“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…”
ฮองเฮารู้สึกถึงความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ยิ่ง ไม่เพียงแต่เพราะบนร่างขององค์ประมุขปรากฏความเย็นชาหนาวเหน็บที่ไม่เคยมีมาก่อน และเพราะนางเพิ่งรู้สึกตัวตื่น ยังไม่ได้จัดแจงรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย นางรีบร้อนหาที่คลุมผมที่อยู่ข้างหมอน
ควานหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็หาเจอ ไม่ทันสนใจว่าถูกด้านหรือกลับด้าน แต่วางมันลงบนศีรษะของตนด้วยความตื่นตระหนก
ท่าทีเช่นนี้ดูน่าเกลียดอยู่เล็กน้อยก็จริง กับสิ่งที่น่าเกลียดกว่ารูปลักษณ์ภายนอกคือหัวใจของคน
องค์ประมุขไม่ใช่คนที่หลงใหลในความงาม มิเช่นนั้นคงไม่มีทางไม่โปรดปรานอวิ๋นเฟยผู้ซึ่งงดงามจันทราหลบผกาละอาย และโปรดปรานเพียงฮองเฮาซึ่งงดงามน้อยกว่า แน่นอนว่าฮองเฮาก็นับเป็นหญิงงาม ทว่าเทียบกับอวิ๋นเฟยแล้วยังห่างไกล
ยิ่งกว่านั้นองค์ประมุขครองบัลลังก์มานานหลายปี ในวังหลังมีสตรีเพียงสองนาง ไม่เคยคัดเลือกนางสนม เมื่อมองจากจุดนี้ เขาก็ไม่ใช่องค์ประมุขที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์
แต่ขณะนี้ จู่ๆ องค์ประมุขก็รู้สึกว่าการตัดสินคนจากรูปลักษณ์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ยามที่เขาเป็นองค์ชายในวัยเยาว์ ฮ่องเต้คนก่อนมีสนมมากมาย แต่ละคนล้วนงามหยดย้อย มารดาที่ให้กำเนิดเขาก็ไม่ใช่ว่าได้รับความโปรดปรานอย่างมากอยู่ตลอด ยามถูกโปรดปรานก็ยินดีปรีดา ยามสูญเสียความโปรดปรานก็โดดเดี่ยวเดียวดาย ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเขา เขาจึงแอบสาบานกับตัวเองว่า ต่อไปเขาจะไม่มีวันเป็นเช่นองค์ประมุของค์ก่อน
ถ้าหากเมื่อก่อนเขาตัดสินคนจากหน้าตา หากเมื่อก่อนเขาโปรดปรานอวิ๋นเฟย จะไม่ส่งเสริมความโอหังของฮองเฮาใช่หรือไม่ จะไม่มีเรื่องราวมากมายขนาดนั้นในยามนี้ใช่หรือไม่?
แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมี ‘ถ้าหาก’ เกิดขึ้น?
มีเพียงผลที่ตามมากับผลลัพธ์เท่านั้น
ฮองเฮามองสีหน้าที่อยากสังหารคนขององค์ประมุข ก็แอบเดาว่านางถานพูดอะไรไปหรือไม่? คนที่แอบฟังนางพูดกับราชครูในตอนนั้นคือเห้อเหลียนเซิง แต่นางถานเป็นมารดาของเห้อเหลียนเซิง และเป็นคนที่ซ่อนตัวเห้อเหลียนเซิงไว้ ฮองเฮามีเหตุผลทั้งหมดที่จะเชื่อว่านางถานรับรู้ความลับของพวกเขา
นางภาวนาในใจว่านางถานจะยังพะว้าพะวัง ไม่กล้าเปิดโปงพวกเขาเร็วขนาดนั้น
ฮองเฮาจัดแจงที่คลุมผม จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย ก็ลงจากเตียงไปคารวะเขา เก็บกลั้นความวิตกกังวลและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาท ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงเสด็จมา? ท้องหิวหรือไม่? หม่อมฉันจะให้ห้องครัวจัดเตรียมสำรับอาหารค่ำให้ฝ่าบาท หม่อมฉันจะเสวยเป็นเพื่อนฝ่าบาท”
นางพยายามสร้างฉากที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมานับครั้งไม่ถ้วน เพื่อปลุกความรู้สึกเก่าๆ ที่องค์ประมุขมีต่อนาง สิ่งที่คนสนิทกล่าวไว้ไม่ผิด ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมากี่สิบปี ไม่สามารถถูกทำลายลงอย่างราบคาบได้ในชั่วข้ามคืน
นางถานพูดแล้วอย่างไร? นั่นก็เป็นเพียงคำพูดของนางฝ่ายเดียวเท่านั้น จวนเห้อเหลียนกับตี้จีองค์เล็กขัดแย้งกัน พวกเขาเป็นศัตรูทางการเมือง ตนสามารถกลับคำพูดของนางถานได้ทั้งหมด โดยกล่าวว่านางถานต้องการใส่ร้ายป้ายสีนางกับสำนักราชครู
องค์ประมุขมองนางอย่างเย็นชา “เรื่องมาถึงบัดนี้ ฮองเฮายังคิดว่าข้าสามารถนั่งร่วมโต๊ะเสวยอาหารกับคนที่หักหลังตนเองมาหลายสิบปีได้อีกหรือ?”
หักหลัง…หลายสิบปี…
นางถาน!
นางพูดไปแล้วจริงๆ!!!
ฮองเฮาบีบนิ้ว ประกายเย็นชาวาบผ่านดวงตา ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกเพียงความตกใจ “ฝ่าบาท ท่านกล่าวอันใด หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
องค์ประมุขตรัสด้วยน้ำเสียงดั่งสระน้ำเย็น “ดี เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าก็จะบอกให้เจ้าเข้าใจ หนานกงเยี่ยนไม่ใช่เลือดเนื้อของข้า แต่เป็นเลือดชั่วของเจ้ากับอวี่เหวินจ้าว”
อวี่เหวินจ้าว ปรมาจารย์แห่งสำนักราชครูในอดีต
ตั้งแต่เขาเป็นราชครูก็ไม่มีผู้ใดเรียกชื่อเขามานานแล้ว
ยามแรกที่ได้ยิน ฮองเฮาผงะไปครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักสีหน้าของเฮาก็แปรเปลี่ยน!
นี่เป็นความรู้สึกผิดที่อย่างไรก็ไม่อาจปกปิดได้ แต่ที่นางรู้สึกผิดไม่ใช่เพราะนางมีสัมพันธ์กับอวี่เหวินจ้าวจริงๆ แต่เป็น….
ฮองเฮาไม่อาจโต้แย้ง นางเอื้อมมือที่แข็งตึงออกไปจับแขนองค์ประมุข “ฝ่าบาท ฟังหม่อมฉันอธิบาย….”
แม้องค์ประมุขจะฟังคำพูดของนางถานมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ยอมรับประจักษ์พยานอย่างเต็มที่ เขาไม่รู้ว่าตนเองต้องทนกับความเจ็บปวดมากเพียงใด ถึงละทิ้งเหตุผลมาหาฮองเฮาเพื่อขอการยืนยัน สีหน้าของฮองเฮาเปิดเผยว่านางกับราชครูมีสัมพันธ์กันจริงๆ!
องค์ประมุขรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
อวิ๋นเฟยที่เอาแต่โห่ร้องทั้งวันว่าจะสวมหมวกเขียวให้เขาแต่ก็ไม่เคยทำจริงๆ สักครั้ง แต่ฮองเฮาซึ่งผูกพันลึกซึ้งกลับเป็นคนสวมหมวกเขียวให้เขามาสามสิบกว่าปี องค์ประมุขเกือบจะล้มลง
หนานกงเยี่ยนเป็นเลือดชั่วของฮองเฮากับราชครู ตี้จีองค์โตจึงจะเป็นเลือดเนื้อเพียงคนเดียวของเขา เช่นนี้คำทำนายของอวี่เหวินจ้าวก็ไม่มีความน่าเชื่อถืออยู่แม้แต่น้อย!
แค่ลูกชู้คนหนึ่ง จะเป็นตี้จีผู้นำโชคมาสู่หนานจ้าวได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่เลือดเนื้อของเขาถูกคนส่งไป ตนเองกลับมาเลี้ยงดูบุตรของชายโฉดหญิงชั่วแทนหลายสิบปี!
องค์ประมุขเจ็บหน้าอก ความคาวหวานพุ่งขึ้นจากลำคอ
เขาปัดมือของฮองเฮาออกอย่างไร้ความปรานีและกัดฟันกล่าว “อวิ๋นเฟยพูดถูก ตี้จีของข้า…ตี้จีของข้าถูกเจ้ากับอวี่เหวินจ้าวร่วมมือกันขับไล่ไป! คำทำนายที่บอกว่าโชคดีร้ายเกิดพร้อมกันเป็นคำโกหกทั้งเพ! ลูกของข้า…ลูกของข้า…”
เป็นเพราะคำทำนายนั้นจึงทำให้เขาตัดสินใจส่งตี้จีออกไป ไม่เช่นนั้นต่อให้เขาไม่พอใจอวิ๋นเฟยมากเพียงใด ก็ไม่อาจทอดทิ้งเลือดเนื้อของตนเองได้ลงคอ
“เจ้ามันนางงูพิษ!!!”
องค์ประมุขผู้ซึ่งมีความอดทนมาตลอด ในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมความโหดร้ายรุนแรงในจิตใจได้อีกต่อไป เขาวาดหลังมือตบฮองเฮา
“อ๊า–“
ฝ่ามือนี้ออกแรงสุดกำลัง ฮองเฮาล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ที่คลุมผมของนางหลุดกระเด็น ใบหน้าซีกหนึ่งปูดบวม
องค์ประมุขเป็นบุรุษอารมณ์ดี แต่บุรุษอารมณ์ดีผู้นี้กลับลงมือตบสตรี
หลังจากตบแล้ว องค์ประมุขก็หมดเรี่ยวแรง ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ เม็ดเหงื่อผุดออกจากหน้าผาก ทรวงอกเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง
เขาชี้ฮองเฮาด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา “ข้า…ข้าต้องการ…”
ไม่รอให้เขาพูดว่าตนเองต้องการอย่างไร ฮองเฮาก็รีบวิ่งไปกอดมือของเขาและร่ำไห้เสียงดัง “เยี่ยนเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเลือดของท่าน! เป็นของท่าน! โปรดเชื่อหม่อมฉันเถิด! หม่อมฉันไม่ได้มีอันใดกับอวี่เหวินจ้าว! ไม่มีอันใดจริงๆ!”
องค์ประมุขเยาะเย้ย “อ้อ เจ้ากล่าวเช่นนี้ สิ่งที่เห้อเหลียนเซิงได้ยินก็เป็นเท็จรึ?”
ฮองเฮาสาบานด้วยใจจริง “นั่นหม่อมฉันต้องการหลอกลวงราชครู! หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ได้มีชู้! หม่อมฉัน…”
องค์ประมุขยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ?”
ฮองเฮาน้ำเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาท! มันเป็นความจริง!”
องค์ประมุขไม่อาจเชื่อใจนางเช่นอดีตได้อีกต่อไป กระทั่งสาเหตุที่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัส ต่อให้นางพูดความจริง แต่องค์ประมุขก็คงคิดว่ามันเป็นคำลวง “เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่เคยมีความผิดมาก่อน? อวี่เหวินจ้าวยินยอมพร้อมใจวางแผนให้บุตรสาวเจ้า เหตุใดอวี่เหวินจ้าวต้องทำเช่นนั้น?! หากหนานกงเยี่ยนไม่ใช่บุตรของอวี่เหวินจ้าว เหตุใดราชครูคนปัจจุบันต้องช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่า?!”
เรื่องบางเรื่อง มิใช่ว่าองค์ประมุขไม่อาจรับรู้ ทว่าเขาไม่เต็มใจที่จะตรวจสอบมันเอง หากตรวจสอบ การติดต่อระหว่างจวนประมุขหญิงกับสำนักราชครูก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก
กระทั่งช่วงก่อนที่จวนประมุขหญิงประสบกับโชคร้าย ราชครูยังทำนายดวงชะตาให้เขา และบอกว่าฤกษ์ยามเกิดของตี้จีองค์โตขัดแย้งกับจวนประมุขหญิง ดูสิดู เขาหน้ามืดตามัวถึงไม่อาจมองเห็นว่าสำนักราชครูกับหนานกงเยี่ยนรวมหัวกันทำความชั่วมานานแล้ว!
ฮองเฮาทรุดลงกับพื้นและยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท เรื่องมาถึงตอนนี้ หม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังแล้ว หม่อมฉันจะบอกความจริงกับท่าน บอกท่านทุกอย่าง! แต่ฝ่าบาทโปรดทรงเชื่อ ว่าเยี่ยนเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อที่แท้จริงของท่าน!”
“หึ!” องค์ประมุขหันหน้ามาอย่างเย็นชา
ฮองเฮาไม่มองสีหน้ารังเกียจของเขา และพูดอย่างเลื่อนลอย “หม่อมฉัน…แต่งงานกับฝ่าบาทได้สองปี ไม่เคยตั้งครรภ์ ฝ่าบาทและหม่อมฉันต่างก็อยู่ในวัยหนุ่มสาวที่พร้อมตั้งครรภ์ แต่เหตุใดถึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้? ไทเฮาเคยถามหม่อมฉันเช่นนี้ กระทั่งเผยความคิดที่จะทำให้หม่อมฉันหาสนมให้ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ยินยอม คิดว่าต้องรีบตั้งครรภ์ทายาทมังกรให้ฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด หม่อมฉันแอบออกตามหาหมอที่มีชื่อเสียง หมอชาวบ้านคนหนึ่งจับชีพจรให้หม่อมฉัน เขาก็บอกว่าร่างกายของหม่อมฉันไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์ หม่อมฉันไม่เชื่อ แต่หลังจากพยายามไปอีกระยะหนึ่ง ท้องของหม่อมฉันก็ยังสงบนิ่ง ไทเฮามักให้คนมาส่งยาบำรุงครรภ์แก่หม่อมฉัน ต่อหน้านางคาดหวังให้หม่อมฉันตั้งครรภ์ แต่แท้จริงแล้วนางกำลังเตือนหม่อมฉันว่าถึงเวลาแล้วที่จะหานางสนมให้ฝ่าบาท”
องค์ประมุขขมวดคิ้ว “เสด็จแม่จะ…”
ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น “ใช่แล้ว แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกฝ่าบาท ในใจของฝ่าบาทมีเพียงหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่อาจตั้งครรภ์ ไทเฮาไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์แม่ลูกของท่าน จึงเพียงคิดหาวิธีจากหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ถูกบังคับไร้หนทาง บังเอิญพบคนจากครอบครัวมารดา ให้คำแนะนำกับหม่อมฉัน”
…………………..
Related