั่นทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหลแล้ว
ภาพแห่งความทรงจำของฮองเฮาที่มีต่อองค์ประมุขยังคงหยุดอยู่ที่เรื่องการทอดทิ้งตี้จีองค์โต ในมุมมองของฮองเฮา กระทั่งบุตรสาวแท้ๆ ที่เกิดจากเขา องค์ประมุขก็ละทิ้งได้อย่างไม่ใยดี เหลนที่ห่างออกไปถึงสองรุ่น ในใจของเขาย่อมไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าใดนัก
ฮองเฮามองข้ามไปเรื่องหนึ่ง องค์ประมุขส่งตี้จีองค์โตออกไป เพราะเชื่อในคำทำนายของราชครูคนเก่า ระหว่างเลือดเนื้อของตนเองกับความเป็นไปของทั้งผืนแผ่นดินหนานจ้าว เขาเลือกอย่างหลังก็เท่านั้น
แน่นอน ความแข็งแกร่งของจิตใจในวัยหนุ่มก็เป็นเรื่องจริง ต้องการฟื้นฟูหนานจ้าวให้เจริญรุ่งเรือง ต้องการเป็นฮ่องเต้ที่ดี จิตใจเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานมุ่งมาดปรารถนา ทั้งหมดล้วนปรากฏขึ้นในวัยที่จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม
องค์ประมุขในยามนี้ชราแล้ว
ความทะเยอทะยานที่ควรมีก็มีแล้ว จะให้เขาพุ่งเข้าใส่ ไม่สนใจใยดี อุทิศชีวิตเพื่อแว่นแคว้นเช่นวันเก่า เขาทำไม่ได้อีกแล้ว
ค่ำคืนที่ความฝันย้อนกลับมากลางดึกนับไม่ถ้วน เขาจะนึกถึงดวงตาไร้เดียงสาเหล่านั้น ทารกหญิงที่เขาส่งไปในวันที่หิมะตก
สิ่งเหล่านี้ เขาไม่เคยพูดกับฮองเฮา
จิตใจเย็นชาของฮองเฮาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้นางไม่สามารถคิดถึงขั้นนี้ได้
นางรู้สึกว่าความเมตตาขององค์ประมุขที่มีต่อเด็กน้อยเหล่านั้นไม่มีสาเหตุ จิตใจที่อ่อนโยนขององค์ประมุขก็ไม่จำเป็น
“ฝ่าบาทเล่า?” ในอดีตองค์ประมุขเสด็จกลับจากท้องพระโรงมักมาเสวยมื้อเช้าที่ตำหนักจงกง แต่เมื่อวานไปที่ตำหนักจูเชวี่ย เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันนี้ก็ไปอีกครั้ง?
ขันทีกล่าว “ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักของพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ได้ไปพบอวิ๋นเฟยก็ดีแล้ว สีหน้าฮองเฮาค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่ก็มีความสุขได้ไม่นาน อย่างไรเสียองค์ประมุขก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่ถึงสองวันแล้ว ซึ่งนี่ทำให้นางไม่อาจวางใจลงได้
“เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปดูฝ่าบาทสักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขบวนเสด็จของฮองเฮาออกเดินทางไปยังตำหนักขององค์ประมุข ผ่านไปครึ่งทางก็พบกับอวิ๋นเฟยที่กลับมาจากการเก็บส้ม
ในวังหลวงมีสวนผลไม้ ส้มที่ปลูกอยู่ในนั้นสุกงอมแล้ว อวิ๋นเฟยตั้งใจจะเก็บสองสามผลเพื่อนำไปให้เด็กๆ ได้ลิ้มลอง ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ออกมาจะได้พบกับฮองเฮา
อวิ๋นเฟยคำนับอย่างไม่แยแส “ถวายพระพรฮองเฮา”
เมื่อฮองเฮาเห็นว่านางทำอย่างขอไปทีก็เกิดโทสะ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออก เพียงแต่ให้คนหยุดเกี้ยว นางนั่งอยู่บนเกี้ยวปรายตามองอวิ๋นเฟยจากที่สูง “อวิ๋นเฟยกลวิธีดียิ่งนัก เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้ว แม้แต่เด็กไร้เดียงสาสองสามคนก็ยังใช้ประโยชน์ได้”
อวิ๋นเฟยคลี่ยิ้มเบาๆ “ฮองเฮากล่าวหนักไปแล้ว หากกล่าวถึงกลวิธี ไหนเลยหม่อมฉันจะเทียบฮองเฮาได้? ยามนั้นเพียงคำทำนายของราชครูคนเก่าประโยคเดียว ก็สามารถส่งบุตรของหม่อมฉันออกไปได้แล้ว หม่อมฉันไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น ไม่เช่นนั้นคงทำให้ฮองเฮาทรงกริ้วมาหลายปีแล้ว”
สองสามประโยคแรกไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทว่าประโยคสุดท้ายเกือบทำให้ฮองเฮาโมโหแทบสิ้นใจ
ฮองเฮาบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น “อวิ๋นเฟย! อย่าคิดว่ามีฝ่าบาทให้ท้ายเจ้า แล้วจะยิ่งทำเหมือนไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา!”
อวิ๋นเฟยถอนหายใจเบาๆ “ฮองเฮาผิดแล้ว หม่อมฉันมิได้ยิ่งทำเหมือนไม่เห็นพระองค์ในสายตา ทว่าหม่อมฉันไม่เคยเห็นพระองค์ในสายตาแต่แรกแล้ว”
ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวแทบหงายหลัง!
ฮองเฮาเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้า…เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะลงโทษเจ้ารึ?!”
อวิ๋นเฟยถอนหายใจอีกครั้ง “โอ้ หม่อมฉันก็ไม่ได้หยาบคายไร้มารยาทวันแรก ฮองเฮาจิตใจกว้างขวาง ไม่มีทางกล่าวโทษหม่อมฉันด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่”
นี่ไม่ใช่เรื่องเท็จ หลังจากอวิ๋นเฟยเข้าวังหลังมาไม่มีวันใดที่ไม่ก่อปัญหา แต่ฮองเฮามักจะอดทนกับนางมากที่สุด แน่นอนไม่ใช่เพราะฮองเฮาจิตใจกว้างขวางแต่อย่างใด ทว่าการละเว้นสตรีผู้บ้าคลั่งคนนี้ทำให้คุณงามความดีของฮองเฮาเจิดจรัสได้เป็นอย่างดี
ทำไม?
ข้าเป็นเครื่องมือขับเจ้าให้เด่นมาหลายปีเช่นนี้โดยไร้ประโยชน์หรือ?
ถึงเวลาที่ควรเก็บผลตอบแทนบ้างแล้ว!
“ฮองเฮาไม่มีสิ่งใดรับสั่ง เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว ฮองเฮาต้องดูแลเพียงตี้จีที่หลับไม่ตื่น หม่อมฉันต้องดูแลเด็กๆ ที่มีชีวิตชีวาซุกซนถึงสามคน หม่อมฉันลำบากแล้ว”
อวิ๋นเฟยคุยโวจบก็เดินจากไปพร้อมกับตะกร้าโดยไม่หันกลับมา
นางพูดบ้าอะไร? ตี้จีที่หลับไม่ตื่น นี่นางกำลังสาปแช่งหนานกงเยี่ยนว่าชาตินี้นางไม่อาจหายเป็นปกติหรือ? เมื่อนึกถึงหนานกงเยี่ยนที่เหี่ยวเฉา หัวใจของฮองเฮาเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด ยิ่งนึกถึงเด็กที่ถูกองค์ประมุขพาไปที่ตำหนักจินหลวน ฮองเฮาก็แทบกระอักเลือดออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
อวิ๋นเฟยหันกลับมา “ฮองเฮายังมีสิ่งใดรับสั่ง?”
ฮองเฮาระงับไฟโทสะที่ลุกโหมอยู่ในใจ “เจ้ายุยงใช่หรือไม่?”
อวิ๋นเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หือ ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร?”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่ามาเล่นละครตบตาข้า! เด็กคนนั้นหยิบตราประทับของข้า แล้วยังหยิบตราหยกของฝ่าบาท ทั้งยังก่อกวนให้ฝ่าบาทพาเขาไปที่ท้องพระโรง เจ้ายังกล้าพูดว่าไม่ใช่การยุยงของเจ้ารึ?”
ก็ไม่ใช่จริงๆ
อวิ๋นเฟยไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ในเมื่อฮองเฮาเอ่ยปากถาม นางย่อมไม่อาจทำให้ฮองเฮาผิดหวัง
อวิ๋นเฟยแย้มสรวลงดงาม “ใช่แล้ว หม่อมฉันยุยง ฮองเฮามาลงโทษหม่อมฉันสิเพคะ!”
เด็กนั่นเพิ่งไปที่ตำหนักจินหลวน มายามนี้ลงโทษอวิ๋นเฟย จะไม่เป็นการทำร้ายเด็กนั่นอย่างเปิดเผยหรือ?
ฮองเฮายังไม่เขลาถึงขั้นนั้น
ทว่าฮองเฮาโกรธแค้นยิ่งนัก นางไม่เคยเจ็บใจเช่นนี้มาก่อน
นางไม่สบายใจ อวิ๋นเฟยก็สบายใจแล้ว
อวิ๋นเฟยถือตะกร้าจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก
ขันทีโน้มน้าวจากด้านข้าง “ฮองเฮาอย่าทรงกริ้ว โทสะไม่เป็นผลดีต่อพระวรกาย อย่างไรก็ยังมีฝ่าบาท ฝ่าบาทกับพระองค์เป็นสามีภรรยามาหลายปี คนที่ฝ่าบาทห่วงใยที่สุดก็คือท่าน”
ฮองเฮาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพยักหน้า “ไปตำหนักฝ่าบาท”
นางไม่เชื่อว่าเด็กสามคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น จะมีค่ามากกว่าความรู้สึกของสามีภรรยาที่มีมานานหลายปี ในหัวใจขององค์ประมุข นางเป็นคนที่สำคัญที่สุดเสมอ
บุตรจากสนมไม่กี่คน ไหนเลยจะเทียบเทียมฮองเฮาที่มีสายเลือดโดยตรง?
ความคิดแวบเข้ามา พระทัยของฮองเฮาก็สงบลงเล็กน้อย
ฮองเฮามีสิทธิพิเศษ ยามเข้าออกตำหนักองค์ประมุข ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ
นางเดินเข้าไปได้โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา
นางรีบเดินผ่านระเบียงทางเดิน เข้าไปดูใกล้ๆ กลับเห็นองค์ประมุขที่เพิ่งสาบานว่าจะไม่สนใจต้าเป่าอีกเมื่อวินาทีก่อน ยามนี้คลานกับพื้นด้วยสองเข่าสองมือ โดยมีไข่ดำทั้งสามขี่บนหลังมังกรของเขาอย่างสนุกสนาน
องค์ประมุข “นั่งดีๆ ละ!”
ฮองเฮา “…..!!!”
…………………………
Related