เรื่องการแยกทางระหว่างองค์ประมุขกับอวิ๋นเฟย ในไม่ช้าก็ไปถึงหูของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นประหลาดใจยิ่ง ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าการกระทำของอวิ๋นเฟยผิด แต่ในยุคสมัยนี้ สถานะของสตรีนั้นต่ำมาก อวิ๋นเฟยยังมีสำนึกอุดมการณ์เช่นนี้ได้ หากไปอยู่ในโลกก่อนของเธอ อวิ๋นเฟยก็นับว่าเป็นแนวหน้าแล้ว
“สมกับเป็นท่านยายของข้า!” อวี๋หวั่นยืดกาย
จากมุมมองของอวิ๋นเฟย อวี๋หวั่นสนับสนุนการตัดสินใจของนาง แต่ในทางกลับกัน เธอก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับการไล่ตามขององค์ประมุข
อายุปูนนี้เพิ่งจะรู้จักไล่ตามแฟน มัวไปทำสิ่งใดอยู่?
อวี๋หวั่นไม่สงสารเห็นใจองค์ประมุข หากเขาไม่มาหาเธอถึงประตูบ้าน เธอจะไม่ไปขอร้องแทนเขา
แน่นอนว่าองค์ประมุขส่งคนไปหาอวี๋หวั่นจริงๆ
ผู้ที่มาคือขันทีหวัง
ขันทีหวังปฏิเสธอยู่ในใจ ยามส่งต่อวาจาขององค์ประมุขก็มีสีหน้าเศร้าหมอง เมื่อกล่าวจบก็กลอกตาและพูดว่า “เอาละ ข้าผายลมเสร็จแล้ว!”
มุมปากของอวี๋หวั่นกระตุก ขันทีท่านนี้ องค์ประมุขรู้หรือไม่ว่าท่านทำเช่นนี้?
อวี๋หวั่นเส้นทางนี้ไม่อาจผ่านแล้ว นางเจียงแค่คิดเขาก็ไม่คิด ส่วนไข่ดำทั้งสาม องค์ประมุขไม่สับสนถึงขนาดใช้ประโยชน์จากเด็กๆ
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเฟยโล่งใจอย่างเงียบๆ เพราะนางสามารถโหดร้ายกับใครก็ได้ แต่ไม่อาจทนทำร้ายกับเด็กๆ เหล่านั้น หากพวกเขามองนางด้วยใบหน้าเศร้าสลดและขอร้องไม่ให้นางแยกจากองค์ประมุข นางก็ไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถยืนกรานต่อไปได้หรือไม่
เพราะติดค้างบุตรสาวมากเกินไป ต่อให้มีความสุขในวัยชรานางก็ยอมรับแล้ว
โชคดีที่บุรุษผู้นั้นไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดกระทั่งเหลนก็ยังใช้ประโยชน์ได้
องค์ประมุขเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยหลายครั้ง ท่าทีของอวิ๋นเฟยก็ยังคงมั่นคงยิ่งนัก แยกทาง ต้องการแยกทาง!
ความผิดพลาดที่ได้ก่อในวัยหนุ่ม บัดนี้ได้ลิ้มลองผลไม้รสขมแล้ว
พระทัยขององค์ประมุขรู้สึกขมขื่น
แต่องค์ประมุขไม่พูดออกมา
ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ฤดูหนาวในหนานจ้าวไม่มีหิมะตกหนัก ช่วงปีใหม่ของเมืองหลวงไม่ได้มีบรรยากาศเยี่ยงเมืองจิงเฉิง แต่ก็เป็นวันรวมตัวของครอบครัวเช่นกัน ทุกบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว
อย่างไรอวี๋หวั่นก็เคยเป็นแม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้าคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้แห่งต้าโจว เธอต้องการช่วยเตรียมอาหารในปีนี้ แต่ทั้งครอบครัวกลับกีดกันเธอ! ! !
“อาหวั่นเจ้าลำบากถึงเพียงนี้ จะยังให้เจ้าทำอาหารอีกได้อย่างไร!”
นั่นเป็นอวี๋เซ่าชิง
“บุตรีของพวกเราสกุลเห้อเหลียนมีไว้ทะนุถนอม! มิใช่มีไว้ทำงาน!”
นี่คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ในใจของทุกคน เหอะๆๆ แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็แค่คิดว่าอาหารของอาหวั่นไม่อร่อย…
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ ครอบครัวของเธอรักเธอมากถึงเพียงนี้ ตนคงหมดหนทางจะปฏิเสธน้ำใจจริงๆ!
…
ช่วงนี้อวี๋หวั่นพบว่าเหล่าบุรุษทั้งหลายดูแปลกไป ประการแรกเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบอ่านหนังสือตอนกลางคืนแล้ว คนในชีสยาย่วนก็ออกมาทำกิจกรรมน้อยลง อาม่าปิดประตูอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าเขียนอะไรอยู่ทุกวัน อาเว่ยก็คุยกับชิงเหยียนและเยว่โกวน้อยลง ส่วนเจียงไห่ ก็ออกไปข้างนอกเกือบทุกวัน แม้แต่อวี๋หวั่นก็ไม่รู้ว่าเขากำลังยุ่งอะไร
ในวันนี้ อวี๋หวั่นพาไข่ดำทั้งสามไปพักผ่อนยามบ่าย หลังจากเด็กน้อยหลับ อวี๋หวั่นก็ไปที่ชีสยาย่วนเพื่อถามว่าอาม่าอ่านหนังสือต้นฉบับนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีเบาะแสคนรุ่นหลังของพ่อมดและนักบุญหรือไม่ ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเมื่อใกล้ถึงลาน ก็เห็นเจียงไห่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ออกมา
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย แวบกายไปหลังต้นไม้ใหญ่
เจียงไห่มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครติดตามจึงมุ่งหน้าไปที่ประตูหลังของจวนเห้อเหลียน
“ชายผู้นี้ทำลับๆ ล่อๆ อันใด?” อวี๋หวั่นแตะคาง เดินกลับไปที่ลานเพื่อเรียกซิวหลัว ให้เขาพาเธอตามออกไป
ด้วยพลังหูของเจียงไห่ คนธรรมดาไม่สามารถสะกดรอยเขาได้ ทว่าซิวหลัวไม่เหมือนกัน
ซิวหลัวพาเธอเหาะไปเหนือศีรษะของเจียงไห่ เจียงไห่ก็ไม่สังเกตเห็น
ซิวหลัวแลบลิ้นให้เจียงไห่
แบร่ แบร่ แบร่!
เจียงไห่สัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยสัญชาตญาณ และทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นไป
แต่ซิวหลัวได้พาอวี๋หวั่นแวบร่างออกไปไกลกว่าสิบฉื่อแล้ว
วิชาตัวเบาของซิวหลัวนั้นดีพอ ทั้งยังดูดพลังภายในของซิวหลัวตัวใหม่สามคนกลับมา เขาจึงยิ่งทรงพลังมากขึ้น
เจียงไห่ส่ายหัว กล่าวในใจว่าตนเองคิดมากเกินไป และใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าต่อไปโดยไม่วอกแวก
เขาหยุดอยู่ที่สำนักราชครู จากนั้นอวี๋หวั่นก็เห็นเขาหยิบเหรียญตราของจวนเห้อเหลียนเดินเข้าไปในสำนักราชครูอย่างเปิดเผย
สิ่งที่น่ากล่าวถึงคือ หลังจากการสมรู้ร่วมคิดระหว่างสำนักราชครูและฮองเฮาถูกเปิดโปง องค์ประมุขได้ส่งกองทัพทหารรักษาพระองค์และองครักษ์ของจวนเห้อเหลียนไปปิดล้อมสถานที่นั้น เจียงไห่เป็นคนของจวนเห้อเหลียน เหรียญตราของเขาทำให้เขาสามารถมาที่สำนักราชครูได้อย่างอิสระ
อวี๋หวั่นลูบดูรอบเอว มัวแต่คิดจะตามเจียงไห่จนลืมนำเหรียญตรามา
ซิวหลัวคว้าตัวเธอเหาะเข้าไป!
“ราชครูถูกคุมขังอยู่ที่ใด?” เจียงไห่ถามทหารรักษาพระองค์ที่ลาดตระเวนอยู่
“ในคุกใต้ดิน”
เมื่อเห็นว่าเขาถือเหรียญตราของจวนเห้อเหลียน ทหารรักษาพระองค์ก็ชี้ทางให้เขาเห็นอย่างสุภาพนอบน้อมยิ่ง
อวี๋หวั่นแตะคาง เจียงไห่กำลังหาราชครูอยู่หรือ?
“อ๊ะ–“
อวี๋หวั่นยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกซิวหลัวลากและบินไปที่ห้องขัง
ยามที่อวี๋หวั่นเข้ามาในคุกใต้ดิน หัวของเธอก็ฟูยุ่งเป็นรังไก่
เธอคายใบไม้ที่ไม่รู้ว่าบินเข้าปากเมื่อไรออกมาอย่างเงียบๆ
ครั้งหน้าก่อนจะบิน บอกกันก่อนได้หรือไม่?
การคุ้มกันคุกใต้ดินยังนับว่าแน่นหนา แต่ตราบใดที่ถือเหรียญตราของสกุลเห้อเหลียนก็สามารถเข้าสู่สถานที่ที่ไร้ผู้คน คิดแล้วก็ไม่แปลกใจ สกุลเห้อเหลียนภักดีต่อองค์ประมุขและประเทศชาติ เป็นครอบครัวของตี้จีองค์โต ในวันประลองยิ่งออกปฏิบัติการ ‘ซิวหลัว’ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงทหารรักษาพระองค์ แม้แต่ชาวบ้านต่างก็เห็นสกุลเห้อเหลียนเป็นผู้มีพระคุณเหลือล้นของพวกเขา
เมื่อเจียงไห่มาถึงห้องขังที่ราชครูถูกคุมตัวอยู่ ก็มีคนมาถึงเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว
คนผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์ใหญ่ของราชครู หวั่นเฟิง
ราชครูกระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ ทั้งสำนักราชครูติดร่างแหไปด้วย อวี๋หวั่นรีบออกหน้าเก็บหวั่นเฟิงไว้
ราชครูประสบกับความลำบากยากเข็ญ นั่งอยู่บนเสื่อซอมซ่อในเสื้อผ้าขาดวิ่น หวั่นเฟิงคุกเข่าต่อหน้าเขาทั้งน้ำตา เขาร่ำไห้อย่างโศกเศร้า “อาจารย์…ข้าขอโทษ…ข้า…ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้…”
ไม่เคยคิดว่าราชครูจะลงเอยแบบนี้
และไม่คิดว่าจะมีการสมรู้ร่วมคิดที่น่ากลัวเช่นนี้ระหว่างสำนักราชครูกับฮองเฮา
เขาไม่อยากให้ราชครูทำร้ายอวี๋หวั่น แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ราชครูตาย
เขาเป็นอาจารย์ของเขา เขาเข้าใจมาตลอด
ราชครูทอดถอนใจอย่างห่อเหี่ยว “ข้าไม่โทษเจ้า ลุกขึ้นเถอะ”
หากจะโทษก็ต้องโทษสตรีผู้นั้นที่หลอกลวงเขาและอาจารย์ และยังให้ทุกคนกลายเป็นเบี้ยของนาง ในปีนั้นก่อนที่อาจารย์จะตายได้กำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘ข้าให้เจ้านั่งตำแหน่งราชครูได้ แต่เจ้าต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฮองเฮาและตี้จีไปชั่วชีวิต!’
เขาภักดีแล้วไง
แต่ผลเป็นอย่างไร?
พวกเขาสองอาจารย์ศิษย์ กลายเป็นเรื่องตลกที่สุดในหนานจ้าว
“ข้าผิดเอง อาจารย์…ข้า…ข้าไม่ควรไม่ฟังท่าน…” หากรู้ว่าอาจารย์จะถูกฆ่าตาย เช่นนั้นในคืนที่เขาเมาหกล้มในจวนองค์ชายห้าแห่งต้าโจว เขาก็ไม่ควรถูกคนช่วยชีวิตไว้ “เหตุใดข้าไม่ตายๆ ไป? หากข้าตายคงไม่เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้”
ราชครูกล่าวอย่างใจจริง “ข้าดีใจมากที่นางช่วยชีวิตเจ้า และดีใจมากที่เจ้ารู้จักบุญคุณของนางเสมอมา”
เสมอมา?
กล่าวเช่นนี้…เรื่องที่เขาทำ ท่านอาจารย์ก็รู้ทุกอย่าง?
“อาจารย์ ท่าน…”
“เหตุใดข้าไม่โทษเจ้ารึ?”
หวั่นเฟิงก้มห้วลง
จริงๆ แล้วตอนที่เขายังเด็กมาก เขาเข้าใจว่าตนเองในสายตาของอาจารย์ ไม่เหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ อาจารย์รักเขามาก บางทีมันอาจเป็นจุดนี้เอง ที่ทำให้เขา ‘ทรยศ’ อาจารย์อย่างไม่เกรงกลัว
ราชครูทอดถอนใจ “ต่อจากนี้ข้า เกรงว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้พบเจ้าอีก”
หวั่นเฟิงร่ำไห้ “ท่านอาจารย์อย่าพูดเช่นนั้น ข้าจะไปหาองค์หญิงหวั่นและขอร้องให้นางปล่อยท่าน!”
ราชครูคว้าตัวเขา “ไม่ต้อง ความโปรดปรานใช้ในยามอยู่บนคมมีด อย่าได้ใช้ในที่ที่ไม่จำเป็น”
หวั่นเฟิงหลั่งน้ำตาดั่งเม็ดฝน “อาจารย์!”
ราชครูปล่อยมือและกล่าวว่า “ถึงเวลาเล่าเรื่องอดีตในชีวิตเจ้าแล้ว”
“เรื่องอดีตในชีวิต?” เสียงร่ำไห้ของหวั่นเฟิงหยุดกะทันหัน “อาจารย์ ข้า…ข้าคงไม่ใช่บุตรนอกสมรสของท่านหรอกกระมัง?”
“อะแฮ่ม!” ราชครูสำลัก “พูดจาเหลวไหลอะไร?”
“ไม่ใช่หรอกหรือ” หวั่นเฟิงรู้สึกผิดหวัง “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงดีกับข้าขนาดนี้? ท่านรู้หรือไม่? ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างแอบพูดกันเช่นนี้ บอกว่าท่านเป็นพ่อของข้า จึงตามใจข้าเสมอ ครั้งนั้นหนานกงหลีต้องการลงโทษข้า ไม่ใช่ท่านไม่ปล่อยให้เขาลงโทษหรือ?”
หวั่นเฟิงก็เคยคิดว่าราชครูอาจเป็นบิดาของเขาเอง ในเมื่อเป็นบิดา การหลอกลวงก็ไม่มีอะไร
หากราชครูรู้ว่าจุดเริ่มต้นของการ ‘ทรยศ’ ของหวั่นเฟิงคือการหลอกลวง เกรงว่าคงกระอักเลือดถึงสามเซิงตรงนั้น
ราชครูไม่ได้ตอบคำถามของหวั่นเฟิงในทันที แต่เพียงแค่กวาดสายตาไปและชี้ไปอีกทาง “ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่ายืนอยู่ตรงนั้นเลย อยากฟังก็ฟังเถิด ข้ารู้ว่าเจ้ามาหาข้า”
อวี๋หวั่นเกือบจะเดินออกไป แต่ในไม่ช้าก็คิดได้ว่าราชครูอาจกำลังพูดถึงเจียงไห่
เจียงไห่เดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หวั่นเฟิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่เจียง?”
เจียงไห่ก้มลงเข้าไปในห้องขัง
ราชครูมองเขาและพูดว่า “ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า ก็ไม่สังเกตเห็นคิ้วและดวงตาที่คุ้นเคยยิ่งนัก แต่ยามที่เจ้ามาตามหาหนังสือต้นฉบับของนักบุญและพ่อมด เจ้ากลับกำลังมองหาอย่างอื่น ข้าเดาว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อใครบางคน”
หวั่นเฟิงรู้สึกสับสน “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด? เหตุใดข้าไม่เข้าใจ?”
ราชครูชี้ไปที่เจียงไห่และพูดกับหวั่นเฟิง “หวั่นเฟิง เขาเป็นน้าของเจ้า”
“หา?”
หา?
หวั่นเฟิงและอวี๋หวั่นต่างเบิกตาโพลงพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย
“แต่ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่เจ้าอาจเดาผิดไป” คราวนี้ราชครูมองไปที่เจียงไห่และพูดว่า “หวั่นเฟิงไม่ใช่เลือดเนื้อของข้า แต่เป็นของน้องชายข้า”
หวั่นเฟิงสะดุ้ง “เช่นนั้นท่านก็เป็นลุงใหญ่ของข้า?”
“ลุงรอง ข้ามีพี่ชายอยู่เหนือข้าคนหนึ่ง แต่เขาจากไปหลายปีแล้ว” ราชครูกล่าวด้วยใบหน้าสงบ
ในพริบตา พี่ใหญ่เจียงก็กลายเป็นน้า และอาจารย์ก็กลายเป็นลุงรอง หวั่นเฟิงกลายเป็นคนโง่ตะลึงงัน
อวี๋หวั่นกะพริบตา เป็นข่าวที่น่าตื่นใจยิ่งนัก นี่เพราะไม่มีเมล็ดทานตะวัน ไม่เช่นนั้นเธอคงแกะฆ่าเวลาไปแล้ว
“พี่สาวของข้าละ?” ปฏิกิริยาของเจียงไห่ นับเป็นการยืนยันคำพูดของราชครูไปโดยปริยาย
ราชครูกล่าวว่า “พี่สาวของเจ้าคลอดหวั่นเฟิงออกมายากลำบาก หลังจากให้กำเนิดไม่นานนัก นางก็จากไป น้องชายของข้าแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหวและตรอมใจจากไปหลังจากนั้นไม่นาน ข้าพาหวั่นเฟิงกลับมาที่สำนักราชครู ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนรู้เรื่องครอบครัวของตนเองมากเกินไป จึงโกหกว่าหวั่นเฟิงเป็นเพียงเด็กที่มาจากสามัญชน”
หวั่นเฟิงเกาหัว “พี่ใหญ่เจียงเป็นน้าของข้าจริงๆ หรือ? เหตุใดข้าไม่เชื่อเลยสักนิด?”
“ป้ายหยกที่ข้าให้เจ้าสวมติดตัวไว้อยู่ที่ใด?” ราชครูถาม
หวั่นเฟิงดึงเชือกสีแดงออกจากใต้คอ บนเชือกนั้นห้อยป้ายหยกแกะสลักปลาที่มีเพียงครึ่งหนึ่ง “นี่ขอรับ ท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าถอด ข้าจึงสวมมันติดตัวไว้ตลอดเวลา”
เจียงไห่หยิบป้ายหยกแกะสลักปลาอีกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขน และนำมารวมกับป้ายหยกของหวั่นเฟิง กลายเป็นภาพของราศีมีนที่สมบูรณ์
ที่ผ่านมาเจียงไห่ไม่เคยดูใบหน้าของหวั่นเฟิงอย่างละเอียด ทว่ายามนี้เขามองเข้าไปใกล้ๆ และพบว่าคิ้วและคางของเขาช่างเหมือนกับพี่สาวคนโตยิ่งนัก
ราชครูยิ้มและพูดติดตลกกับหวั่นเฟิง “ดูสิ เจ้าก็ไม่ได้ช่วยคนผิดนะ เขาเป็นน้าของเจ้า”
“แต่ท่านก็ยังเป็นลุงรองของข้านะ…” หวั่นเฟิงร้องไห้อีกครั้ง หากเขารู้ว่าอาจารย์ไม่ใช่บิดาของเขา เขาก็คงหลอกเบากว่านี้แล้ว…ยามนี้เป็นอย่างไรละ? หลอกคนเข้าคุกจนออกมาไม่ได้อีกแล้ว “ท่านอาจารย์ ฮือๆๆ…”
ราชครูปัดแขนเสื้อเยาะเย้ยตัวเอง “เอาละ ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้าสองน้าหลานไปสนทนาความหลังกันเองเถิด หวั่นเฟิงเจ้าจะไปหรืออยู่ก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรเสีย…สำนักราชครูก็จะไม่มีอีกแล้ว”
หวั่นเฟิงร้องไห้โฮ “ท่านอาจารย์…”
เจียงไห่มองราชครู จากนั้นก็มองหวั่นเฟิงที่กำลังร่ำไห้ราวกับเด็กน้อย เขายืนขึ้นโดยไม่พูดอะไรและลากหวั่นเฟิงออกไป
อวี๋หวั่นผงะค้างกับการเผยสัมพันธ์เครือญาติที่กะทันหันไม่ทันตั้งตัว เธอรู้ว่าเจียงไห่มีความเป็นมาแตกต่าง แต่ไม่รู้ว่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหวั่นเฟิง
“ลงมาเถอะ คนไปไกลแล้ว”
จู่ๆ ราชครูก็เอ่ยขึ้น
อวี๋หวั่นหันกลับไปมองทางเดินที่ไร้เงาคนเดินไปมานานแล้ว จากนั้นก็มองไปยังทิศของประตูห้องขัง พูดถึงใคร?
ราชครูกล่าว “ไม่ต้องมองแล้ว องค์หญิงหวั่น”
บุรุษผู้นี้ กระทั่งวิชาตัวเบาของซิวหลัวก็ไม่อาจหลอกเขาได้?
ในเมื่อถูกพบแล้ว อวี๋หวั่นก็ไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนอีก เธอปรากฏตัวพร้อมกับซิวหลัวเดินเข้าไปยังห้องขังของเขา แล้วก้มลงมองจากด้านบน “เจียงไห่กับน้องสะใภ้เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ราชครูกล่าว “คนของสำนักเฟยอวี๋”
อวี๋หวั่นแปลกใจ “สำนักเฟยอวี๋? ไม่เคยได้ยิน”
ราชครูกล่าวอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ไม่นานเจ้าก็จะได้ไป”
“หือ?” ตอนนี้อวี๋หวั่นเริ่มสับสน
ราชครูเปลี่ยนเรื่อง “บนร่างกายเจ้ามีปานของเผ่าปีศาจหนึ่งแห่ง ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“ใช่มีปานแห่งหนึ่ง” แต่มาจากเผ่าปีศาจหรือไม่ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้บอก เธอทิ้งเรื่องปานไว้เบื้องหลัง จนกระทั่งราชครูเอ่ยถึงมันอีกครั้งในยามนี้ “ทำไมหรือ?”
ราชครูมองกำแพงและพูดว่า “ปานของเผ่าปีศาจมีเพียงคนของเผ่าปีศาจเท่านั้นที่จะมีได้ พ่อแม่เจ้าเป็นคนหนานจ้าว เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดถึงมีปานของเผ่าปีศาจอยู่บนร่างกายเจ้า?”
“เหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม
“เพราะว่า” ราชครูยิ้ม
………………………………
Related