บทที่ 28 ตกลงเรื่องงานแต่ง (1)
โดย
Ink Stone_Romance
เนื่องด้วยโรงงานของพวกเขานับวันยิ่งแออัด การสร้างเรือนสำหรับใช้เป็นโรงงานโดยเฉพาะจึงได้รับการเสนอขึ้นมา
แต่ว่าจะสร้างอย่างไร สร้างขนาดเท่าไร และสร้างไว้ที่ใดนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการขบคิดและปรึกษาหารือกันโดยละเอียด
เช้าตรู่ ป้าใหญ่ต้มโจ๊กมันเทศ นึ่งหมั่นโถวแป้งข้าวเจ้าและอัวอัวโถวผักดองอีกหลายเข่ง คนในครอบครัวต่างมานั่งกินอาหารเช้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“มันเทศกินเยอะๆ จะผายลมนะขอรับ!” เถี่ยตั้นน้อยเบ้ปากพลางมองไปยังโจ๊กมันเทศตรงหน้า
ป้าสะใภ้ใหญ่ถลึงตาใส่เขา “ข้าว่าเจ้าไม่อยากกินมากกว่ากระมัง! เดี๋ยวนี้เลือกกิน!”
“ข้าเปล่าสักหน่อย” เถี่ยตั้นน้อยหยิบช้อนไม้ขึ้นมา ไม่ยอมรับว่าตนกำลังคิดถึงขนมน้ำตาลกรอบในห้อง
อวี๋เซ่าชิงมองบุตรชายด้วยความเอ็นดู ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย
อวี๋หวั่นบอกกับเขาว่า “ก่อนหน้านี้น้องไม่เป็นอย่างนี้ พอท่านพ่อกลับมา ก็เลยกล้างอแงขึ้นมาก”
เธอกล่าวพลางมองไปยังน้องชายด้วยความขบขัน
หกปีที่ไม่มีท่านพ่อ กว่าจะได้ท่านพ่อกลับคืนมา แน่นอนว่าต้องงอแงขึ้นบ้าง อวี๋เซ่าชิงถูกบุตรชายงอแงใส่ กลับรู้สึกดีใจ ส่งอัวอัวโถวให้เถี่ยตั้นน้อยลูกหนึ่ง
เถี่ยตั้นน้อยไม่ได้มองหน้าเขา ทว่ารีบคว้ามากัดหนึ่งคำทันที!
“ไฉนไม่บ่นว่าเป็นผักดองแล้วเล่า?” ป้าสะใภ้ใหญ่หยอกล้อเขา
ทั้งบ้านต่างก็หัวเราะครืน
“เรื่องสร้างเรือนโรงงาน” ลุงใหญ่เอ่ยปาก “พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
อวี๋ซงตอบว่า “ต้องดูว่าจะสร้างไว้ที่ใด”
ลุงใหญ่เอ็ดเขาว่า “ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่าพูดแทรก อาหวั่นเจ้าว่าอย่างไร?”
อวี๋ซงซึ่งถูกทำร้ายจิตใจ “…”
อวี๋หวั่นยิ้ม ตอบว่า “ข้าคิดเหมือนกับพี่รองว่าต้องคิดก่อนว่าจะสร้างเอาไว้ตรงไหน ข้าไม่ได้แค่อยากสร้างเรือนสำหรับใช้เป็นโรงงานเท่านั้น ยังอยากสร้างห้องพักสำหรับคนงานด้วย”
“อะไรพักนะ?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ที่พักสำหรับแรงงานระยะยาว” อวี๋หวั่นอธิบาย
เมื่อพูดว่าคนงานระยะยาว ทุกคนก็ล้วนเข้าใจทันที แต่นั่นไม่ได้หมายถึงบรรดาโจรลักม้าที่ทำงานอยู่หลังเขาหรอกหรือ? แม้ว่าพวกเขาจะไม่นับว่าเป็นคนดี แต่หลังจากที่ถูกยาพิษของพ่อครัวเทพเป้าเล่นงาน พวกเขาก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้ยาถอนพิษ
เรื่องสร้างห้องพักให้พวกเขานั้น ลุงใหญ่ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้าน อาหวั่นเป็นคนมีความคิด ที่ทำเแบบนี้ก็ย่อมต้องมีเหตุผลของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อาจให้พวกเขานอนเบียดเสียดกันในคอกวัวบ้านซวนจื่อได้ตลอดไป
“เช่นนั้นก็คงต้องใช้ที่ดินของทุกคนอย่างละน้อย” ลุงใหญ่พึมพำ มองไปยังอวี๋เซ่าชิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามว่าเขามีความเห็นว่าอย่างไร ก็เห็นว่าอวี๋เซ่าชิงกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
ลุงใหญ่ “…”
เขาคิดไปเองหรืออย่างไร? เหตุใดน้องสามเข้าคุกไปเพียงไม่กี่วัน กลับดูบ๊องๆ บวมๆ ขึ้นเช่นนี้?
“น้องสาม” ลุงใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างขึงขัง
อวี๋เซ่าเชิงได้สติกลับมา เขามองไปยังพี่ใหญ่ แล้วมองก้อนหินในมือ สายตาเปี่ยมไปด้วยความสุข “พี่ใหญ่ว่าสวยหรือไม่?”
ก้อนหินหน้าตาบูดเบี้ยวจะไปสวยได้อย่างไร? หรือว่าเขาจะสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ?
ลุงใหญ่ยังไม่ทันได้ตำหนิน้องชาย ป้าสะใภ้ใหญ่ก็สะกิดแขนเขา บุ้ยใบ้ไปทางอวี๋หวั่น เขาจึงมองตามไปทางอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นเม้มปากยิ้ม มองไปยังเถี่ยตั้นน้อย
ลุงใหญ่เข้าใจทันที
เป็นของที่ลูกให้ มิน่าเล่าจึงดูเป็นของล้ำค่า
“สวย!” ลุงใหญ่โพล่งขึ้นมา
เถี่ยตั้นน้อยก้มหน้ากินโจ๊ก!
หลังจากที่ปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะสร้างโรงงานเอาไว้ที่เชิงเขา สร้างไว้ตรงที่ดินที่เดิมทีเป็นของอาหวั่นและป้าจาง พื้นที่บริเวณนั้นได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวน้อยที่สุด ทุกวันนี้ปล่อยร้างเอาไว้ ไม่ได้เพาะปลูก มิสู้นำมาทำอย่างอื่นดีกว่า
เรื่องซื้อที่ดิน ยกให้ลุงใหญ่ ผู้ใหญ่บ้าน และสกุลจางเจรจากัน
แบบของอาคารอวี๋หวั่นเป็นคนวาด
อวี๋เซ่าชิงมองบุตรสาว ผ่านไปหกปี เขียนหนังสือได้แล้วหรือนี่…
เรื่องราวไม่กี่ปีมานี้ของอวี๋หวั่น อวี๋เซ่าชิงได้ฟังมาจากคนในบ้านมาบ้างแล้ว เขารู้สึกปวดร้าวหัวใจเหลือเกิน นึกอยากย้อนเวลากลับไป อย่างไรก็จะไม่ยอมให้ลูกสาวหายตัวไป และถูกนางจ้าวรังแก
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าอย่างนี้ได้หรือไม่?” อวี๋หวั่นพูดขึ้นขัดความคิดของอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงตกอยู่ในภวังค์ ไม่ได้ฟังที่บุตรสาวพูดแม้แต่น้อย เขาพยังหน้าอย่างมึนงง “ได้”
นอกจากนางเจียงและเด็กน้อยทั้งสองที่มิได้ใส่ใจฟัง คนที่เหลือล้วนมองเขาด้วยความตะลึงงัน อย่างนี้ดีหรือ? เจ้าให้ท้ายลูกสาวมากเกินไปหน่อยกระมัง?! นางจะใช้หินและอิฐสร้างเชียวนะ! บ้านที่พวกเราอยู่ยังไม่หรูหราถึงเพียงนี้เลย!
อวี๋เฟิงรู้สึกปวดร้าวจนไม่อยากเสวนากับอาสามและน้องสาว…
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” อวี๋หวั่นยิ้มจนตาหยี “ท่านพ่อนี่ดีจริงๆ”
อวี๋เซ่าชิง “…”
เอ…เขาตอบอะไรที่ไม่เข้าท่าออกไปหรือเปล่านะ?
การสร้างโรงเรือนต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก เรื่องการเลือกช่างไม้และช่างโลหะ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของอวี๋เฟิง
แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนั้น อวี๋เฟิงต้องเข้าไปในตำบลเหลียนฮวาพร้อมอวี๋หวั่นอีกรอบหนึ่ง ไม้สามารถหาได้จากบนเขา หินและอิฐสามารถสั่งซื้อได้ เดิมทีอวี๋หวั่นจะไปกับท่านพ่อ แต่อวี๋เฟิงกังวลว่าอวี๋หวั่นจะซื้อของแพง และอาสามก็จะตามใจอวี๋หวั่น ทำให้เงินที่พวกเขาหามาอย่างยากลำบากหายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากว่าจะไปกับอวี๋หวั่นเสียเอง
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ดีเลย ท่านพ่อจะได้อยู่บ้านกับน้องและท่านแม่”
เถี่ยตั้นน้อยผู้ซึ่งชื่นชอบการเดินทาง ครั้งนี้ไม่ร้องจะตามพี่สาวไปด้วย
ทั้งสองคนถือของไปสองสามตะกร้า เดินไปยังตำบลเหลียนฮวา
เรื่องที่อวี๋เซ่าชิงถูกจับเข้าคุกหลวง ไป๋ถังและผู้จัดการชุยก็ได้ข่าวมาบ้าง พวกเขาต่างก็แวะมาเยี่ยมเยียนอวี๋หวั่น นายท่านฉินก็มาเช่นกัน พวกเขาไม่มั่นใจว่าหัวหน้ากองพันแซ่อวี๋ผู้นั้นใช่ท่านพ่อของอวี๋หวั่นหรือไม่ แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังมาไต่ถามเรื่องราวถึงบ้าน มิตรภาพที่ดีเช่นนั้น อวี๋หวั่นจดจำใส่ใจไว้เสมอ
สองพี่น้องเดินทางไปยังหอหยกขาว
ยังไม่ถึงเวลาอาหาร หอหยกขาวมีลูกค้าไม่มาก ผู้จัดการชุยมีเวลาว่างเหลือเฟือ เขาดีดลูกคิดอยู่ด้านหลังโต๊ะหน้าร้าน
ทั้งสองคนเดินมาหยุดตรงหน้า
ผู้จัดการชุยรู้สึกว่าแสงด้านหน้าของเขามืดลงในฉับพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นอวี๋เฟิงและอวี๋หวั่น ดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที “แม่นางอวี๋ น้องอวี๋ พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน? อ้อ ข้าได้ยินว่าคุกหลวงปล่อยคนแล้ว พ่อของเจ้ากลับบ้านมาหรือยัง?”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “กลับมาแล้ว ขอบคุณผู้จัดการชุยที่เป็นห่วง เกลือเกล็ดหิมะสองโหลนี้ ผู้จัดการชุยโปรดรับเอาไว้เถอะ”
“ไอ้หยา เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว!” เกลือเกล็ดหิมะเป็นสินค้าราคาสูง หนึ่งโหลต้องใช้เงินถึงห้าสิบตำลึงจึงจะซื้อได้ เด็กคนนี้ให้มาสองโหลโดยไม่คิดเงิน! ช่าง…
“รับไว้เถิด” อวี๋เฟิงบอก
เกลือเกล็ดหิมะที่ซื้อมาครั้งก่อนใช้ไปเกือบหมดแล้ว ผู้จัดการชุยกำลังคิดอยู่ว่าจะไปซื้อจากอวี๋หวั่นมาเพิ่ม…
ผู้จัดการชุยรับเกลือทั้งสองโหลเอาไว้ด้วยความเกรงอกเกรงใจ
“คุณหนูไป๋ไม่อยู่หรือ?” เธอนำไข่ไก่หนึ่งตะกร้ามาให้ไป๋ถัง เป็นไข่ไก่ป่าของที่บ้าน อร่อยกว่าไข่ไก่ของที่อื่น
ผู้จัดการชุยอุทานว่า ‘ไอ้หยา’ ตอบว่า “ไม่เห็นนางมาสามวันแล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรหรือไม่?” อวี๋เฟิงเอ่ยปากถามขึ้น
ผู้จัดการชุยมิได้สังเกตเห็นสีหน้ากังวลของอวี๋เฟิง เขาทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “ที่จริงก็ไม่มี นางจะแต่งงาน ไม่สะดวกออกไปไหน”
อวี๋เฟิงสีหน้าเปลี่ยนในทันที
อวี๋หวั่นเหลือบมองพี่ชาย พร้อมกับถามผู้จัดการชุยว่า “ทำไมกะทันหันเช่นนี้เล่า? ครั้งก่อนมาที่บ้านข้า ก็ยังไม่เห็นนางเอ่ยถึงเลยนี่”
“เพิ่งจะตกลงได้” ผู้จัดการชุยถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่เห็นด้วยกับงานแต่งในครั้งนี้ มิทันรอให้อวี๋หวั่นเอ่ยถาม เขาก็เล่าให้เธอฟังเอง “เป็นหลานชายฝั่งมารดาของฮูหยินไป๋ ข้าเคยเห็น เขาเป็นคนมีความสามารถ นิสัยดีมีมารยาท ก็เท่านั้น…พวกเจ้าเคยไปคฤหาสน์สกุลไป๋ รู้ว่าระหว่างคุณหนูไป๋กับฮูหยินเป็นอย่างไร ให้นางแต่งเข้าบ้านของญาติของฮูหยินไป๋ มิใช่ทำให้ชีวิตนางขมขื่นหรอกหรือ?”
ไม่ว่าคุณชายเฉินผู้นั้นจะดีเลิศเพียงใด แต่ตราบใดที่เขาเป็นหลานชายของฮูหยินไป๋ ภาพลักษณ์ของเขาก็มิได้ดีเท่าไรในสายตาของไป๋ถัง กอปรกับเรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้และเหล่าพี่น้อง หากไป๋ถังได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ ฮูหยินไป๋จะช่วยนางทวงคืนความยุติธรรมหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มีทาง
“เหตุใดนายท่านไป๋ตอบตกลงเล่า?” อวี๋หวั่นถาม
นายท่านไป๋โง่หรือเปล่า? ลูกสาวไม่เห็นฮูหยินไป๋อยู่ในสายตาอย่างนั้น เมื่อแต่งเข้าสกุลเฉินไป สกุลเฉินจะยอมให้ลูกสาวเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรือ?
ผู้จัดการชุยตอบอย่างจนปัญญา “นายท่านหูเบา”
หูเบาอะไรกัน? เขาก็แค่มีรักใหม่ลืมรักเก่า อยากมีบุตรชายจึงลืมบุตรสาว ให้ไป๋ถังเรียกเขาว่าท่านพ่อ แต่กลับไม่ให้ความรักกับไป๋ถังอย่างที่คนเป็นพ่อพึงกระทำ
หลังจากออกมาจากหอหยกขาว อวี๋หวั่นเห็นว่าพี่ใหญ่ของตนสีหน้าไม่สู้ดี จึงรีบพูดกับเขาว่า “พี่ใหญ่อย่ากังวลไป ข้าจะไปหาคุณหนูไป๋ที่คฤหาสน์สกุลไป๋ ดูว่านางว่าอย่างไรบ้าง”
อวี๋เฟิงตกใจ “เจ้าจะไปทำอะไรที่คฤหาสน์สกุลไป๋?”
อวี๋หวั่นตอบอย่างแน่วแน่ว่า “ไปแย่งพี่สะใภ้ใหญ่ข้าคืนมาน่ะสิ! พี่สะใภ้ข้าจะถูกคนแซ่เฉินนั่นแย่งตัวไปแล้ว! จะไม่ให้ข้าไปแย่งคืนมาได้อย่างไร?”
“เจ้า…” อวี๋เฟิงหน้าแดงก่ำ “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ข้าพูดเหลวไหลอะไร? พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบคุณหนูไป๋หรอกหรือ?”
อวี๋เฟิงอยากโต้แย้ง แต่กลับไม่รู้ว่าตนควรโต้แย้งว่าอย่างไร เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าคนคนนี้เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา
เพียงแต่ว่า นางเป็นคุณหนูจากสกุลไป๋อันสูงส่ง เขาเป็นเพียงคนจากชนบทยากจน อย่างไรก็ไม่คู่ควรกัน
“อย่าหาเรื่องเลย” อวี๋เฟิงกระซิบ
อวี๋หวั่นแค่มองท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาคิดอย่างไร “พี่ใหญ่นี่น้า ท่านอย่าไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้สิ คุณหนูไป๋แต่งเข้าบ้านสกุลไป๋จะไปมีความสุขเท่ากับแต่งเข้าบ้านเราได้อย่างไรกัน?”
เธอพูดจากมุมมองของไป๋ถัง ด้านนิสัยใจคอ พี่ชายของเธอหาผู้ใดเปรียบ ด้านรูปร่างหน้าตา ก็นับว่าไม่ได้ดารดาษทั่วไป ด้านความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ ป้าสะใภ้ใหญ่ก็รักคุณหนูไป๋เสียไม่มี และด้านพี่น้องสามียิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอและเจินเจินชอบไป๋ถังมากเช่นกัน
ส่วนเรื่องพื้นเพทางบ้าน สกุลอวี๋กำลังอยู่ในลู่ทางกอบโกยเงินทอง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็คงร่ำรวยขึ้นมาได้
จริงที่ว่าหากพิจารณาจากฝั่งมารดาของไป๋ถัง ก็จะนับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีที่มีฐานะสูงและบุรุษที่มีฐานะต่ำกว่า กระนั้นเรื่องของความรู้สึก บางครั้งก็มิได้สนใจว่าฐานะเท่าเทียมกันหรือไม่
“เอาเถอะ ถ้าพี่ใหญ่จะยอมแพ้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด” อวี๋หวั่นเห็นว่าอวี๋เฟิงตัดสินใจไม่ได้สักที ก็แสร้งทำเป็นจะเดินกลับ
ทันทีที่เธอเดินผ่านอวี๋เฟิง อวี๋เฟิงก็กัดฟัน ดึงแขนเธอเอาไว้ “จะ…เจ้าไปดูนางหน่อย”
ทั้งสองจึงเช่ารถม้าเข้าเมืองหลวง
…………………………………………