ตั้งแต่ฮองเฮาถูกปลด อวิ๋นเฟยจึงกลายเป็นเพียงเจ้านายเพียงคนเดียวของวังหลัง คนมาประจบเอาใจนางมากมาย จนธรณีประตูตำหนักจูเชวี่ยแทบพังไม่เหลือ นี่ยังเพราะองค์ประมุขไม่รับนางใน ไม่เช่นนั้นเหล่าสตรีพี่น้องที่มาถวายพระพร เกรงว่าจะส่งเสียงดังจนอวิ๋นเฟยนอนหลับไม่เป็นสุข
อวิ๋นเฟยนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ต้นไม้ นางข้าหลวงผู้รับผิดชอบกระซิบว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาแล้วเพคะ”
“มาก็มาสิ” อวิ๋นเฟยกล่าว
นางข้าหลวงผู้รับผิดชอบมองพระสนมของนางด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็ก้มศีรษะและหันหน้าไปคำนับองค์ประมุขที่อยู่ไม่ไกล
องค์ประมุขโบกมือส่งสัญญาณให้นางถอยออกไป
นางข้าหลวงผู้รับผิดชอบพาเหล่าคนในวังออกจากลานไปอย่างรู้ความ
อวิ๋นเฟยยังคงเพลิดเพลินกับแสงแดด แม้ฤดูหนาวในหนานจ้าวไม่เยือกเย็นเท่าต้าโจวที่ดินแดนปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ก็ยังหนาวเย็นยิ่งนัก นางห่มผ้านวมขนปุย ผ้าห่มดูดซับแสงแดด อบอุ่นจนทำให้นางมีเหงื่อออกเล็กน้อย
แต่ก่อนยามยากลำบากนางยังชอบอาบแดด กลับไม่มีผ้าห่มที่นุ่มสบายเช่นนี้
“อวิ๋นเอ๋อร์” องค์ประมุขเดินไปนั่งข้างๆ นาง
อวิ๋นเฟยสั่นสะท้านกับคำเรียกชวนสะอิดสะเอียน พลันกล่าวอย่างขนลุก “ฝ่าบาทท่านไม่ปกติตรงใดหรือไม่? เรียกหม่อมฉันว่าอวิ๋นเฟยไม่ดีหรือ? กุ้ยเฟยก็ได้ แล้วแต่ท่าน”
“อะแฮ่ม” องค์ประมุขกระแอมแก้เขิน ตรัสอย่างเคร่งขรึม “ผ้าห่มผืนนี้น่าพอใจหรือไม่?”
“อื้อ อบอุ่นมาก” เหงื่อออกแล้ว อวิ๋นเฟยจึงเอาแขนออกมา
“เป็นหนังเสือชั้นดี” องค์ประมุขตรัส
อวิ๋นเฟยผงะคว้าหนังเสือขึ้นมาดู “ข้าห่มหนังเสือหรือนี่”
ท่าทางมึนงงน่ารักของนางทำให้องค์ประมุขรู้สึกขบขัน หลังจากหัวเราะก็กลับอดรู้สึกเศร้าไม่ได้ ตลอดหลายปีมานี้นางมีชีวิตที่ขมขื่น จำไม่ได้แม้กระทั่งหนังเสือ หากเป็นฮองเฮา…
เมื่อนึกถึงสตรีที่ทำลายราชวงศ์ ใบหน้าขององค์ประมุขพลันเกิดเงามืดหม่น
อวิ๋นเฟยนอนลงอีกครั้ง “ฝ่าบาทเสด็จมาตำหนักจูเชวี่ยมีเรื่องอันใดหรือ? หากไม่มีเรื่องอันใด หม่อมฉันจะนอนอาบแดดต่อ”
หมายความว่า เจ้าไปได้แล้ว
หากในอดีตอวิ๋นเฟยกล่าวเช่นนี้ องค์ประมุขคงจะโกรธไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่เขาเข้าใจผิดและติดค้างนาง องค์ประมุขก็โกรธไม่ลง
เขาต้องการการอภัยจากพวกนางสองแม่ลูก เขาต้องการใช้เวลาที่เกรงว่าเหลืออยู่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ชดเชยสิ่งที่ติดค้างต่อพวกนาง
แต่จู่ๆ เขาก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
ไม่มีสตรีหน้าไหว้หลังหลอกอย่างฮองเฮาแล้ว อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าอากาศสดชื่นขึ้นไม่น้อย อาบแดดได้พักหนึ่ง นางก็หาวอย่างสบายใจ
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเฟยกำลังจะหลับ ในที่สุดองค์ประมุขก็เปิดปาก “เรื่องในอดีต ข้าไม่ถูกต้อง”
“ฝ่าบาทมาที่นี่เพื่อขอโทษ?” อวิ๋นเฟยมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ก็…ก็คิดว่าใช่กระมัง” องค์ประมุขพูดอย่างลำบากใจ “ข้าเข้าใจเจ้าผิด ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”
อวิ๋นเฟยทอดถอนใจ ลมหนาวหนึ่งพัดมาทำให้นางก็รู้สึกหนาวอีก จึงดึงผ้าห่มหนังเสือขึ้นคลุมร่างและพูดอย่างเฉยเมย “มันผ่านไปแล้ว หม่อมฉันรู้สึกโล่งใจแล้ว ฝ่าบาทก็คงโล่งใจเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดต้องเก็บมาใส่ใจ”
“เจ้าเต็มใจยกโทษให้ข้า?” ร่องรอยความดีใจปรากฏขึ้นในดวงตาขององค์ประมุข
อวิ๋นเฟยส่ายหน้า “ไม่ใช่ยกโทษให้ฝ่าบาท แต่หม่อมฉันปลดปล่อยตัวเองแล้ว”
องค์ประมุขฟังแล้วรู้สึกลึกลับงงงวย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของนาง อวิ๋นเฟยก็ไม่ได้คิดจะอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม หลับตาลงและอาบแดดต่อไป
ทว่ามีประโยคหนึ่งที่องค์ประมุขเข้าใจ นั่นคือนางไม่ได้ให้อภัยเขา
“เจ้าต้องการเช่นไร จึงจะยกโทษให้ข้า?” เขาถาม
อวิ๋นเฟยปรือตากล่าวอย่างขอไปที “ได้ หม่อมฉันยกโทษให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดกลับไปเถิด หนานจ้าวเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาทคงยุ่งแย่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเสียแรงกับหม่อมฉัน ทรงเย็นชากับหม่อมฉันเหมือนเมื่อก่อนไม่ดีหรือ?”
อวิ๋นเฟยไล่เขาไปอย่างจริงใจ แต่องค์ประมุขกลับดื้อรั้น ทอดถอนใจยาวเหยียด “เมื่อก่อนข้าผิดเอง ไม่ควรทอดทิ้งเจ้าให้อยู่อย่างหนาวเหน็บมาหลายปีเช่นนี้”
“อย่าเลย” อวิ๋นเฟยกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยใจ
นางแค่อยากรับแสงแดดอย่างเงียบสงบ เหตุใดช่างยากเย็นถึงเพียงนี้?
องค์ประมุขนับบาปที่ตนเองเคยก่อในใจอย่างเงียบๆ และกล่าวกับอวิ๋นเฟยอย่างจริงใจ “ข้าตั้งใจจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา”
“หา? อะไรนะ?” อวิ๋นเฟยพรวดพราดลุกขึ้นนั่งเยี่ยงนกตื่นธนู[1]!
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นไม่มีสิ้นสุดของนาง ดวงตาขององค์ประมุขพลันยกโค้งและยิ้มอย่างรู้ทัน “ข้าต้องการทำให้เจ้าเป็นฮองเฮา ให้เจ้าไปอยู่ตำหนักจงกง”
ยามนี้อวิ๋นเฟยแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด เจ้าแก่นี่คิดจะให้ตำแหน่งฮองเฮากับนางจริงๆ ให้นางเป็นสนมเฟยยังไม่พอ ยังอยากให้เป็นฮองเฮา? เช่นนั้นนางไม่ต้องเห็นหน้าเขาทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? วันที่หนึ่งและสิบห้ายังต้องนอนกับเขาตามธรรมเนียมดั้งเดิม?
สีหน้าของอวิ๋นเฟยเริ่มหมดความอดทน “ฝ่าบาทเพิ่งปลดฮองเฮา ก็อยากแต่งตั้งฮองเฮาใหม่แทบไม่ไหว ไม่กลัวว่าขุนนางจะคัดค้านหรือเพคะ?”
องค์ประมุขตรัสว่า “ขุนนางไม่มีทางคัดค้านหรอก หลายปีมานี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมีผลงานใหญ่หลวง…”
อวิ๋นเฟยเยาะเย้ยขัดคำพูดของเขา “ฮ่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังด่าข้าว่าเป็นคนบ้าอยู่เลยมิใช่หรือ? เพียงพริบตา ข้าก็เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมีผลงานใหญ่หลวง? ขุนนางเหล่านั้นของท่าน ตาไม่ดีหรือว่าสมองไม่ดีกันละ?”
องค์ประมุขละอายใจ “ไม่ใช่เพราะเพิ่งรู้ว่าเจ้าได้รับความอยุติธรรมหรือ? เจ้าในเมื่อก่อนถูกบังคับให้ทำ”
อวิ๋นเฟยยกมุมปาก “ไม่ละ ตำแหน่งฮองเฮาฝ่าบาทเก็บไว้ให้ผู้อื่นเถิดเพคะ ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ เลือกมาสักคนก็ล้วนสงบเสงี่ยมจิตใจดีมีคุณธรรมกว่าหม่อมฉันทั้งนั้น”
องค์ประมุขทอดถอนใจช้าๆ “เจ้ายังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
“ไม่เพคะ ไม่เลยจริงๆ!” อวิ๋นเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่อยากเป็นฮองเฮา?” องค์ประมุขถาม
อวิ๋นเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดข้าต้องอยากเป็นฮองเฮา? สตรีผู้นั้นอยากเป็น ข้าก็ต้องอยากเป็นเช่นเดียวกับนางหรือ?”
องค์ประมุขอธิบาย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
อวิ๋นเฟยขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “เช่นนั้นฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร? ในปีนั้นฝ่าบาทไม่ได้ถามข้า ก็ให้ข้ามาอยู่ในวังหลัง ยามนี้ก็ไม่ถามข้า จะแต่งตั้งข้าเป็นฮองเฮา คิดเองเออเองตั้งแต่ต้นจนจบ ฝ่าบาทไม่เคยสนใจว่าข้าต้องการอะไร! ฝ่าบาทสนใจแต่สิ่งที่เต็มใจจะให้ข้า!”
“ข้า…”
อวิ๋นเฟยกล่าวต่อ “ให้ตำแหน่งฮองเฮาแก่ข้า ฝ่าบาทถึงรู้สึกว่าติดค้างข้าน้อยลง? เพราะเหตุใด? เพราะตำแหน่งฮองเฮาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ฝ่าบาทจะมอบให้ได้! ข้าควรจะซาบซึ้งจนน้ำตาไหลกับสิ่งนี้! ให้ความคับข้องใจในอดีตของข้ามลายหายไป ให้การกล่าวโทษของข้าต่อฝ่าบาทจบลงเพียงเท่านี้! ฝ่าบาทมีสิทธิ์อะไรทำให้ข้าลำบากใจถึงเพียงนี้!”
“ข้า…ข้าทำให้เจ้าลำบากใจ?” องค์ประมุขไม่อยากเชื่อ เขาเต็มใจมอบตำแหน่งฮองเฮาแก่นาง นางกลับบอกว่าเขาทำให้นางลำบากใจ? ในโลกนี้มีผู้ใดไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้?
ความคิดคนละทางก็ต่างคนต่างไป นางอธิบายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่มีวันเข้าใจ
องค์ประมุขตรัส “เรื่องในยามนั้นไม่อาจโทษข้าทั้งหมด ข้าก็เป็นคนที่ถูกหลอกให้อยู่ในความมืดเช่นกัน ใช่ ข้าโง่เขลา ข้าสับสน ข้าไม่ควรเห็นตาปลาเป็นไข่มุก ปล่อยให้พวกเจ้าแม่ลูกต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร้เดียงสามาหลายปีเช่นนี้ ข้าผิด ข้าเสียใจ ข้าหวังว่าต่อไปจะได้ชดเชยให้เจ้า ชดเชยให้เจ้าและลูกสาวของข้า เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าคิดไม่ออก แค่เจ้าพูดออกมา ตราบเท่าที่ข้าสามารถให้ได้ ข้าจะทำให้เจ้าทุกอย่าง!”
“ฝ่าบาทพูดจริงหรือ?” อวิ๋นเฟยถามอย่างครุ่นคิด
นางโกรธเขาอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไปกะทันหัน องค์ประมุขผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองนางและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเป็นองค์ประมุข ข้าไม่ผิดคำสัญญาง่ายๆ เจ้าต้องการสิ่งใด? หรือต้องการออกจากวังหลวงไปเยี่ยมต้าเป่า ข้าก็จะรับปากเจ้า”
นางในของฝ่าบาทไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกวังหลวงเป็นการส่วนตัว แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่มีสิทธิพิเศษเช่นนี้ แต่องค์ประมุขกลับเพิกเฉยต่อกฎของบรรพบุรุษเพราะเห็นแก่อวิ๋นเฟย
ในสายตาขององค์ประมุข ถือว่าเขายอมอ่อนข้อให้นางมากแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเฟยจะพูดเช่นนี้กับเขา
“ฝ่าบาท เราแยกกันไปเถิด”
เสียงของนางไม่ดังนัก
แต่ประโยคที่ลอยมาอย่างแผ่วเบานี้กลับทำให้องค์ประมุขตกตะลึงแน่นิ่ง
เขาเป็นใบ้อยู่นานก่อนจะหาเสียงกลับมาด้วยความยากลำบาก “เจ้าๆๆ…เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
สีหน้าของอวิ๋นเฟยสงบนิ่งมาก นางมองเขา แววตาไม่เย่อหยิ่งบ้าคลั่งดังเช่นอดีต ไม่ได้เมินเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว และไม่ได้กำลังโกรธใคร
นางพูดอย่างจริงจังว่า “แยกกันเถิด ฝ่าบาท”
องค์ประมุขเด้งตัวลุก “เสิ่นอวิ๋น! เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก? เหตุใดจู่ๆ เจ้ายื่นคำขอที่ไร้เหตุผลกับข้า! เจ้าเป็นถึงทวดคนแล้ว! แม้เจ้าจะกล่าวโทษข้าอีกเพียงใด เจ้าก็ควรเข้าใจว่าคำพูดใดกล่าวได้ คำพูดใดกล่าวไม่ได้! วันนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยิน! เก็บคำพูดของเจ้าไปซะ!”
กล้าเอ่ยว่าแยกทางกับองค์ประมุขของประเทศ เกรงว่านางคงเบื่อชีวิตที่ยืนยาวแล้ว!
อวิ๋นเฟยส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่จู่ๆ แต่ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่กล่าวก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากแล้ว ถามว่าหม่อมฉันต้องการสิ่งใด นี่ก็คือคำตอบจากหม่อมฉัน”
องค์ประมุขพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ “อวิ๋นเฟย! ไม่เคยมีนางในนางใดแยกตัวออกไปในประวัติศาสตร์!”
อวิ๋นเฟยกล่าวว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันก็เป็นคนแรก”
องค์ประมุขกัดฟันกล่าว “หากเจ้าคิดจะออกไปจากวัง มีเพียงสองทาง หนึ่งตาย สองถูกปลด!”
อวิ๋นเฟยกล่าวอย่างไม่เย่อหยิ่งไม่ถ่อมตัว “หม่อมฉันไม่ต้องการตาย และหม่อมฉันก็ไม่มีความผิด ไม่ควรถูกปลด”
องค์ประมุขโกรธนางแทบคลั่ง “เจ้า…ข้าว่าเจ้าชักกำเริบเสิบสานไปแล้ว! คิดว่าเจ้ามีบุตรสาวที่ดีให้ท้ายเจ้า วาจาสามหาวอันใดก็กล้าเอ่ย! แล้วก็ เจ้า…เจ้าอายุปูนนี้แล้ว! ยังโวยวายขอแยกทางอะไร? หรือเจ้าแยกไปแล้วคิดจะแต่งงานใหม่?”
อวิ๋นเฟยกล่าว “หม่อมฉันอายุปูนนี้แล้วอย่างไร? สตรีในวัยนี้ควรยอมรับชะตากรรมแล้วหรือ? ไม่สามารถมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองได้หรือ? สตรีแยกทาง จำเป็นต้องหาบุรุษอื่นแต่งงานเท่านั้นหรือ? สตรีจำเป็นต้องแต่งงานหรือ?”
องค์ประมุขถูกยิงคำถามจนไม่อาจแทรกวาจา
อวิ๋นเฟยกล่าวต่อ “ชีวิตเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ยังจะหมกมุ่นอันใด? ชราไม่เคารพชรา…ฝ่าบาทคิดกับหม่อมฉันเช่นนั้นหรือ?”
องค์ประมุขสำลักจนพูดไม่ออก
เขา เขาคิดเช่นนี้จริงๆ
อวิ๋นเฟยยิ้มอย่างเฉยเมย “ฝ่าบาท หากท่านบอกหม่อมฉันเมื่อหลายสิบปีก่อน ว่าท่านจะแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นฮองเฮา หม่อมฉันจะตกลงอย่างแน่นอน และไม่เพียงแต่ตกลง ยังรู้สึกปลาบปลื้มซาบซึ้งใจ เพราะหม่อมฉันในเวลานั้น ชื่นชมในตัวฝ่าบาทและรอคอยฝ่าบาทตลอดมา”
หัวใจขององค์ประมุขกระตุกสั่นไหว
“แต่การชื่นชมและรอคอยเหล่านั้นได้ตายไปพร้อมกับหัวใจของหม่อมฉันแล้ว ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด สำหรับคนสองคนที่จะอยู่ด้วยกัน ฝ่าบาทคิดว่าเป็นความเชื่อใจ หรือความเสน่หา? หม่อมฉันไม่คิดว่าเป็นทั้งสอง” อวิ๋นเฟยหยุดชะงัก จ้องมองเขาเนือยนิ่ง “เป็นความเคารพ”
องค์ประมุขเป็นใบ้สนิท
อวิ๋นเฟยยกผ้าห่มหนังเสือ เดินลงไปคำนับ “ฝ่าบาทค่อยๆ เดิน หม่อมฉันไม่ส่ง”
องค์ประมุขออกจากตำหนักจูเชวี่ยด้วยใบหน้ามืดมน
เขาคิดว่าอวิ๋นเฟยคงไม่ยกโทษให้เขาง่ายๆ แต่ไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเฟยจะกล่าวเช่นนั้นกับเขา ยายลูกหลานสามคน ยิ่งโกรธเขามากขึ้นทีละคน!
ขันทีหวังส่ายหัว ตี้จีองค์โตและองค์หญิงหวั่นยังไม่ยอมกลับมา อวิ๋นเฟยก็กำลังทะเลาะจะแยกทาง บุรุษเอ๋ยท่านจบสิ้นแล้ว ท่านจบสิ้น จบสิ้นแล้วจริงๆ!
…………………………………………
[1] นกตื่นธนู เปรียบเปรยถึงผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้าย หลังจากนั้น เมื่อมีสิ่งใดกระทบเพียงเล็กน้อยก็ตื่นกลัวอย่างมาก
Related