เมื่อครู่บอกว่าจำได้ ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็ลืมเสียแล้ว?
ฮองเฮาหันมององค์ประมุข ตัดสินใจเสี่ยงชะตา “เมื่อครู่ข้าแค่เดาสุ่มสี่สุ่มห้าว่าเด็กที่ตกน้ำคือต้าเป่า”
โชคดีที่นางชนะเดิมพัน
องค์ประมุขไม่ได้สงสัยนางแม้แต่น้อย
แต่ฮองเฮากลับเริ่มสงสัยในตัวอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นจงใจทำให้องค์ประมุขมองเห็นช่องโหว่ของเรื่องทั้งหมด แปดเก้าส่วนคงเพราะได้ยินอวิ๋นเฟยพูดอะไรมา จึงสงสัยว่านางทำให้ต้าเป่าตกน้ำ
เด็กคนนี้ฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าที่นางคาดคิดไว้
แต่แล้วอย่างไร? แค่องค์ประมุขเชื่อใจนางก็พอแล้ว
ฮองเฮาคลี่ยิ้มอ่อนโยน “นานๆ อวี๋หวั่นจะเข้าวังสักที ทานมื้อค่ำด้วยกันเถอะ”
อวี๋หวั่นเผยยิ้มงดงาม “ได้เพคะ”
ฮ่องเฮาสั่งห้องครัวหลวงให้จัดเตรียมสำรับงามวิจิตรชุดหนึ่ง ระหว่างรออาหาร อวี๋หวั่นหามุมลับตาคน กระซิบเสียงเบา “อิ่งสือซัน!”
อิ่งสือซันกระโดดลงมาจากฟ้า “พระชายาซื่อจื่อ ท่านจะออกจากตำหนักจงกงแล้วหรือ?”
“ไม่” อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจจะอยู่ต่อ”
“อะไรนะ?” อิ่งสือซันประหลาดใจ
อวี๋หวั่นจ้องตาเขม็ง “ข้าจะอยู่ที่ตำหนักของวังหลวง ข้าก็เพิ่งตัดสินใจ เจ้าไปที่สำนักราชครู พบคนผู้หนึ่งแทนข้าที”
“พระชายาซื่อจื่อ ท่านจะทำสิ่งใด?” อิ่งสือซันถาม
“จัดการกับฮองเฮา” อวี๋หวั่นตอบ
ฮองเฮาทำให้องค์ประมุขหลงใหลหัวปักหัวปำ นอกจากนางจะยอมรับจากปากตนเอง ก็มีแต่ให้องค์ประมุขได้เห็นด้วยตาตนเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดสามารถล้มนางได้ สตรีผู้นั้นกระทำการอย่างแนบเนียน จะให้นางยอมรับจากปากของตนเองไม่มีทางเป็นไปได้ ให้องค์ประมุขจับจุดอ่อนของนางก็ไม่ง่าย แต่พวกเขาสามารถจัดฉากอำพรางได้
อิ่งสือซันกล่าว “พระชายาซื่อจื่อต้องการให้ข้าไปพบหวั่นเฟิงหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่แล้ว อีกครู่หนึ่งหลังจากทานอาหารเย็น ข้าจะหาทางวางยาหนานกงเยี่ยน ให้สถานการณ์ของนางรุนแรงขึ้น เป็นยาของชุยเฒ่า หมอหลวงตรวจไม่พบสิ่งใด ถึงเวลานั้น องค์ประมุขต้องขอความช่วยเหลือจากราชครูเป็นแน่ เจ้าบอกกับหวั่นเฟิงให้เขามา”
“เขามาได้หรือ?” อิ่งสือซันแสดงความสงสัย องค์ประมุขเชิญ คนที่ถูกเชิญก็ควรเป็นราชครู
“เขาต้องมีวิธี” อวี๋หวั่นมั่นใจในตัวหวั่นเฟิง
“เมื่อมาแล้วละ?” อิ่งสือซันถาม
อวี๋หวั่นชั่งน้ำหนักยาขี้ผึ้งในมือ “เมื่อมาแล้ว ก็ให้ทำนายหนานกงเยี่ยนว่าหนึ่งในพวกเรามีผู้ที่ดวงชะตาขัดแย้งกับนาง”
เมื่อพูดเช่นนี้ อิ่งสือซันถึงเข้าใจ “พระชายาซื่อจื่อคิดจะล่อให้ฮองเฮา…ลงมืออีกครั้งหรือ?”
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ “นางเป็นคนที่องค์ประมุขไว้ใจอย่างยิ่ง หากไม่จับนางคาหนังคาเขา ยากที่จะทำให้องค์ประมุขสงสัยนาง”
อิ่งสือซันสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเข้าใจแล้ว พระชายาซื่อจื่อโปรดวางใจ ข้าจะนำไปบอกเขา”
เดิมทีมันคือแผนการที่ราบรื่นไร้รอยตะเข็บ ทว่าฟ้าไม่เป็นใจ หวั่นเฟิงถูกราชครูพาไปภาวนาปฏิบัติเสียแล้ว
อวี๋หวั่นโมโหมาก!
เจ้าราชครูบ้า ช้าเร็วกว่านี้ไม่ภาวนาปฏิบัติ มาภาวนาปฏิบัติยามที่สถานการณ์คับขันเช่นนี้ ทั้งยังพาหวั่นเฟิงไปด้วย! จะให้เธอเล่นลูกไม้สักหน่อยก็ไม่ได้!
อวี๋หวั่นกลับไปที่ห้องอย่างจุกอก
ในเมื่อไม่อาจทำตามแผนได้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป แม้แต่อาหารค่ำเธอก็ขี้เกียจกินแล้ว หมายจะพาเด็กๆ กลับจวนเสียดื้อๆ
เธอเข้าไปในห้อง แต่เด็กน้อยกลับไม่อยู่แล้ว ถามนางข้าหลวงที่ทำความสะอาดจึงได้รู้ว่าทั้งสามออกไปเดินเล่น
นางข้าหลวงกล่าว “องค์หญิงหวั่นโปรดวางใจ มีมามาติดตามไปด้วย ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องกับคุณชายน้อยเพคะ”
หากมามาจับตาดูบุตรชายของเธอได้สิแปลก!
ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรได้ดีกว่ามารดา ตอนแรกเหล่ามามาก็เดินตามอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่รู้เหตุใด เพียงพริบตาเดียวไข่น้อยทั้งสามกลับไม่เห็นเสียแล้ว!
เหล่ามามาตกใจกันยกใหญ่!
ไข่ดำทั้งสามเดินเล่นที่ตำหนักจงกง เดินไปเดินมาก็เข้าไปในห้องที่มีกลิ่นหอมของไม้กฤษณาและสมุนไพร
ภายในห้องมีร่างของคนนอนอยู่
เด็กน้อยสามคนเดินเตาะแตะไปที่เตียง มองสตรีที่หมดสติอยู่บนเตียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นั่นคือหนานกงเยี่ยน
ทั้งสามคนเคยเห็นหนานกงเยี่ยน ทว่ายามนั้นหนานกงเยี่ยนสดใสเปล่งปลั่ง หนานกงเยี่ยนตรงหน้าพวกเขากลับดูแห้งเฉาซีดเซียวราวกับเป็นคนละคน ทั้งสามจึงจำนางไม่ได้
ทั้งสามกะพริบตามองนาง
ทันใดนั้น ยุงตัวเล็กๆ ก็บินมาเกาะที่ใบหน้าของหนานกงเยี่ยน
เสี่ยวเป่าตั้งอกตั้งใจตบลงไปดังผัวะ!
ใบหน้าซีกหนึ่งของหนานกงเยี่ยนบวมออกมา แต่น่าเสียดายที่ยุงไม่ถูกตีตาย มันบินขึ้นไปและลงมาเกาะที่ใบหน้าของหนานกงเยี่ยนอีกซีกหนึ่ง
แป๊ะ!
เอ้อร์เป่าตบอีกครั้ง!
ขณะนี้ ฮองเฮาเดินนำนางข้าหลวงที่ถือยาเข้ามา ทันทีที่เข้ามาในห้องก็เห็นเด็กหมีสองคนวาดฝ่ามือตบหน้าบุตรสาวของนาง เสี้ยววินาที นางพาลเดือดดาล ไร้เหตุผล ย่างสามขุมเข้าไปลากตัวเอ้อร์เป่าออกมา “เจ้าจะทำอันใด!”
“อ๊า ข้าเจ็บ!” เอ้อร์เป่าน้ำตาไหล
“อย่ารังแกเอ้อร์เป่า!” เสี่ยวเป่ากระทืบเท้า หมายจะจับมือของนาง นางวาดฝ่ามือกลับมา
ต้าเป่าบังร่างน้องชาย
ฝ่ามือนั้นไม่ได้กระทบใบหน้าทว่าเป็นไหล่ของเขา แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดแล้ว
เสี่ยวเป่าโกรธแค้น “เจ้า…เจ้ามันเลว! เจ้ารังแกเอ้อร์เป่า รังแกต้าเป่า ข้า…ข้า…ข้าจะให้กู่ไปกัดเจ้า!”
ในที่สุดเสี่ยวเป่าก็จำได้ว่าเขายังมีแมลงกู่น้อยที่อาจารย์อาเว่ยมอบให้เขา เขาไม่สนใจว่ามันคือกู่ตัวใด และโยนมันออกไปทั้งหมดในคราวเดียว!
“อ๊า——” ฮองเฮากรีดร้องและล้มลงกับพื้น
แต่ว่ากันว่าองค์ประมุขไม่ได้มาเยี่ยมหนานกงเยี่ยนเป็นเวลานานแล้ว คราวนี้ฮองเฮาได้ช่วยต้าเป่าไว้ เพื่อเห็นแก่หน้าฮองเฮา เขาจึงตัดสินใจที่จะมาดูสตรีเจ้าเล่ห์ผู้นี้ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของฮองเฮา
“ฮองเฮา!” เขาสีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน เร่งฝีเท้าเข้ามาในห้อง
ฮองเฮาถูกกู่ทำร้าย ทั้งคันทั้งเจ็บปวด ทั้งใบหน้าบวมเป่ง
องค์ประมุขตรัสด้วยความเจ็บปวด “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ฮองเฮาบีบคอคล้ายกับมีบางอย่างจุกอยู่ ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว
นางส่งสายตาให้นางข้าหลวงที่ถือยา นางข้าหลวงรู้ความหมาย รีบคุกเข่าลงพร้อมกับถาดในมือ “ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่ฮองเฮานำยามาให้ตี้จี เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นว่าคุณชายน้อยกำลังตบตี้จีอยู่ ฮองเฮาเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหยุด แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง และยังปล่อยแมลงมากัดฮองเฮาด้วยเพคะ!”
องค์ประมุขขมวดคิ้วมองเด็กน้อยตัวแสบทั้งสาม แล้วก็มองหนานกงเยี่ยนบนเตียงที่มีใบหน้าบวมออกมาเล็กน้อย แววตาพลันหม่นลง
ฮองเฮามีนิสัยอย่างไรเขารู้ดี นางจิตใจงดงามและมากด้วยคุณธรรม ไม่ต้องพูดว่านางไม่มีทางทำร้ายเด็กๆ ต่อให้อยากทำร้ายจริง ก็ไม่มีทางใช้บุตรสาวของตนเองเป็นเครื่องมือ นางไม่อาจยอมให้หนานกงเยี่ยนถูกทำร้ายแม้แต่ผมหนึ่งเส้น
เช่นนั้นคำพูดของนางข้าหลวงเป็นความจริงหรือ? หนานกงเยี่ยนถูกเด็กชายตัวเล็กๆ สองสามคนตบตี?
องค์ประมุขตรัสน้ำเสียงหม่น “เหตุใดพวกเจ้าถึงทำเช่นนี้? เอ้อร์เป่า เจ้าพูดมา!”
เอ้อร์เป่ายังไม่ได้ปริปาก
เสี่ยวเป่าก็เอ่ยขึ้น “เรากำลังตบยุง!”
นางข้าหลวงกล่าว “เหลวไหล ยามนี้ที่ใดมียุงกัน?”
องค์ประมุขใช้สายตาจ้องนางข้าหลวง
นางข้าหลวงก้มหัวลง
“ตียุงจริงๆ” เสี่ยวเป่ากล่าว
องค์ประมุขขมวดคิ้ว “ฮองเฮาเกลี้ยกล่อมให้พวกเจ้าหยุด เหตุใดถึงไม่ฟัง? แล้วยังปล่อยแมลงมากัดฮองเฮาอีก?”
เสี่ยวเป่าชี้มือเล็กๆ “นางรังแกเอ้อร์เป่ากับต้าเป่า! เอ้อร์เป่าถูกนางทำให้เจ็บ! นางยังตีข้า! และถูกต้าเป่าด้วย!”
คำพูดของเด็กไม่มีตรรกะเช่นผู้ใหญ่ แต่ไม่ส่งผลต่อความหมายที่เขาต้องการแสดงออกมา
กล่าวด้วยจิตใจที่เป็นกลาง เขาเชื่อฮองเฮา แต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะสงสัยเด็กๆ เช่นกัน
“องค์หญิงหวั่นสอนให้พวกเจ้าพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?” นางข้าหลวงกล่าว
พระขนงองค์ประมุขขมวดมุ่น เป็นอาหวั่นที่ให้พวกเขามากลั่นแกล้งหนานกงเยี่ยนกับฮองเฮา?
กล่าวด้วยจิตใจที่เป็นกลาง องค์ประมุขเชื่อในฮองเฮา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ปรารถนาจะสงสัยในตัวเด็กๆ อย่างยิ่ง นี่อาจจะมีสิ่งที่เข้าใจผิดก็เป็นได้
องค์ประมุขมองฮองเฮาผู้ทรมานแสนสาหัส “เสี่ยวเป่าบอกว่าเจ้ารังแกพวกเขา เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันใช่หรือไม่?”
หม่อมฉันไม่ได้รังแกพวกเขา!
หม่อมฉันเกลี้ยกล่อมดีๆ พวกเขากลับทำให้หม่อมฉันล้ม แล้วยังปล่อยแมลงหน้าตาประหลาดมากัดหม่อมฉันจนบาดเจ็บ!
ในใจของฮองเฮาคิดเช่นนี้จึงพูดเช่นนี้ แต่คำพูดทุกอย่างที่ออกมากลับตาลปัตร “ใช่! หม่อมฉันรังแกเดรัจฉานตัวน้อยเหล่านี้!”
ฮองเฮาผงะ!
องค์ประมุขก็ผงะ “เจ้า เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? บอกว่าพวกเขาเป็นสิ่งใด?”
ฮองเฮาแทบบ้า เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกับนาง? ไยนางถึงกล่าวเช่นนั้นออกไป?
ฝ่าบาทฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน ไม่ใช่เช่นนี้ หม่อมฉันไม่ได้ด่าพวกเขา!
“เดรัจฉานตัวน้อยไงละ! ทำไม? เจ้าหูหนวก ฟังไม่ได้ยินรึ? กล้ามาตบลูกสาวข้า หากตีให้ตายแล้วอย่างไร!”
ฮองเฮาร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนก!
เป็นไปได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางเอ่ย! แม้ในใจนางจะคิดเช่นนี้…แต่นางไม่ได้คิดจะเอ่ยเช่นนี้นี่! ! !
“หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…”
ชอบพวกเขามาก!
“อยากให้พวกมันจมน้ำตาย!”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง สีพระพักตร์ขององค์ประมุขแปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
………………………
Related